ดังตฤณ : อันนี้ยังไม่ได้เห็นจริงนะครับ
ถ้าแค่พิจารณาด้วยความคิดในขณะที่มีสมาธิ แล้วรู้สึกว่ากายจะต้องแตกสลายไป มันเป็นจินตามยปัญญาในขณะที่มีสมาธิเป็นฐานอยู่ระดับหนึ่ง
แต่ยังไม่ใช่ตัวการเห็นจริงๆนะครับ ถ้าเห็นจริงๆเนี่ยมันเห็นเข้ามาในของจริงแบบนี้
แล้วรู้เลยนะครับว่าเน่าเปื่อยผุพังเป็นยังไง หน้าตาเป็นยังไงนะครับ
ทีนี้คือพอเกิดเป็นปิติสุขขนลุกตัวสั่นอะไรต่างๆ
แล้วอยากออกจากสมาธิต้องทำยังไงต่อเนี่ยนะครับ คือจริงๆแล้วไม่ใช่ไปทำต่อจากตรงนั้น
แต่เริ่มใหม่เลยคือพิจารณาใหม่เลยว่า ตอนที่เกิดปิติ ตอนที่เกิดความเบาขึ้นมา
มันเป็นวูบแห่งความปรุงแต่งที่เกิดจากจินตามยปัญญา ตัวที่จะตัดสินว่าภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นแล้วหรือยัง
ไม่ได้ตัดสินกันที่ตัวสมาธิอย่างเดียวนะครับ ตัดสินกันที่มุมมอง ตัดสินกันที่ปัญญาด้วย
ถ้าหากว่าเรามีสมาธิระดับนึงเห็นกายได้ชัด
แล้วไปนึกเอาว่า นี่มันจะต้องเสื่อมไปแล้วจะต้องแตกดับแล้วไปวาดภาพของความเสื่อมขึ้นมาด้วยจินตนาการ
แบบนี้ยังเข้าข่ายจินตามยปัญญาอยู่นะครับ ยังไม่ขึ้นมันไม่ยกขึ้นภาวนามยปัญญานะครับ
แล้วถ้าเกิดปิติอะไรในช่วงนี้
ขอให้พิจารณาว่า นั่นเป็นแค่ผลของการมีความรู้สึกว่า ใจเนี่ยวางได้ในระดับจินตนาการ
ไม่ใช่วางได้ในระดับภาวนามยปัญญา พอพิจารณาแบบ อาการขนลุกขนชัน
หรือว่าโอ้ยเนี่ยฉันปล่อยวางแล้วอะไรต่างๆ มันจะลดระดับลง
อันนี้ที่เล่ามาที่พูดมาผมเข้าใจนะ คือผมก็เคยเกิดขึ้น ทุกคนเคยเกิดขึ้นหมดนะครับ
มีสมาธิระดับนึงพิจารณากาย
แล้วรู้สึกเออมันจะต้องเสื่อมไป จิตมันก็เกิดความปล่อย เกิดความวาง
แต่ตรงนั้นไม่ใช่วางจริงนะครับ เป็นการวางด้วยจินตนาการ
ผมเปรียบเทียบนะ
เหมือนกับเราอ่านนิยาย แล้วรู้สึกอินมากกับตัวละคร
บางทีเนี่ยโกรธแค้นตัวละครที่มันเลวๆ ที่นักประพันธ์เขาใส่เข้ามา
ราวกับว่าเราเป็นผู้ถูกกระทำเสียเอง หรือบางทีอ่านถึงตอนที่นางเอกพระเอกให้อภัย
แล้วรู้สึกโล่งใจตาม อินมากรู้สึกเหมือนกับว่า พร้อมจะให้อภัยคนทั้งโลก
นี่เรียกว่าเป็นความสุขหรือว่าเป็นความทุกข์ อันเกิดจากการที่จินตนาการมันแจ่มชัด
อย่างอ่านหนังสือเราก็มีสมาธิในการอ่านระดับหนึ่งใช่ไหม
แล้วพอเราถูกกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ตามตัวละคร มันก็เกิดความอินจัด
มันก็เกิดความรู้สึกเหมือนกับว่า บางเนี่ยแทบจะอยากเขวี้ยงหนังสือทิ้ง
หรือว่าเกิดความกระสับกระส่ายทางกาย ปั่นป่วนทางกาย
หรือว่าเกิดความรู้สึกตัวลอยตัวเบาไปตามตัวละครในหนังสือ
อันนี้ก็ทำนองเดียวกันนะครับ พอเราพิจารณาอย่างนี้ว่า
เวทนาที่เกิดขึ้นเป็นเวทนาอันเกิดจากการปรุงแต่งทางจินตนาการ มีพื้นสมาธิรองรับอยู่ระดับหนึ่ง
สติที่มันเท่าทันเวทนาที่มันพุ่งขึ้นมา ปิติที่มันพุ่งขึ้นมาแรงตอนนั้นเนี่ย
จะทำให้ปิติ ณ เวลานั้นมันเบาบางลง อ่อนกำลังลงไม่พุ่งๆๆอย่างเดียว
คุณสังเกตเถอะ
คนนะเวลาพิจารณาธรรม แล้วรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจอะไรได้ วางอะไรได้
หรือเห็นความเสื่อมอะไรได้ มันจะพยายามที่จะไปต่อ แล้วความพยายามไปต่อเนี่ย
บางทีมันมาในรูปของแรงดันของปิตินะครับ ซึ่งเป็นปิติที่ไม่เย็นไม่เนียน
ไม่ทำให้เกิดสมาธิที่เป็นอุเบกขา แต่เป็นปิติในลักษณะโลดเต้นลิงโลด
หรือว่าแล่นไปข้างหน้า ตรงนี้แหละที่จะทำให้เหนื่อย แล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่า
เอ้มันจะไปต่อยังไง มันไปต่อไม่ถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าปล่อยให้เกิดขึ้นครั้งแรก
แล้วไปตามใจตัวเองไปพยายามก็อปปี้ให้มันเกิดขึ้นในครั้งต่อๆไปอีก
แบบนี้มันจะไม่เป็นอุเบกขา
--------------------------------------------
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์ ๑๘
เมษายน ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม เมื่อจิตรวมเป็นสมาธิ
พิจารณากายแล้วเห็นว่า มันไม่ใช่เรา
เป็นสิ่งที่ดับสลายไป แล้วเกิด อาการปิติขนลุกและตัวสั่น
รู้สึกอิ่มเป็นสุขแล้วอยากออกจากสมาธิ ต้องทำยังไงต่อคะ ควรนั่งต่อ
ไหม
ควรออกจากสมาธิตามที่อยากออกเลย?
ระยะเวลาคลิป ๕.๒๓ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=Z2Exeex_y0Q&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น