(00.42.22) ถาม : โดยอาชีพเป็นคนทำงานเบื้องหลัง ผลิตรายการทีวี พอดีเจ็ดแปดปีที่ผ่านมา ออกมาเป็นฟรีแลนซ์เพราะมีข้อสงสัย ตั้งแต่ตอนเรียน ถูกสอนว่า เวลาทำโฆษณาหรือทำรายการ เราจะนำเสนอเฉพาะมุมที่ดีหรือสร้างภาพให้สวยงาม ให้คนดูได้ความบันเทิง ได้ความรู้ แต่ตอนที่ตัดสินใจออกจากงานประจำเพราะต้องไปทำรายการประเภทหนึ่งที่ทำให้คนอื่น ได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และรู้สึกว่า ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา สะสมนิสัยโกหกมาตลอดหรือเปล่า
ในช่วงแปดปีที่เป็นฟรีแลนซ์
ก็จะเลือกรับงานที่รู้สึกว่าไม่ได้ทำให้คนอื่นได้รับข่าวสารข้อมูลทีไม่ครบถ้วนที่ไม่ถูกต้อง
แต่สุดท้ายก็ยังมีการที่จะต้องทำอยู่ จึงไม่สบายใจ
ดังตฤณ : เข้าใจครับ พระพุทธเจ้าสอนนะ
ว่า เจตนาคือกรรม กรรมคือเจตนา เจตนาของเรา อันดับแรกเลยที่สำคัญที่สุดคือ
เอาตัวรอดให้ได้ด้วยการทำอาชีพที่เป็นอาชีพสุจริต นั่นคือข้อแรก
ข้อสอง คือเรารู้ เพราะว่ากรรม เริ่มจากการรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
เราทำอาชีพที่สุจริตก็จริง แต่ใจอดที่จะบอกตัวเองไม่ได้ว่า เรากำลังบิดเบือนนะ
แล้วการบิดเบือนนั้นประสบความสำเร็จมากขึ้นเท่าไหร่ แทนที่เราจะภูมิใจ กลับกลายเป็นเสียใจ
ขึ้นอยู่กับว่า ฐานชีวิตของเรามาถึงไหน
ถ้าฐานชีวิตของเรา มาถึงจุดที่ว่าจะเอาความภาคภูมิใจ
ในผลงานของตัวเองอย่างเดียว จะเอาปริมาณ อย่างนั้นเราอาจภูมิใจก็ได้ว่า เราเก่ง
สามารถหลอกคนอื่นได้ทั้งประเทศ
แต่ถ้ามาถึงจุดที่ ฐานชีวิตของเราอยู่กับธรรมะ
อยู่กับความตรง อยู่กับอะไรที่เราต้องการให้ถูก ให้ดี มันจะพลิกกลับจากความภูมิใจเป็นเสียใจ
แล้วก็กลายเป็นความฝังใจว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
ทีนี้ เพื่อที่จะหลุดออกจากข้อข้องใจ ที่เรามีให้กับตัวเอง
ประการแรก นี่คืออาชีพที่เรายังต้องทำอยู่ อันดับสอง คือ ใจของเราจริงๆ
ถามตัวเองเข้าไปแล้ว ใจอยากเลือกสิ่งที่ถูก ไม่บิดเบือน สิ่งที่ดี ไม่เป็นโทษกับสังคม
นี่คือใจจริงๆ ของเรา แต่เรายังออกมาไม่ได้
แล้วจะบอกว่า เราติดอยู่ในวังวนหรืออะไรก็แล้วแต่นี่นะ
ทุกคนที่ทำอาชีพ พระพุทธเจ้าบอกว่า ฆราวาสเป็นทางมาของธุลี คือ ไม่มีหรอกที่สะอาดได้หมดจด
ในเมื่อคู่ค้าของเรา เพื่อนร่วมงาน หรือว่าผู้ที่มีอำนาจเหนือเรา เป็นคนให้เงินเรา
เขายังเทา อยู่ ถ้าไม่มืดนะ เขาก็อาจยังเทาอยู่
เราก็มองว่าตรงนั้น เราเป็นกลจักร
กลจักรชิ้นหนึ่งในกลจักรที่ใหญ่กว่า ในเครื่องจักรที่ใหญ่กว่า
แล้วใจจริงของเราอยู่ตรงไหน ตรงที่ว่า ถ้าเลือกได้ เราจะเลือกที่จะไม่อยู่ในเครื่องจักรเครื่องนี้
จะไปอยู่ในเครื่องจักรเครื่องอื่น
ตรงนี้เราก็จะสบายใจแล้วว่า
เส้นทางที่เป็นรากเหง้ากรรมของเราจริงๆ เป็นไปในทางดี แต่ตอนนี้ยังไปไม่ได้
ไม่เป็นไร ก็แต่ละครั้งที่เรารู้ตัวว่า ได้ทำอะไรที่ไม่(ซื่อ)ตรงไป
เราก็หาทางชดเชย ด้วยการทำให้โลกส่วนอื่นดีขึ้น ถูกต้องมากขึ้น
มีข้อมูลที่เป็นจริงมากขึ้น
ยกตัวอย่าง เราเอาธรรมะดีๆ
หรือเอาสิ่งที่เรารู้ว่า อันนี้สมควรที่สังคมจะได้รับ ไปมอบให้ ยกตัวอย่าง
เด็กที่ยากไร้ หรือว่าเขาไม่มีโอกาส ด้อยโอกาสทั้งหลาย
เขาได้มีโอกาสที่จะได้ข้อมูลดีๆ ความรู้ดีๆ ที่ใช่ อันนี้คือตัวอย่างง่ายๆ นะ
เพราะก็ทำให้เกิดบาลานซ์ (Balance)
ในใจได้บ้างแล้ว
กุศล กับ อกุศล แทนกันไม่ได้ บุญกับบาป
แทนกันไม่ได้ก็จริง แต่บาลานซ์กันได้ ในความรู้สึกที่มันเป็น
ที่ใจของเราเป็นเครื่องชั่งอยู่
ถ้าหากว่าเราทำตรงนี้ไป กระทบกับคนประมาณเท่าไหร่
เราอยู่ในวงการ เห็นตัวเลขประมาณอยู่ แล้วเราก็พยายามทำอีกด้านหนึ่ง
โอเคจะได้หรือไม่ได้ ยังไม่ต้องสนใจนะ เอาแค่ว่า เราพยายาม
มีความพยายามขึ้นมาในใจให้เท่ากันให้ได้ นี่ แค่นี้ก็เกิดบาลานซ์
แล้วเราก็จะได้รู้ว่าใจจริงๆ ของเราเราเลือกข้างขาว ไม่ต้องการดำ ตอนนี้เราอยู่เทา
แต่จริงๆ เป็นเทาที่ค่อนมาทางขาวนะ!
________________
รายการดังตฤณวิสัชนา ณ
ศูนย์เรียนรู้วรการ คลิปที่ 1
วันที่ 11 ตุลาคม 2563
ถอดคำ / เรียบเรียง
:
เอ้
รับชมคลิปเต็ม : https://www.facebook.com/watch/?v=682032666066316
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น