วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2563

เมื่อก่อนชอบสวดมนต์ แต่ตอนนี้ชอบนั่งสมาธิแต่นั่งแล้วรู้สึกโคลงเคลง เพราะอะไร

ถาม : (01.14.36) เมื่อก่อนเป็นคนที่ชอบสวดมนต์แต่ไม่ชอบนั่งสมาธิ แต่สองสามปีหลัง หันมานั่งสมาธิเกือบทุกวัน แต่ไม่ชอบสวดมนต์ แล้วช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา บางทีพอแค่หลับตา รู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างออกมาจากมือ หรืออย่างเมื่อวาน แค่หลับตาปุ๊บก็รู้สึกเหมือนกับตัวเอง โคลงเคลงไปพักใหญ่จึงจะสงบ อยากทราบว่าเหตุการณ์พวกนี้คืออะไร

 

ดังตฤณ : อันดับแรก การสวดมนต์ ถ้าหากว่าเราสวดถูกต้อง ก็เป็นสมาธิได้ในตัวของมันเอง ที่เราบอกว่าพอมานั่งสมาธิแล้วไม่ชอบสวดมนต์ ก็อาจเป็นไปได้ว่าที่เราสวดมนต์มา อาจทำให้ไม่ถึงขั้นเป็นสมาธินะ

 

ทีนี้ เรื่องการสวดมนต์ให้เป็นสมาธิต้องสำรวจรายละเอียดหลายอย่าง เช่น คอตั้งหลังตรงไหม ตั้งใจเริ่มต้นขึ้นมา อิติปิโส ภควา อรหังสัมมา ... นี่ เราระลึกถึงแก้วเสียงของเราหรือเปล่า ถ้าระลึกถึงแก้วเสียง เราตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชาดูไหม

 

ถ้าหากว่าตั้งใจถวายแก้วเสียงเป็นพุทธบูชา ถ้าเราตั้งใจสวดโดยการเปล่งเสียง ถวายแก้วเสียงเป็นพุทธบูชา ใจเราจะนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็จูนติดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์จนกระทั่งใจสว่างขึ้นมา (เสียงขาดหายไป)

ที่บอกว่า ชอบสวดมนต์ ไม่ชอบนั่งสมาธิ เพราะตอนนั้น การสวดมนต์อาจเป็นทางเดียวที่ทำให้เกิดสมาธิได้ (มีเสียงรบกวน)

 

ที่ผมพูดก็คือว่า จะให้สังเกตดู ถ้าหากว่าเราสวดแบบถวายแก้วเสียงเป็นพุทธบูชาแล้ว มีปีติ เป็นสมาธิได้ ก็จะชอบเท่าๆ กัน

 

ทีนี้เรื่องของพลัง ร่างกายของเราไม่ใช่ท่อนฟืนเปล่าๆ ตอนนี้ประกอบอยู่ด้วยจิต จิตครองกายนี้ แล้วจิตนั้นประกอบด้วยกรรม จิตที่มีกรรมในทางดี แล้วกรรมดีนั้นเผล็ดผลอยู่ จะทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย สบาย ไม่มีอะไร แล้วรู้สึกว่า พอร่างกายสบายผ่อนคลาย โลกทั้งใบเหมือนจะเบา แล้วก็ผ่อนคลายตามไปด้วย

 

ทีนี้พอนั่งสมาธิ จิตจะแตกต่าง ไม่ได้อาศัยบุญเก่าในการครองกาย แต่อาศัยบุญใหม่ ที่เกิดจากการนั่งสมาธิ แล้วกายที่ถูกจิตอันเป็นสมาธิควบคุมอยู่ จะเริ่มสำแดงความเป็นธาตุ ที่เป็นต่างหากจากจิตออกมา

 

ความเป็นธาตุคืออะไร จะประกอบไปด้วยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ส่วนที่รู้สึกว่าเป็นพลัง ส่วนที่รู้สึกว่าโยกได้ มีอาการที่เกินๆ อวัยวะทางกายออกมาได้ เป็นส่วนของธาตุไฟเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นธาตุไฟเท่านั้น

 

อย่างบางทีเรามีความรู้สึก ไหล คล้ายๆ มีกระแสอะไรบางอย่างไหลทั่วร่าง อย่างนี้เรียกว่าเป็นการแสดงตัวของธาตุลม ซึ่งธาตุดินน้ำไฟลมนี่ ถ้าหากว่าไม่สมดุล สมมติอย่างธาตุไฟ เกินธาตุอื่นออกมา จะมาในรูปของความรู้สึกที่ว่า มีพลังไหลเวียน มีพลังอะไรที่เป็นก้อนๆ น่าจะสามารถควบคุมเอามาใช้ได้ ซึ่งตรงนี้มีศาสตร์เฉพาะ เรียกว่าพลังจักรวาลบ้างอะไรบ้าง ที่เอาไปรักษาโรค หรือว่าคนที่มีสมาธิระดับฌาน เอาไปเผาเมืองยังได้ พระพุุทธเจ้ายืนยัน

 

ที่พูดไปทั้งหมดคือคำอธิบายว่า นั่นก็คือการแสดงตัวของธาตุดินน้ำไฟลม ที่มีอยู่แล้วตามปกติในร่างกายของเรานี่แหละ เพียงแต่ว่ามันพิเศษขึ้นมา เพราะว่าสมาธิของเราใหญ่ขึ้น สภาพดินน้ำไฟลม ถูกปรุงแต่งด้วยจิตวิญญาณที่ใหญ่ขึ้น มีสมาธิมากขึ้น แต่ยังไม่สมดุล ทีนี้เราจะเอามาใช้ประโยชน์อย่างไรในทางพุทธ

 

เมื่อเราพบว่ามีอาการผิดปกติขึ้นมา ตอนนี้เราเรียกว่าผิดปกติเพราะว่า มันแปลก ไม่เหมือนเดิม มีอะไรที่ extra มีอะไรที่พิเศษขึ้นมา สิ่งที่เราจะใช้ประโยชน์จากมันได้ก็คือ เห็นว่า นี่แหละเรียกว่า ธาตุไฟ แล้วเวลาที่เกิดอาการที่บวมๆ ขึ้นมา หรือว่ามีพลังอะไรขึ้นมาเป็นพิเศษ เราขนานนามให้ว่า นี่คือธาตุไฟนะ แค่นั้น

 

เสร็จแล้วมีอะไรไหลๆ เรียกว่าเป็น ธาตุลม หรือถ้าหากว่าเรารู้สึกราวกับว่า ร่างกายของเราแสดงความเป็นหุ่น คล้ายๆ กับรู้สึกเหมือนกับเป็นหุ่นนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ใช่เป็นเรา ก็นับว่าเป็นธาตุดิน นี่เรียกโดยความเป็นธาตุ แล้วเกิดประโยชน์อะไร เกิดความรู้สึกว่า เราเข้าใจ

 

จิต หากมีสมาธิด้วย แล้วประกอบด้วยความเข้าใจด้วยนี่ จะเกิดปัญญาขึ้นมา จะพร้อมพัฒนาขึ้นเป็นปัญญา ไม่อย่างนั้นจะทื่อ จะสงสัยอยู่อย่างนั้นว่า นี่อะไรเกิดอะไรขึ้น มีปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แล้วเราจะแก้อย่างไร เป็นห่วงกังวลไปว่าเดี๋ยวเราจะเป็นบ้าหรือเปล่า ตรงนั้นนี่คือสิ่งที่เราคล้ายๆ กับคนที่เข้าป่ารก ถ้าหากว่าไม่มีเข็มทิศที่จะออกจากป่า ก็จะหลงวน หรือไม่ก็โดนเสือตบตาย

 

แต่ถ้าเราเข้าใจไว้ก่อนว่า อันนี้เรียกว่าธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุดิน แล้วสังเกตว่ามันเที่ยงหรือไม่เที่ยง ตัวนี้ที่สำคัญที่สุด

 

ถ้าสติของเรา สังเกตโดยความเป็นของไม่เที่ยง รู้ว่าธาตุไฟนี่ พลังแบบนี้เกิดขึ้นวูบๆวาบๆ แล้วเดี๋ยวก็หายไป หรือโตขึ้น ใหญ่ขึ้น นิ่งขึ้น เราก็รู้ รู้โดยความเป็นของไม่เที่ยง สติที่เห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงนี่ จะเจริญขึ้นถึงขนาดที่เราสามารถควบคุมได้ ถ้ามันมากเกินไป

 

ถ้าเรามีสติมากพอ มีกำลังสติมากพอที่จะทำให้มันทุเลาเบาบางลง เข้าสู่สภาพสมดุล เพราะว่าจิตที่มีสติประกอบอยู่ จะมีความสามารถควบคุม ให้ธาตุดินน้ำไฟลมบาลานซ์ได้ ฟังแล้วเข้าใจไหม

 

แต่ถ้าเราไม่เข้าใจ เราก็จะเพ่ง เพ่งไปที่ตรงนั้น ที่ผิดปกติ แล้วเราก็จะรู้สึกว่ามันผิดปกติมากขึ้นๆ นี่ เห็นความต่างใช่ไหม โลกภายในนี่ บางทีต่างกันนิดเดียวนะ องศาต่างกันนิดเดียว แต่ชีวิตของเราผิดกันไปเป็นคนละเรื่องเลยนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชีวิตของความเป็นนักเจริญสติ ถ้าหากว่าเราตั้งทิศทางไว้ชัดเจนว่า อะไรๆ เป็นปรากฏการณ์ภายในใจนี้นี่ ที่เกิดขึ้น เราจะเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงให้หมด เราไปนิพพานแน่นอน นี่คือทิศทางของการไปนิพพาน

 

แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้น แล้วเราสงสัย ไม่จบ แล้วเน้นเข้าไปแล้วก็สงสัยเข้าไปอีก จุดที่มันเกิดขึ้น นั่นไม่ใช่ทางไปนิพพาน นั่นคือทางไปไหนก็ไม่รู้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะพาตัวเองไป!

________________

รายการดังตฤณวิสัชนา ณ ศูนย์เรียนรู้วรการ คลิปที่ 1

วันที่ 11 ตุลาคม 2563

ถอดคำ / เรียบเรียง : เอ้

รับชมคลิปเต็ม : https://www.facebook.com/watch/?v=682032666066316

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น