วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ภาวนาแล้วใจวางได้เร็วขึ้น โกรธน้อยลง และไม่มีความสงสัยอะไรเลย มาถูกทางหรือไม่

ถาม : (00.30.30) หลังจากภาวนามาได้พักหนึ่ง ทุกอย่างกลืนไปกับเรา พอเห็นสภาวะมาเรื่อยๆ พอกลืนเข้ามาปุ๊บ เราก็รู้สึกว่าทุกอย่างวางลงไปได้เร็วเรื่อยๆ จนบางทีรู้สึกใจเบาเกินไปหรือเปล่า แล้วสถานะอย่างโกรธ เดือนหนึ่งอาจโกรธสักครั้ง ซึ่งปกติจะขี้โมโห แต่ปัจจุบันจะหงุดหงิดเรื่อๆ เห็นเรื่อๆ อยู่ที่อก แล้วก็อยู่กับความเย็นไปเรื่อยๆ

 

ดังตฤณ : จริงๆ ที่พูดมาก็คือ มุมมองจากประสบการณ์ภายใน ที่เรารู้สึกได้ แต่เวลาที่เรา สมมติต่อไปเราเห็นคนอื่นนะ เราก็จะรู้สึกว่าเดิมนี่เขาอาจมีอะไรฟุ้งๆ ยุ่งๆ ปั่นป่วนอยู่ในหัว โคลงไปเคลงมา เสร็จแล้วต่อมา พอเจริญสติ แล้วเกิดความก้าวหน้าขึ้น  ลักษณะของจิตใสขึ้น นิ่งขึ้น เงียบลง เสียงในหัว แล้วก็ลักษณะของจิตที่เบาลง  ลักษณะของจิตที่มีความเนียน ลักษณะของจิตที่มีความโปร่งใสนี่แหละ ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกว่า อะไรๆ กลมกลืน กลืนกันไปหมด เหมือนกันไปหมด ไม่มีการแบ่งแยก

 

เดิมนี่ ไม่มีการแย่งแยก เมื่อมีความคิดขึ้นมาเป็นกำแพง นั่นแหละ ความแบ่งแยกถึงได้เกิดขึ้น ไอ้นั่นดี ไอ้นี่ไม่ดี ไอ้นั่นถูกใจ ไอ้นี่ไม่ชอบใจ ลักษณะที่ใจมีความคิดปั่นป่วนฟุ้งซ่านเป็นกำแพงนั่นแหละ ที่ทำให้อะไรๆ ปรากฏ โดยความเป็นชนวนเหตุของทุกข์ได้ไปหมด

 

แต่เมื่อใจเราโปร่งใส ว่าง สบาย แล้วมีความคงเส้นคงวา อยู่กับความนิ่งใสตรงนั้นได้  ความรู้สึกว่ากลมกลืนก็เกิดขึ้น เหมือนกับจิตใจนี่ เดิมมีสภาพที่เป็นตัวเป็นตน เป็นก้อน ไปปะทะกับอะไรก็เกิดการกระแทก เกิดอาการบาดเจ็บ แต่เมื่อมันใส เมื่อโปร่งเหมือนอากาศ ไปปะทะกับอะไรก็นิ่ง ก็เงียบ ไม่มีปฏิกิริยา ไม่มีการโต้ตอบ

 

ลักษณะนั้นต่างหาก ที่เราควรจะสังเกต ไม่ควรจะไปสงสัยตัวเอง ว่านี่ใช่หรือไม่ใช่ นี่เราอุปาทานไปเองหรือเปล่า

 

ต่อไป เวลาเกิดข้อสงสัยว่าตัวเองก้าวหน้าจริงหรือไม่จริง ถูกหรือผิด ให้ดูที่ใจนั่นแหละ ใจนิ่งๆ เงียบๆ เรียบๆ ใสๆ หรือเปล่า ถ้าหากว่า มีความนิ่งความเบา ความเรียบความใส บอกตัวเองได้เลย นั่นไม่ใช่อุปาทาน เพราะเราไม่สามารถแกล้งสร้างความรู้สึกใส เรียบ นิ่ง อย่างคงเส้นคงวาได้

 

แต่ถ้าใจเราในหัว กำลังมีอาการปั่นป่วน แล้วเราแกล้งหลอกตัวเองว่า เรารู้จักธรรมะแล้ว เราเข้าใจธรรมะแล้ว เรามีความก้าวหน้าทางธรรมะแล้ว นั่นแหละ ใจของเราจะพ่นพิษออกมาใส่เราเอง โดยการบอกให้รู้ว่า วันดีคืนดี มันเก็บอัด เหมือนกับมีไดนาไมต์อยู่กลางอก แล้วระเบิดตูมตามขึ้นมา

 

แต่ถ้าหากเดือนหนึ่งจะโมโหสักครั้ง สองครั้ง อย่างที่บอก อย่างนี้ ก็เป็นหลักฐานเป็นร่องรอยได้ว่าเราไม่ได้คิดไปเอง

 

ถาม : (00.34.29) (ต่อ)  ทุกวันนี้เหมือนไม่สงสัยอะไรเลย ผิดปกติหรือไม่

 

ดังตฤณ : คือถ้าเรามีจิตที่เรียบนิ่ง ใส ขึ้น ทำยังไม่ถึงที่สุดหรอก แต่ว่าถ้ามีความใสความนิ่ง และกำแพงความคิดทะลายลงไป ความสงสัยก็หายตาม

 

เดิมที่คนเราขี้สงสัย ก็เพราะจิตไม่นิ่ง คือไม่ใช่เพราะคนเราคิด สงสัยได้อย่างฉลาด ไมใช่คนเราขี้สงสัย มาแต่กำเนิด แต่เป็นเพราะจิตของเราไม่สงบ ไม่นิ่ง ไม่ใส มีความขุ่น แล้วไม่พอใจความขุ่นของตัวเอง ไม่พอใจความกระโดดโลดเต้นของตัวเอง ถึงแสดงออกมาเป็นความขี้สงสัยไปหมด

 

แต่พอจิตเรียบนิ่ง ใส จะไม่สงสัยสิ่งที่ยังไม่รู้ แล้วก็จะรับรู้สิ่งที่เข้ามากระทบ ณ ปัจจุบันนั้น ณ ขณะนั้น ด้วยความรู้สึกที่ไม่ต้องการต่อความยาว สาวความยืด ตรงนี้แหละ ลักษณะของจิตที่นิ่ง ที่ใส จะไม่อยากต่อความยาว สาวความยืด จะอยากอยู่สุขสงบอยู่อย่างนั้น ลักษณะที่จิตมีความนิ่ง ความใส แล้วอยากจะอยู่สงบอย่างนั้น ทำให้ขี้เกียจสงสัยนะ ไม่ใช่ความผิดปกติ!

________________

รายการดังตฤณวิสัชนา ณ ศูนย์เรียนรู้วรการ คลิปที่ 1

วันที่ 11 ตุลาคม 2563

ถอดคำ / เรียบเรียง : เอ้

รับชมคลิปเต็ม : https://www.facebook.com/watch/?v=682032666066316

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น