ดังตฤณ : คือบางปัญหามันไม่ใช่ปัญหาทางใจอย่างเดียว มันเป็นปัญหาภายนอก ซึ่งถ้าผมหาคำตอบดีๆ นึกคำตอบดีๆไม่ออก ผมขออนุญาตนะครับว่า คือผมไม่ชอบที่จะให้กำลังใจโดยที่ส่วนลึกรู้อยู่ว่า พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ มันไม่ได้แก้ปัญหาให้คุณได้จริงๆนอกจากปลอบใจ
ถ้าปัญหาภายนอกเกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอกที่เขาทำให้คุณไม่พอใจ ถ้าคุณจะเอาคำตอบว่า ทำใจยังไงถึงจะชอบเขา หรือว่าถึงจะแผ่เมตตาให้เขาได้ แบบนี้มันไม่มีคำตอบที่ดี ผมไม่อยากให้เป็นการที่เรามาแนะนำกันแล้วเอาไปใช้ไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ พูดไปเสียเวลาเปล่า พูดไปเปลืองแรงเปล่า เปลืองแรงทั้งคนฟังแล้วก็คนคิดคำตอบนะครับ
แต่บอกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าทุกข์ทางใจจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน คุณไม่ได้โดดเดี่ยว มีคนอื่นเขาทุกข์แบบเดียวกับคุณ หรือว่าหนักกว่าคุณ สาหัสกว่าคุณเยอะแยะ แต่ก็สามารถที่จะอาศัยการเจริญสติมาช่วยแบ่งเบาความทุกข์ให้มันน้อยลงนะครับ
เรื่องทางใจ คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนไทยจะคาดหวังว่า ปัญหาที่กองอยู่ตรงหน้า ที่มันหนักหนาสาหัสอยู่มันจะถูกขจัดปัดเป่าได้ด้วยสิ่งวิเศษอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่มันเหมือนกับเสกปิ๊งเดียวแล้วปัญหาหายไปหมด เหลือแต่ชีวิตที่โล่งๆโปร่งๆ แล้วก็เกิดความสบายในการเดินต่อไป ผมผ่านมาแล้วนะ คือไอ้ชีวิตที่มันหนักหน่วง มันไม่น่าจะมีทางออก ไม่น่าจะมีทางไป ผมเข้าใจดี
เพราะฉะนั้นถึงกำลังพูดอยู่ว่า ผมไม่อยากให้กำลังใจแค่ด้วยวิธีอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ อย่างเช่น คนบางคนทำไม่ดีกับเราซ้ำๆอยู่ข้างบ้าน แล้วก็สร้างเหตุสร้างปัจจัยอะไรที่ทำให้เราเป็นทุกข์เป็นร้อน อยู่ดีๆคุณไปแผ่เมตตาแล้วคุณจะมาคาดหวังเอาจากผมว่า มีวิธีอะไรสักอย่างหนึ่งที่จะทำให้เขาเปลี่ยนใจ แล้วก็หันมาทำดีอย่างที่คุณต้องการ แบบนั้นเขาเรียกไสยศาสตร์ มันใช่การเจริญสติ มันไม่ใช่วิธีที่จะหาทางออกในแบบที่มันเป็นไปได้จริงด้วยการทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งที่ฝั่งเรานะครับ
มันต้องหาทางออกแบบโลกๆ อย่างเช่น ไปคุยกับเขา หรือว่าแม้กระทั่งว่าแจ้งตำรวจ หรืออย่างบางท่านบอกว่า มันมีความทุกข์สาหัสจากการที่ต้องรับผิดชอบอะไรด้วยตัวเองคนเดียวตามลำพัง คนที่กดดันตัวเองว่ามันไม่ไหว มันไม่ไหวเนี่ย มักจะมีวูบของการคิดสั้นขึ้นมาบ่อยๆ
ที่นี้เวลาที่เราตั้งโจทย์ ดูได้เลยว่าโจทย์ในใจของเรา มันกำลังเป็นยังไงอยู่นะครับ บางคนถามว่าจะเอาตัวรอดจากภาวะที่กำลังลำบากอยู่คนเดียวแบบนี้ได้ยังไง ต้องรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างเอง เงินก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี ถ้าโจทย์ของคุณคือทำยังไงดี แล้วก็คิดซ้ำๆอยู่แค่ทำยังไงดี คุณจะไปถามคนอื่นแบบนั้นเหมือนกัน แล้วผลลัพธ์ก็คือว่า คุณจะรู้สึกว่า มันไม่มีคำตอบที่แท้จริง มันไม่มีใครช่วยคุณได้ ตัวคุณเองก็ไม่ทราบจะทำยังไงกับภาวะทางอารมณ์ที่มีแต่คำว่า “จะทำยังไงดี”
ทีนี้ถ้าเหมือนกับเราจะเอาประโยชน์อะไรกับการเจริญสติ แล้วเราเข้าใจคอนเซ็ป (concept) ของการเจริญสติจริงๆว่า มันคือการตั้งต้นจากการยอมรับความจริง ยอมรับสภาพความเป็นจริง มันจะไม่ใช่หยุดแค่นั้นนะ มันจะไม่ใช่หยุดแค่ตรงที่ว่า เอ้ย! ยอมรับมันไปเถอะ ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้แหละ มันไม่ใช่แค่นั้น การมีสติที่แท้จริง คือการรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แล้วรู้ด้วยว่าจะผ่านมันไปได้ยังไงเมื่อมันเป็นปัญหา
การเจริญสติให้เห็นกายใจไปทำไม?
เพื่อให้เห็นว่ามันไม่มีอะไรน่ายึด
เราต้องผ่านมันไปให้ได้ไอ้ความยึดติด ความเป็นอุปาทาน ภาวะแบบนั้นเนี่ย
มันจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าหากว่าเรายังมีภาระแบบโลกๆอยู่
เพราะฉะนั้นการมีสติแบบโลกๆต้องมาก่อน
แล้วการมีสติแบบโลกๆคืออะไร?
คือยอมรับความจริงว่า
มันกำลังเกิดขึ้น มันเป็นความจริงที่เกิดขึ้น แล้วก็คิดแบบมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
คิดเป็นวันๆว่าจะผ่านวันนี้ไปได้ยังไง แล้วจะวางแผนให้กับวันพรุ่งนี้ต่อไปได้ยังไง
การที่เรามีสติแบบพุทธ ไม่ใช่การที่เราจมอยู่กับความรู้สึกว่า จะทำยังไงดี จะทำยังไงดี แล้วก็มันไม่มีทางออก ..
มันมีทางออก มันมีทางออกอยู่ที่วิธีที่เราคิดนั่นแหละ การตั้งสติในแบบรายวันของเรานะครับง่ายๆเลย ถามตัวเองขึ้นมาคำแรก ตอนตื่นนอนขึ้นมาว่า วันนี้เราทำอะไรขึ้นมาได้บ้าง
อย่าให้ความคิดวนประเภทที่ว่า จะทำยังไงดี จะเอายังไงดี มันไม่มีทางออกเกาะกุมอยู่ในหัวของคุณ แต่ตื่นเช้าขึ้นมาตอนหัวโล่งๆ ตอนใจสบายๆอยู่ ถามตัวเองว่า เรามีความรู้ เรามีความสามารถที่จะทำอะไรกับวันนี้ได้บ้าง ถามเป็นวันๆ แล้วถ้าแต่ละวันทำได้จนกระทั่งเกิดความรู้สึกว่ามีความชิน มีความสามารถที่จะจัดการวันนั้นได้จริงๆเนี่ยนะ จัดการปัญหาในวันนั้นได้ ค่อยถามตัวเองต่อว่า เราจะวางแผนไปในอนาคต ทำให้อนาคตมันดีขึ้นกว่าปัจจุบันนี้ได้อย่างไร
ที่ผมพูดมาทั้งหมด พูดด้วยความเข้าใจ แล้วก็เคยมีวันคืนที่มันทุกข์ทรมาน แล้วก็หาทางออกไม่เจอมาก่อน เข้าใจดีว่าสภาพจิตใจของคุณย่ำแย่ขนาดไหน ไม่ใช่ไม่เห็นใจ ไม่ใช่ไม่รู้ ไม่ใช่ไม่รับรู้ แต่เพราะรับรู้นั่นแหละ ถึงได้บอกคุณด้วยความเข้าใจนะว่า ภาวะอารมณ์ที่มันเหมือนกับหาทางออกไม่เจอ มันเจอแต่ทางตัน มันคิดอะไรไม่ได้ มันคิดแต่ว่าจะเอายังไง เมื่อไหร่มันจะจบ แต่พอวันหนึ่งเรามีสติ ได้ประโยชน์จากการเจริญสติ เห็นกายเห็นใจ แล้วก็รู้ว่ากายใจมันมีอยู่แค่นี้แหละ ตัวเดิมนี่แหละ มีให้รู้แค่ที่เป็นอยู่นี่แหละ สภาพความเป็นจริงมันก็แบบนั้นเหมือนกัน คือมีความจริงปรากฏอยู่เท่าที่มันกำลังเป็นอยู่ในชีวิตของเราจริงๆ
เมื่อสติของเราเกิดได้ กับความจริงที่เกิดขึ้น มันถึงจะคิดต่อได้ แล้วก็ออกจากการครอบงำของความคิดที่มันซ้ำไปซ้ำมาวนไปวนมา
แต่ละคนจะต้องรู้ให้ได้ในตอนเช้าว่าตื่นขึ้นมาเราทำอะไรได้บ้างในวันนั้นนะครับ ถ้าหากว่ามันตื่นขึ้นมาพร้อมกับสติ แล้วก็รู้ว่าจะทำอะไร สติของคุณจะบอกตัวเองนะว่า มันไม่ได้มีอะไรร้ายแรงมากไปกว่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะฝ่าฟันไปได้นะครับ
ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ
แต่เป็นกำลังใจเนี่ยไม่ใช่แค่บอกว่า ส่งกำลังใจให้ สู้ สู้ (ชูสองนิ้ว)
อะไรแบบนี้เนี่ยนะ คือผมไม่ชอบแบบนั้น แล้วเท่าที่จำได้เนี่ยไม่เคยพูดกับใครนะว่า
สู้ สู้ (ชูสองนิ้วพร้อมยิ้ม) เพราะตอนที่กำลังแย่จริงๆ แล้วถ้าใครมาพูดแบบนั้น
มัน .. คือผมมีความรู้สึกกับตัวเองว่า มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะครับ (คุณดังตฤณยิ้ม)
แต่การให้สติต่างหาก การที่เรามีสติขึ้นมาได้ แล้วก็คิดได้ขึ้นมาจริงๆ แต่ละเช้าเราจะตื่นขึ้นมาทำอะไร
อันนั้นมันเป็นการสู้ที่แท้จริง แล้วมันเป็นการที่เราพบตัวเองออกมาจากชีวิตเขตมืด
เข้าเขตสว่างได้นะครับ ขออวยพรนะครับ
---------------------------------------------
๑๗
ตุลาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน แผ่เมตตาแล้วเครียดเกิดจากอะไร?
คำถาม : เวลาเราทุกข์หนักๆ หนี้สินรุมเร้าเป็นหนี้ร้อยละ20 ร้อยละ30 75000 ทุกวันนี้เค้าให้จ่ายเฉพาะดอกเดือนละหมื่นกว่าบาท เครียดมาก รู้สึกชีวิตล้มเหลว อายุ30+ มาท้องอีก เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ตัวคนเดียวทุกข์มาก พ่อแม่แก่แล้ว ทำงานเงินไม่เคยเหลือเพราะเอาไปจ่ายหนี้หมดเลย ต้องขอเงินแม่กินข้าว รู้สึกทุกข์และบาปมาก จะก้าวผ่านปัญหานี้ไปยังไงดีคะ ร้องไห้ทุกวันเลย?
ระยะเวลาคลิป ๑๐.๐๕ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=NeBb6i-1mQA&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=3
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น