วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน แผ่เมตตาแล้วเครียดเกิดจากอะไร?

ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับ รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คืนวันเสาร์ สามทุ่ม


สำหรับคืนนี้ ก็เป็นหัวข้อคำถามที่เกิดขึ้นจากคนที่ แผ่เมตตาแล้วไม่ได้ผลอย่างที่คิด

 

อย่างเวลาคนแผ่เมตตานี่นะ คนไทยนี่ มักจะมุ่งหวังว่าการที่เราแผ่เมตตาถึงใคร จะทำให้คนคนนั้นนี่ หายโกรธ คืนดีกัน หรือว่าได้รับส่วนบุญส่วนกุศลที่เราอุทิศให้ อะไรทำนองนั้นนั่นนะ 


ทีนี้ ถ้ามีจุดมุ่งหมายหรือพูดง่ายๆ ว่า ถ้ามีโจทย์ทางจิต ที่ไม่เป็นไปตามแนวทางของการแผ่เมตตาแบบพุทธ นี่ ก็อาจไม่ได้ผลในแบบที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนะครับ

 

หรือบางคนออกอ่าวไปเลย อย่างตัวคำถามที่ยกขึ้นมาเป็นประเด็น นี่ก็เพื่อที่จะให้มองเห็นนะครับว่า ที่มาที่ไปของคนส่วนใหญ่ ที่แผ่เมตตาแล้วแทนที่จะได้ผลดี กลับกลายเป็นมีผลข้างเคียง ประเภทที่ว่า เอ๊ะ แผ่เมตตา น่าจะเกิดความรู้สึกเป็นสุข เกิดความรู้สึกดีๆ เกิดความรู้สึกอภัยต่อกัน แต่ทำไมกลายเป็นว่า เจ้าตัวยิ่งแผ่เมตตา ยิ่งกลายเป็นเครียด ตอนแรก บอกว่าไม่เครียด แต่พอแผ่เมตตาแล้วเครียดเลย

 

หรือบางคนไปเจอผลลัพธ์ที่ร้ายกว่านั้น ก็คือว่าแผ่เมตตาให้คนบางคน  แทนที่จะมีความรู้สึกดีๆ ต่อกันขึ้นมา กลายเป็นว่ายิ่งโมโหโกรธามากขึ้น หรือว่ามีความเคียดแค้นพยาบาทกันมากขึ้น

 

เห็นด้วยความรู้สึกประหลาดใจทีเดียวนะว่า เอ๊ะ นี่เราส่งความปรารถนาดีไปแล้ว บางคนคิดอย่างนี้จริงๆ นะว่า แผ่เมตตาให้ใคร ถือว่ามีบุญคุณกับคนนั้น คิดอย่างนี้จริงๆ แล้วก็พอเขาไม่รู้สึกถึงบุญถึงคุณอะไร ไม่ได้รู้สึกว่า เราไปช่วยให้เขารู้สึกดี หรือมีความเป็นมิตรกับเขานี่

 

กลายเป็นว่า ไปเหมือนกับ ยิ่งเกิดความรู้สึกเกิดความไม่ดีกับเขาเข้าไปใหญ่ เกิดความรู้สึกว่า นี่ไม่รู้จักบุญคุณ

 

มีคิดอย่างนี้จริงๆ คือความคิดของคนเป็นไปได้สารพัด เป็นไปได้ร้อยแปด ขึ้นอยู่กับว่าใครจะตั้งมุมมองไว้อย่างไรนะ แค่แผ่เมตตาให้ใครนี่ ถือว่าเป็นบุญคุณ ไปสร้างบุญคุณไว้กับเขา แล้วเขาเป็นลูกหนี้ทางบุญคุณเราแล้วอะไรแบบนี้ก็มีนะ มีจริงๆ

 

เอ้า มาดูว่าจริงๆ แล้วพระพุทธเจ้านี่ท่านสอนไว้อย่างไรนะ

 

นี่เคยพูดบ่อย แต่ว่าเรื่องทางจิตนี่บางทีต้องพูดหลายๆ ครั้งถึงจะเข้าใจหรือถึงจะจำ ผมเองกว่าจะเข้าใจหลักการทางจิต หลักการภาวนา หรือว่าประสบการณ์ทางใจอย่างหนึ่งๆ ต้องใช้เวลาทำซ้ำ หลายๆ ปี แล้วก็เห็นผลดี เห็นผลอะไรบางอย่างปรากฏขึ้นมาหลังจากเวลาผ่านไป ไม่ใช่ว่า เรื่องทางจิตนี่ พูดเข้าใจแล้วจะทำกันได้เลย

 

พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าอย่างไร ท่านสอนไว้ว่า ถ้าเกิดความโกรธ ถ้าเกิดความพยาบาทอยู่ ให้เห็นว่า ความพยาบาทนั้นเป็นโรคทางใจ

 

ถ้าเรารู้สึกว่า นี่เรากำลังป่วยทางจิตอยู่ ถ้าวางได้ กลับมาหายดี ก็เหมือนกับคนฟื้นไข้ที่มีความสดชื่น มีกำลังวังชากลับมา อันนี้ก็จะทำให้มีแก่ใจวางเชื้อโรคทางใจทิ้งลงไป

 

เพราะเชื้อโรคทางกายเราวางเองไม่ได้ ต้องพึ่งหมอพึ่งยา แต่ว่าเชื้อโรคทางวิญญาณนี่ แค่เรามีแก่ใจเห็นว่านี่เรากำลังป่วยอยู่ อยากหายป่วย เพียงเท่านั้น เราก็มีแก่ใจ มีกำลังใจ มีแรงบันดาลใจที่จะวางเชื้อโรคลง ถอดเชื้อโรคออกจากใจได้

 

อันนี้เหมือนกัน อย่างเวลาเราโกรธ หรือว่ามีความคุมแค้นพยาบาท แล้วเกิดความรู้สึกว่า จิตป่วยอยู่ตลอดวันตลอดคืน คิดแต่จะหาทางเอาคืน คิดแต่จะหาทางจองล้างจองผลาญ แล้วเราพบว่า จิตของตัวเองมอดไหม้อยู่ในกองเพลิงอยู่คนเดียว

 

ศัตรูคู่อาฆาตจะรับรู้หรือไม่ก็ไม่ทราบ เขาจะมีความสุขสำราญบานใจ แค่ไหนกับใคร เราไม่รู้ไม่เห็นเลย รู้แต่ว่าใจของเราเองทั้งวันทั้งคืน มอดไหม้อยู่ในคุกแห่งความเร่าร้อน

 

เมื่อมองเห็นว่า เรากำลังป่วยอยู่ ก็จะได้มีแก่ใจ มีกำลังใจขึ้นมาว่า เออ ถ้าหายป่วยได้ก็ดีนะ ใจจะได้ไม่ต้องร้อน ใจจะได้ไม่ต้องทุรนทุราย ใจจะได้ไม่ต้องติดคุกแคบ อย่างที่กำลังเป็นอยู่

 

เพียงเท่านั้น คิดได้แค่นี้นะ คือพอคิดได้ใจจะเบาลงทันที ใจจะวางลงทันที เพราะอะไร เพราะว่าจิตนี่เดิมทีโง่อยู่ แต่พอไปชี้ช่องให้เขาเกิดความฉลาดขึ้น เห็นทางสว่างขึ้นมาว่า นี่เรากำลังป่วยอยู่

 

อาการทางใจนี่นะ เหมือนคนซมไข้ เหมือนคนที่กำลังทรมาน อยู่กับอุณหภูมิที่ร้อนของไข้ พิษไข้จริงๆ จิตก็ฉลาดขึ้น บอกว่า ทำไมเราต้องมาถูกคุมขังอยู่ด้วยกรงแห่งพยาบาท แบบนี้ทั้งวันทั้งคืน แล้วก็เลยปล่อยต้นเหตุ มีแก่ใจปล่อย อาการที่ใจฉลาด แล้วก็ปล่อยสิ่งที่มันถือไว้ มันอุ้มไว้ จะโล่ง จะสบาย

 

ใจที่โล่ง ใจที่สบายนั่นแหละ เป็นสัญญาณบอกความเป็นกุศลจิต เปลี่ยนจากอกุศลจิตที่มีความรุ่มร้อน ที่มีความดำมืด เป็นความเยือกเย็น มีความใสสว่าง

 

อันนี้พอเห็นว่าจิตของเรารู้ตัวว่า มีความเป็นกุศลขึ้นมาได้ พระพุทธเจ้าก็สอนให้อยู่กับภาวะความเป็นอย่างนั้น ดูว่ามีความเบา ดูว่ามันมีความรู้สึก เออ อบอุ่น ปลอดภัย สบาย

 

แล้วเห็น ว่าใจนี่ สามารถแผ่ออกไปยังทิศเบื้องหน้าได้นะ เอาทิศเบื้องหน้าทิศเดียวนี่แหละ ไม่ต้องเอาหลายๆ ทิศนะ ลักษณะของการแผ่ออกไปนี่ พูดง่ายๆ ว่า ถ้าเราหลับตา แล้วรู้สึกถึงความกว้าง ของพื้นที่เบื้องหน้าได้ พื้นที่เบื้องหน้า ที่กว้างๆ ว่างๆ นั่นแหละ อันนั้นแหละจิตแผ่ออกไปแล้ว

 

เมื่อจิตแผ่ออกไปแล้ว เราล็อคอยู่กับความแผ่ ความสบายอย่างนั้น นี่ก็เรียกว่าเป็นการทำสมาธิแบบแผ่เมตตาแล้วนะครับ

 

ทีนี้เรามาพูดถึง การแผ่เมตตาตามแบบพระพุทธเจ้าสอน มาเปรียบเทียบกับปัจจุบันที่เรามักทำๆ กัน

 

อย่างดีหน่อย อย่างใกล้เคียงหน่อยก็คือ ทำตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนนะว่า ให้ท่องสัพเพ สัตตา อเวราโหนตุ นั่นก็คือว่า ปรุงแต่งจิตด้วยถ้อยคำ อันเป็นทิศทางที่จะทำให้จิต ไม่คิดเบียดเบียนกัน ซึ่งก็ใช่อยู่

 

แต่ว่าขอให้สำรวจดู สังเกตดู จิตของคนเรานี่ ถึงแม้ว่าจะพูดอย่างไร ถึงแม้ว่าจะท่องคาถาอย่างไร แต่ถ้าลักษณะจริงๆ ของจิต ไม่เอาตามนั้น ก็ไม่มีความหมายนะ

 

ปากพูดอย่าง แต่ใจนี่คิดเล็งไปอีกอย่างหนึ่ง อันนี้ เป็นเรื่องปกติ เวลาเราคุยกันกับคนที่เราไม่ซื่อกับเขา หรือว่าไม่มีความรู้สึกว่า จะต้องมาเปิดใจ เปิดอก คุยกันแบบตรงไปตรงมา จะคุยกันแบบอ้อมค้อมนี่ อย่างนี้ ปากอย่างใจอย่าง

 

เหมือนกัน การแผ่เมตตาที่เราท่องไว้เป็นคาถาว่า สัพเพ สัตตา อเวราโหนตุ ถ้าใจไม่ได้เอาความเป็นสัพเพ สัตตา อเวราโหนตุนะ ไม่มีประโยชน์เลยนะ คาถานี่ พูดออกไป ไม่ได้เกิดลักษณะของความเมตตาขึ้นมาเลย

 

แต่ตรงข้าม ถึงแม้เราไม่ได้คิดสัพเพ สัตตา อเวราโหนตุ แต่ใจของเราจริงๆ มันปล่อยจากภัย ปล่อยจากเวร ไม่คิดพยาบาทจริงๆ ไม่คิดเอาการเบียดเบียนจริงๆ นี่ แค่นี้ ก็เป็นชนวนเริ่มต้นทำสมาธิแบบแผ่เมตตาได้แล้ว

 

ทีนี้ มาดูว่าถ้าเราแผ่เมตตาแบบผิดๆ นะ จะเกิดอะไรขึ้น

 

ขึ้นต้นมา เรายังไม่ได้อภัย ใจเรายังไม่ได้เบา ใจเรายังไม่ได้โล่ง มีความรู้สึกเคียดแค้นพยาบาท หรือมีความคิดอาฆาต อยากเอาคืน อยากที่จะทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ในเชิงประทุษร้ายให้ศัตรูมีความทุกข์ มีความทรมานใจให้เหมือนกับเรา

 

อาการบีบคั้น อาการพยายามเหมือนกับไปบิดไส้เขานี่ เล่นไสยศาสตร์นี่ ก็คืออาการที่จิตของเราเอง กำลังมีความทุรนทุราย มีความทุกข์อยู่

 

บางคนมีความทุกข์อยู่อ่อนๆ แล้วไม่รู้ตัว เริ่มต้นขึ้นมา มีความกดดัน มีความเครียด มีความร้อนอยู่หน่อยๆ แค่เกิดความรู้สึกเหมือนกับ แค่ไม่สบาย ไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว แล้วก็นึกว่า เอาล่ะ ถ้าฉันจะแผ่เมตตา ฉันก็แผ่ได้เลย

 

ผลคืออะไร หลับตาลงไปปุ๊บ นี่หลับตาลงไปดวยอาการที่พร้อมจะขมวดคิ้วนิ่วหน้า เคร่งเครียด แล้วก็ใจขมวด บิด

 

เสร็จแล้ว พอพยายามนึกถึงศัตรูคู่อาฆาต แล้วเหมือนกับกำหนดใจ บังคับใจตัวเอง ฝืนใจตัวเองให้เพ่งเล็ง ประมาณว่าสัพเพ สัตตา อเวราโหนตุ นี่ เริ่มต้นขึ้นมา มันเครียดหน่อยๆ เครียดอ่อนๆ ยิ่งแผ่เมตตาแบบนี้ นานขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งกลายเป็นว่าพอกพูนความเครียดเล็กๆ ให้กลายเป็นความเครียดใหญ่ๆ

 

พูดง่ายๆ ว่า แผ่เมตตาแบบนี้ เป็นการเอาความเครียดก้อนเล็กๆ ไปพอกให้เป็นความเครียดก้อนโตๆ ไม่ได้แผ่เมตตาอะไรขึ้นมาเลย

 

เพราะฉะนั้น กระแสที่แผ่ออกไป ถ้าหากว่ามีพลัง ถ้าหากว่ามีอำนาจจริง คืออะไร ก็คือการแผ่คลื่น คลื่นของจิตนี่มีจริงนะ แล้วก็สื่อถึงกันได้จริงๆ กระทบถึงกันได้จริงๆ

 

ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มานั่งแผ่เมตตาในอาการเพ่ง เคร่งเครียดอยู่อย่างนี้ เท่ากับเป็นการ แผ่อาฆาต แผ่พยาบาทออกไป คือใจเรานึกว่าแผ่เมตตาอยู่ แต่เอาเข้าจริง เป็นการแผ่ความพยาบาท แผ่ความเครียด แผ่กระแสลบออกไปต่างหาก

 

ใจนี่ พออยู่ในสมาธิ คือเป็นสมาธิแบบผิดๆ นี่แหละ แบบที่มันเหมือนกับมุ่งมั่นทำอะไรอยู่สักอย่าง ห้านาที หกนาที จะมีผลก่อเป็นพลังให้เกิดลูกคลื่น พุ่งตรงไปกระทบใจของฝ่ายที่เรานึกถึงได้

 

เขาอาจไม่ได้รู้สึกว่า มีพลังอะไรมาปะทะแบบในหนังจีน ในหนังไซไฟ (sci-fi) ที่เราเห็นสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ (Special effect) กันน่ะนะ คือไม่ได้ชัดแบบนั้น

 

แต่จะเป็นเงาแสง จะเป็นเชื้อ จะเป็นตัวที่เป็นตัวตั้ง ที่ทำให้ขั้วทางจิตวิญญาณฝั่งของคุณเป็นลบ แล้วขั้วทางจิตวิญญาณทางฝั่งของเขา ก็พร้อมจะต่อติดเข้ากับขั้วลบของคุณ

 

พอเจอหน้ากัน เลยเหมือนกับมีอะไรบางอย่างมากระตุ้น ให้ผู้อื่นเป็นลบ รู้สึกไม่ดีกับเรา เพราะว่าเราจำเขา ครั้งสุดท้ายตอนเราแผ่เมตตาถึงเขา เป็นความรู้สึกเครียดๆ เป็นความรู้สึกอึดอัด

 

แม้ว่าใจเราจะบอก สัพเพ สัตตา อเวราโหนตุ แต่เอาจริงๆ กระแสของใจที่ไม่เป็นไปตามความคิด เป็นภาวะธรรมชาติของมันอยู่อยางนั้น ที่มันเป็นอกุศล ที่เป็นความดำ ความมืด ความเครียด ความอาฆาต ฝังใจอยู่ ก็ไปกระตุ้นให้เขานี่เกิดความมีโทสะตามคุณขึ้นมา แทนที่จะดีขึ้น กลายเป็นแรงกว่าเดิม นี่ อันนี้เป็นเหตุนะ

 

แล้วฝั่งของคุณเอง ถ้าแผ่เมตตาด้วยอาการผิดๆ อย่างนี้ คือไม่จำเป็นต้องเป็นแผ่เมตตาให้ศัตรูคู่อาฆาตก็ได้ แต่เป็นการแผ่เมตตาไปแบบไม่มีประมาณ นึกว่า นี่เขาเรียกว่าเป็นการแผ่เมตตา แผ่ด้วยอาการฝืนใจ ก็ยิ่งฝืน

 

คนเรานี่ เหตุตรรกะง่ายๆ เลยนะ ยิ่งฝืนก็ยิ่งเครียดใช่ไหมล่ะ แล้วคุณมาตั้งคำถามว่า ทำไมยิ่งแผ่เมตตาถึงยิ่งเครียด ที่แท้คุณไปนั่งพอกความเครียดโดยไม่รู้ตัว เอาง่ายๆ เลยนะ

 

การแผ่เมตตาจริงๆ เหมาะกับคนที่มีธรรมะจริงๆ คือ ลักษณะของการแผ่เมตตานี่นะ เป็นการเอาความสุขที่มีอยู่จริง ไปเผื่อแผ่ให้คนอื่น ความสุข ความเบาของจิต ไม่มีทางเกิดขึ้นด้วยอาการปากว่าตาขยิบ หรือปากอย่างใจอย่างนะ

 

ถ้าหากว่า เรามีใจ แล้วก็ปากที่ตรงกัน เป็นธรรม เวลาสวดมนต์ ใจจะเบาจริง เวลาคุยกับคนอื่น ใจก็จะไม่เอาความยึดความโยงในแบบที่เป็นโซ่ ไม่มีการมาบีบคั้นหัวใจกัน ไม่มีการมาเอาให้ได้ดังใจ หรือแสดงความเห็นแก่ตัวทางจิตวิญญาณ เห็นแก่ตัวทางความเชื่อกัน จะมีแต่ความรู้สึกว่า เข้าใจถึงเหตุถึงผล ฝั่งเราฝั่งเขา แล้วลักษณะที่เข้าใจถึงเหตุถึงผลนี่ จะทำให้จิต ไม่ปนเปื้อนด้วยอาการอาฆาตพยาบาท

 

ถึงแม้ว่าการแสดงออก จะเป็นการแสดงออกเพื่อความเชื่ออะไรของตัวเอง ก็จะไม่เป็นไปเพื่อความรุนแรง จะไม่เป็นไปเพื่อโทสะ จะไม่เป็นไปเพื่อผูกพยาบาทอาฆาตนะครับ

 

แล้วลักษณะของจิต ที่ไม่ผูกอาฆาตพยาบาทนี่แหละ ที่จะทำให้ใจ สบาย เบา แล้วก็มีความรู้สึกที่พร้อมจะแผ่เมตตาออกมาจริงๆ

 

ใจที่เบา ใจที่ไม่มีอะไรฝัง ใจที่ไม่มีอะไรแฝงอยู่ในจิตวิญญาณนะ จำไว้เลยง่ายๆ นะ คือชนวนของเมตตา อยู่แล้วโดยตัวเอง คุณไม่จำเป็นต้องนั่งลง หลับตาแล้วท่อง สัพเพ สัตตาเสียก่อน แต่แค่นึกถึงใจของเรา ด้วยอาการไม่อยากเบียดเบียนกัน แค่นั้น มีความโล่ง มีความพร้อมจะแผ่เป็นเมตตาอยู่แล้วนะครับ

 

เอาล่ะ ใครนึกไม่ออกว่า เอ๊ะ จะป็นสมาธิแบบแผ่เมตตาอย่างไร เวลาเกิดความโล่ง ความเบานะ ลองหลับตาลง แล้วเหมือนกับตั้งสายตามองตรงไปข้างหน้าไกลๆ เหมือนกับมองขอบฟ้านะครับ

 

แล้วถ้าเราสัมผัสถึงความว่าง ความโล่งของพื้นที่ระหว่างตัวเรา กับจุดหมายที่มีความกว้าง ที่มีความว่างเบื้องหน้าได้ รู้สึกถึงพื้นที่ความว่างได้ อันนั้น แค่ล็อคความรู้สึกไว้ คือไม่ใช่ไปบังคับกดนะ แต่แค่นึกถึง นึกถึงแบบสบายๆ นึกถึงแบบเบาๆ แล้วเลี้ยงด้วยลมหายใจ ที่ยาวสบายผ่อนคลาย

 

ถ้าใจสบายมีความผ่อนคลาย ร่างกายเนื้อตัวจะผ่อนคลายตามไปด้วย แล้วพอเรานึกถึงลมหายใจ ก็จะรู้สึกถึงความยืดหยุ่นของกายนะครับ

 

ท้องพองออกมา สบายๆ แล้วก็ท้องยุบลงไป สบายๆ นะ ไม่มีอาการเกร็ง ไม่มีอาการฝืน ไม่มีอาการเร่งร้อนลมหายใจ นี่แหละที่จะหล่อเลี้ยงความสุขที่แผ่ออกไปเบื้องหน้า จนเราเกิดความรู้สึกว่า อาการแผ่จิต อาการที่จิตแผ่ผายออกไป มีรัศมีกว้างขึ้นเรื่อยๆ มีความว่าง มีความเบา มีความโปร่ง มีความใสมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ตัวนี้นี่นะ ความเครียดหาที่เกาะไม่เจอนะครับ มีแต่ความเบา มีแต่ความโปร่งใสสบาย

__________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน แผ่เมตตาแล้วเครียดเกิดจากอะไร?

วันที่ 17 ตุลาคม 2563

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=1iqgnOgyhvA

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น