วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2563

(เกริ่นนำ) คลี่ปมการเจริญปฏิจจสมุปบาท


ดังตฤณ :  สวัสดีครับทุกท่าน พบกันรายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน วันเสาร์สามทุ่มนะครับ

คืนนี้จริงๆพยายามทำแอนิเมชั่นอย่างที่เคยบอกไว้นะครับตั้งแต่คราวสุดท้ายที่เราเอาแอนิเมชั่นมาดูกัน ก็อยากจะพูดถึงเรื่องของการฝึกรู้กายใจ อันเป็นที่ตั้งของปฏิจจสมุปบาทนะครับ โดยความเป็นที่ตั้งของปฏิจจสุมปบาท

คืออย่างที่บอกว่า ตอนนี้ค่อนข้างจะทำยากนิดนึงนะครับ อย่างเก่งนี่ก็ ๒ สัปดาห์ , ๒ สัปดาห์ยังไม่เสร็จนะครับ แต่คืนนี้เอาตัวอย่างมาให้ดูก่อนนะครับ แล้วก็จะพยายามทำให้ไม่เกิน ๑ เดือน

ที่จะเอามาให้ดูก่อนก็เพราะว่า ปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันหลายรอบนะครับ ครั้งนี้โดยจุดมุ่งหมายก็ตั้งใจจะแก้ความสงสัยเบื้องต้นก่อน อย่างเช่น ปฏิจจสมุปบาทเอาไว้ท่องจำกันเล่นๆเฉยๆ เป็นความเข้าใจทางประเทืองปัญญา หรือจะมีสิทธิ์รู้ได้ตามพระพุทธเจ้าตรัสแสดง

เรื่องของปฏิจจสมุปบาทเนี่ยยิ่งศึกษาเข้าไป คนยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมีความเข้าใจมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกหลงใหลนะครับ แล้วก็ยิ่งรู้สึกว่านี่คือปัญญาแบบพุทธ อันนี้ผมจะเอามาให้ดูแบบเป็นเรียกว่า ตัวตั้งเป็นทฤษฎีนะครับ

ปฏิจจสมุปบาทเนี่ย ยกเอาอวิชชาเป็นตัวตั้ง หมายความว่ายังไง เคยมีคนทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ที่พระองค์ตรัสว่า เรามาเกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็เพราะว่ากรรมเก่าเนี่ย แต่ละชาติแต่ละชาติเนี่ยมันเกิดมาโดยมีสาเหตุจากอดีตกรรม

ทีนี้สงสัยกันมากเลยว่า แล้วชาติแรกมาจากไหน พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า อย่าไปคิดถึงชาติแรกแบบนั้น มันไม่มี คือไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่รู้นะครับ แต่พระองค์ตรัสว่า มันไม่มี มันไม่มีให้รู้

แต่ให้ดูว่า อะไรๆเนี่ยมันขึ้นต้นจากอวิชชา ถ้าจะเอาการขึ้นต้นกันจริงๆเนี่ย เอาจากอวิชชา แล้วจริงๆที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อวิชชาเป็นเงื่อนต้น ไม่ได้หมายความว่า อวิชชาเป็นสาเหตุของทั้งหมดนะครับ ไม่ใช่สาเหตุอันเป็นปฐม คือถ้าหากว่าเราพูดแทนที่จะคิดถึงชาติแรก ท่านให้คิดถึงเงื่อนแรก เงื่อนไขแรกนะครับคืออวิชชา เพราะจิตไม่รู้ จิตถูกปกคลุม ถูกปิดบังด้วยอวิชชา จึงมีการสะสมสังขาร คำว่าสังขารหมายถึง ปุญญาภิสังขาร และอปุญญาภิสังขาร คือ กองบุญและกองบาปนั่นเองนะครับ

และด้วยความที่มีกองบุญกองบาปอยู่ จึงมีการเนรมิตจิตวิญญาณดวงแรกในภพต่างๆ ในชาติต่างๆขึ้นมาได้ คือตรงนี้คนส่วนใหญ่ที่ศึกษากัน จะศึกษากันแค่ว่าจะท่องกันแค่ว่า อวิชชาเป็นปัจจัยให้สังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้วิญญาณ แต่จริงๆแล้ว ถ้าดูในมหานิทานสูตรพระพุทธเจ้าท่านตรัสในเชิงกลับกันด้วย อย่างเช่นบอกว่า วิญญาณเป็นปัจจัยให้นามรูป แล้วในขณะเดียวกันนามรูปก็เป็นปัจจัยให้วิญญาณ อันนี้เนี่ยพูดกันง่ายๆนะ ถ้าใครเห็นลักษณะเรียงกันเป็นข้อๆของปฏิจจสมุปบาทแบบนี้นะครับ แล้วเข้าใจว่า ท่องได้แปลว่ารู้จักปฏิจจสมุปบาท จริงๆแล้วไม่ใช่นะ คุณยังไม่เห็นอะไรเลย

ถ้าเอาในมหานิทานสูตรเป็นตัวตั้ง พระอานนท์ซึ่งตอนนั้นท่านเป็นพระโสดาบันแล้ว ท่านออกจากการพิจารณาธรรม จากการเจริญธรรมข้อปฏิจจสมุปบาท แล้วท่านก็มาทูลพระพุทธเจ้าว่า อะไรที่มันดูยาก เรื่องของปฏิจจสมุปบาทเนี่ยท่านรู้สึกว่า มันปรากฏเป็นของง่าย เป็นของตื้น พระพุทธเจ้าท่านก็ห้ามไว้ว่า อย่ากล่าวอย่างนั้น ปฏิจจสมุปบาทเป็นของลึกซึ้งสุดประมาณ แล้วก็เพราะว่าความลึกซึ้งของเรื่องนี้เนี่ย ทำให้เกิดปม เกิดการเวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น

แล้วพระองค์ก็ตรัสแสดงโดยนัยที่พิศดารมากๆ ในเนื้อหาของปฏิจจสมุปบาทเนี่ย โยงไปหมดเลย โยงไปจนกระทั่งเรื่องของอัตตา เรื่องของที่ตั้งวิญญาณอะไรต่างๆนะครับ ซึ่งอันนี้ตอนทำเป็นแอนิเมชั่นเนี่ย คือผมจะยกเอาพระสูตรต่างๆมาประกอบกันด้วย คือไม่ได้แสดงเรียงลำดับแบบนี้นะครับ อันนี้เดี๋ยวผมจะสาธิตให้ดู เอาเฉพาะตอนต้นๆของคลิปนะครับ เอามาแสดงให้ดูก่อน

เนี่ยนะครับคือ เริ่มต้นขึ้นมาในคลิป ผมก็จะแสดงถึงนตุมหากาสูตร ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างชัดเจน ที่เอามาให้ดูเนี่ยนะครับคือ จะให้ดูว่าในนตุมหากาสูตรพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน อันนี้ไม่ต้องสงสัยเลยนะ ท่านตรัสว่า กายนี้ไม่ใช่ของเธอ อีกทั้งไม่ใช่ของผู้อื่น เป็นที่ตั้งของสุขและทุกข์ เป็นกรรมเก่าอันปรุงแต่งขึ้นจากเจตนา พูดง่ายๆว่ากายนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นเองแบบลอยๆ แต่ว่าเกิดขึ้นจากกรรมเก่าที่ได้ทำมา กรรมเก่าเป็นผู้คัดสรรเป็นผู้ปั้นแต่งให้กายนี้เป็นอย่างไรๆ จะหน้าตาดี จะรูปสวย รวยทรัพย์หรือมีปัญญาดีอะไรก็แล้วแต่ มันมีการปรุงแต่งขึ้นมาจากเหตุ และเหตุก็คือกรรมเก่านะครับ

แล้วท่านก็ตรัสว่า อริยสาวกพึงยกกายเป็นเครื่องพิจารณาปฏิจจสมุปบาทให้ดีว่า เมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ อันนี้นะครับเดี๋ยวจะค่อยๆขยายไปว่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสเช่นนี้เนี่ย เราจะสามารถเอามาต่อยอดการปฏิบัติที่ผ่านมาได้อย่างไร อย่างเช่น พอเรารู้ อย่างที่เราเห็นว่ากายเป็นของเกิดดับได้ ถ้าปฏิบัติมาตามแนวของกายคตาสติสูตรจริงๆ มันจะมาถึงจุดนึง ที่เรียกว่าเป็นนวสีวถิกา คือเห็นว่ากายเป็นของเปล่าของสูญ เกิดขึ้นแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดา ซึ่งไม่ใช่แค่คิดๆเอาเล่นๆ แต่เป็นขั้นสุดยอดของกายานุปัสสนาเลยนะครับ

เมื่อเห็นว่ากายนี้เมื่อเกิดแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดา มันจะมีจิตอยู่แบบนึงที่มีความสามารถจะรู้เห็นว่า ก่อนที่กายเกิดมาเนี่ย โดยความเป็นกาย กายเกิดแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดา มันไม่ใช่ว่า อยู่ๆเกิดขึ้นลอยๆ แต่ต้องเป็นของมีเหตุ อย่างเช่นออกมาจากท้องแม่ แล้วก็จะต้องมีเหตุอย่างนึงอยู่เบื้องหลังก่อนที่จะเกิด หรือว่ากำเนิดรูปมนุษย์ขึ้นมาเนี่ยนะครับ ความเห็น ณ จิตแบบนั้นเป็นจิตอีกสภาวะนึงที่สว่างพ้นกาย ไม่มีความรู้สึกนึกคิดแบบนี้นะครับ แล้วก็ไม่ตัดสินด้วยว่า อะไรดี อะไรไม่ดี อะไรน่าชอบ อะไรไม่น่าชอบ เห็นแต่ธรรมชาติที่ปรากฏให้ดูอยู่เฉยๆอย่างนั้น

อย่างเช่นที่กายดับ ก็รู้ว่ากายดับ แล้วกายเกิด ก็รู้ว่ากายเกิด เป็นคนละฝั่งกัน จิตกับกายนั่นไม่ใช่ฉัน เห็นว่ากายเนี่ยไม่ใช่ฉัน มันจะเป็นอะไรของมันก็เป็นไป ซึ่งจิตในสภาวะระดับนั้นที่คู่ควรกับการเห็นปฏิจจสมุปบาทสายเกิดทุกข์ ซึ่งคนทั่วไปที่เจริญสติมาจนถึงขั้นนี้เนี่ย ก็จะเห็นปฏิจจสมุปบาทสายเกิดทุกข์ แต่อริยบุคคลเท่านั้นที่จะเข้าใจปฏิจจสมุปบาททั่วถึงจริงๆตลอดสายนะครับ

วันนี้อยากจะพูดอย่างนี้ก่อนว่า ที่นำมาให้ดูเป็นตัวอย่าง มันเป็นตัวอย่างจริงๆ เพราะว่า ถึงจะเอาแอนิเมชั่นฉบับเต็มมาให้ดูแล้วก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ว่าปฏิบัติตามไปด้วยได้เหมือนอย่างช่วงต้นๆที่ผ่านมานะครับ อย่างให้รู้ลมหายใจตามแอนิเมชั่น จะรู้สึกว่า เออมันเข้าใจแล้วก็ทำตามไปด้วยได้

แต่ว่าเรื่องของปฏิจจสมุปบาท เป็นจิตอีกแบบนึงเลยนะครับ ต้องไปถึงขั้นที่พ้นจากความยึดกาย หรือว่าความเป็นฝั่งเดียวกับกายให้ได้เสียก่อน

แต่อย่างไรก็ตาม ทำไมทำตามไม่ได้แล้วถึงทำ ก็เพราะว่าผมเห็นนะครับ พอฟังเสียงสติไปด้วยฟังเสียงคลื่นสมาธิไปด้วยแล้วดูแอนิเมชั่นประกอบไปด้วย แล้วก็มีความเข้าใจพื้นฐาน มีจิตที่มีสติเข้ามาอยู่ในอิริยาบถปัจจุบันได้ เห็นลมหายใจ เห็นการพะเยิบพะยาบของซี่โครง เห็นปอดขยายแล้วก็หุบลงไปได้แบบนี้เนี่ยนะครับ พอจิตเป็นสมาธิแล้ว มันจะรู้สึกว่าที่เห็นในแอนิเมชั่น  มันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆในตัวเรานั่นเอง

ฉะนั้นถ้าใครมีสมาธิถึงจุดหนึ่ง ทำตามมาเรื่อยๆ แล้วรู้สึกถึงความเป็นกายว่า ยกตั้งขึ้นด้วยกระดูกสันหลัง ฉาบทาด้วยเลือดเนื้อ แล้วก็แฝงอยู่ครองอยู่ด้วยจิตวิญญาณผู้รู้ ผู้มีสติ พอถึงจุดที่เราเห็นการแสดงปฏิจจสมุปบาทตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ มันจะเกิดทิศทางของสัมมาทิฎฐิ คือมันจะฝังลงไปราวกับว่าสิ่งนั้นเนี่ยเกิดขึ้นแล้ว

แล้วถ้าสมาธิเราถึงในวันไหน วันนั้นจิตก็จะปรุงแต่ง แล้วก็แสดงความจริงเกี่ยวกับกายนี้ให้ดูเอง ไม่ใช่แค่นิมิตนะ คือถ้าเป็นสมาธิธรรมดาเนี่ย เห็นนิมิตเห็นภาพอะไรขึ้นมาแล้วทึกทักว่า นั่นใช่นั่นจริงเนี่ย อันนั้นเป็นนิมิตแบบหลอกๆ

แต่คำว่านิมิตในที่นี้ เป็นนิมิตขั้นสูง ที่ยืนพื้นอยู่บนการมีสติ รู้อิริยาบถ รู้ลมหายใจอันเป็นปัจจุบัน พอรู้อิริยาบถปัจจุบันได้ มันเห็นเวทนา หรือว่าสุขทุกข์ในปัจจุบันได้ พอเห็นสุขทุกข์ในปัจจุบันได้ มันเห็นสภาวะจิตอันเป็นปัจจุบันได้ พอเห็นทั้งกาย เวทนา แล้วก็จิตได้ตามที่มันปรากฏอยู่จริงๆในปัจจุบันเนี่ย เวลานิมิตเกิดขึ้น มันไม่ได้เกิดขึ้นแบบหลับตาแล้วเห็น แต่เกิดขึ้นทั้งๆที่กำลังลืมตาอยู่อย่างนี้ แล้วก็มีสติรู้อิริยาบถตามจริงอยู่อย่างนี้แหละ เป็นนิมิตซ้อนเข้ามา จะเห็นเป็นตับไตไส้พุงก็ตาม หรือว่าจะเห็นเป็นการเน่าเปื่อยผุพังของสังขารก็ตาม บางคนเห็นกายเน่าเปื่อยผุพังต่อหน้าต่อตา ทั้งๆที่กำลังนั่ง หรือว่ากำลังยืนลืมตาแบบนี้เลยนะครับ

ส่วนบางคนก็นอนหลับลงไป แล้วจิตที่มันเจริญสติมามีกำลังระดับนึงเนี่ย มันรวมของมันเอง อย่างที่หลวงพ่อพุธท่านเล่าให้ฟัง พอท่านหลับลงไป จิตท่านไม่หลับด้วย จิตมีสติตื่นเต็มยิ่งกว่าตอนตื่นลืมตาตื่นนี่อีกนะครับ แล้วก็ลอยขึ้นไปพิจารณากายลงมาจากข้างบน เห็นกายแสดงความเน่าเปื่อยผุพังให้ดูตามธรรมชาติของกาย คืออันนั้นไม่ใช่นิมิตแบบหลอกๆเล่นๆ แต่เป็นนิมิตที่ปรุงแต่งให้จิตเกิดวิถีเข้าสู่โลกุตตระธรรมได้เลยนะครับ

อันนี้ก็เหมือนกัน คือถ้าจิตมีความสว่างพ้นจากกายไป มีความบริสุทธิ์พอ อันนั้นแหละเริ่มคู่ควรที่จะพิจารณาปฏิจจสมุปบาทได้ ซึ่งก็จะได้แสดงกันต่อไปนะครับ

ก่อนที่จะถึงแอนนิเมชั่นจริง ก็อยากให้ถึงตรงนี้นะครับ เราพอจะเริ่มรับรู้ตามกันได้ว่า เรื่องลึกซึ้งทางประสบการณ์ปฏิบัติเนี่ย พระพุทธเจ้าท่านจะไม่จาระไนอะไรมาก อย่างเช่นบางคนเห็น พอจะเห็นกายเน่าเปื่อยผุพัง บางคนจิตลอยขึ้นไปมองลงมาจากที่สูง แต่บางคนเหมือนนอนอยู่อย่างนี้เลย แล้วก็เห็นกายเน่าเปื่อยผุพังไปแบบเหมือนกับมีตัวจริงๆอยู่อย่างนี้ถูกคว้าน เอาตับไตไส้พุงแบะออกมาให้ดูนะ มีกลิ่นคาวมีอะไรครบเลย แล้วก็แสดงการเน่าเปื่อยผุพังต่อจิตแบบนี้เลย ต่อสติแบบนี้เลยนะครับ คือพอเป็นอุปจารสมาธิขึ้นไป ตอนนั้นการเห็นมันจะซ้อนกันสองมิตินะครับ เห็นด้วยแก้วตากับเห็นด้วยจิต มันเป็นคนละมิติกันคนละเลเยอร์(Layer)กันนะครับ

บางคนไม่เข้าใจ ฟังแล้วก็ เอ้ยเพ้อรึเปล่า จริงๆแล้วถ้าถึงอุปจารสมาธิได้เนี่ยนะ อย่างย้อนกลับไปดูเนี่ยนะ ฝึกรู้ลมหายใจสั้น ลมหายใจยาวเนี่ย แค่นั้นหลายคนก็เกือบๆจะถึงอุปจารสมาธิได้อยู่แล้ว

แล้วถ้าถึงอุปจารสมาธิจริงนะครับ คือเห็นนิมิตออกมาจากภายในชัดเหมือนกับตาเห็น มันจะเข้าใจว่า เห็นด้วยแก้วตากับเห็นด้วยจิตที่เป็นการเห็นนิมิต มันต่างกันยังไงนะครับ แล้วจะไม่มาสับสนว่า ที่เห็นเนี่ยมันของหลอกหรือของจริงนะครับ

พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสในแนวทางการปฏิบัติมาเป็นขั้นๆ กายานุปัสสนาเริ่มจาก อานาปานสติ รู้ลมหายใจก่อน พอรู้ลมหายใจได้จนเกิดสมาธิสูงขึ้นมาระดับนึง ก็จะรู้สึกถึงอิริยาบถอันเป็นที่ตั้งของลมหายใจได้เอง แล้วพอรู้อิริยาบถโดยความเป็นของละเอียดของแยกย่อย ขยับไม้ขยับมือ ขยับข้อ ขยับอะไรๆ มันก็เข้าไปเห็นอย่างที่เราได้เห็นได้ดูแอนิเมชั่นกันมาแล้วนะครับ

สามารถเห็นเป็นโครงกระดูก สามารถเห็นเป็นตับไตไส้พุงอะไรต่างๆได้เนี่ย แล้วพออยู่ในทิศทางที่จะพิจารณาสิ่งเหล่านั้นโดยความเป็นของไม่เที่ยง ภาวะทางกายที่เป็นธรรมชาติจริงๆดั้งเดิมของกาย ก็จะปรากฏแสดงตัวของมันเอง โดยไม่ต้องไปพยายามปรุงแต่งอะไร

ธรรมชาติของกาย จะปรุงแต่งจิตให้เห็นไปเองว่า ร่างกายนี้เมื่อเกิดมาต้องดับลงเป็นธรรมดา แล้วก็ถ้าเห็นบ่อยๆ เห็นซ้ำๆ จนกระทั่งจิตมันพ้นกายจริงๆ มันก็จะรู้ว่า กายที่มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเนี่ย มันมีเหตุอยู่นะอยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่อยู่ๆมันเกิดขึ้นเองลอยๆ อันนี้แหละที่จะมาว่ากันเรื่องปฏิจจสมุปบาที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้อาศัยกายเป็นที่ตั้งของการเจริญปฏิจจสมุปบาทนะครับ คือจะรู้เอง เห็นเองมาเป็นขั้นๆเลย

แต่พระพุทธเจ้าท่านจะ .. คือไม่ใช่หน้าที่ของพระองค์นะ ที่จะมาจาระไนประสบการณ์ว่า มีแบบนั้นแบบนี้ ร้อยแบบเนี่ยเป็นได้ร้อยคนนะ อย่างแค่ประสบการณ์เน่าเปื่อยผุพังเนี่ย คุณจะได้ยินทั้งคนที่นอนหลับลงไป แล้วจิตลอยขึ้นสูงพิจารณาลงมา คนที่กำลังเดินจงกรมอยู่แล้วเห็นกายถล่มลงไปเป็นกองกระดูก หรือว่าคนที่นั่งๆอยู่แล้วเห็นน้ำเลือดน้ำเหลืองไหล แล้วค่อยๆเกิดอาการเน่าเหมือนศพได้กลิ่นได้อะไรครบอย่างนี้นะครับ ถ้าขืนไปฟิคซ์ตายตัวว่า การเห็นเนี่ยเขาเห็นกันยังไงมันไม่จบ แล้วก็จะเกิดข้อสงสัยให้ฟุ้งซ่านต่างๆนาๆ

ฉะนั้นหลักการของพระพุทธเจ้าก็คือว่า ท่านตรัสมาเป็นขั้นๆว่า ให้ปฏิบัติอย่างไรนะครับ เริ่มจากหายใจให้เป็นก่อน หายใจยาวให้ได้ หายใจยาวในสมัยพุทธกาลเขารู้กันว่า ต้องเริ่มจากหายใจด้วยท้อง แล้วหายใจสั้นหน้าตาเป็นยังไง แตกต่างกันยังไง

ประสบการณ์ที่รู้เห็นด้วยตัวเองหลังจากปฏิบัติ หรือว่าฝึกฝนตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นขั้นๆ มันก็ทำให้คนเห็นตามมาเรื่อยๆ เห็นลมหายใจ เห็นอิริยาบถ เห็นตับไตไส้พุง เห็นกระดูก แล้วก็เห็นความเน่าเปื่อยผุพัง ที่เป็นขั้นสุดยอดของกายานุปัสสนา

เสร็จแล้วพอมาพิจาณาเวทนา หรือว่าอาการทางจิต การปรุงแต่งเป็นขันธ์ ๕ การแสดงความไม่เที่ยงของขันธ์ ๕ หรือว่าความไม่ใช่ตัวตนของอายตนะ ที่พอถูกกระทบแล้วเกิดสังโยชน์ขั้นต่างๆอะไรต่างๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้คนสมัยพุทธกาลไม่หลงออกนอกทาง แล้วก็บรรลุมรรคผลกันโครมคราม

ถ้าสัปดาห์หน้า ยังทำแอนิเมชั่นไม่เสร็จ ก็อาจจะวนกลับมาพูดเรื่องปฏิจจสมุปบาทต่ออีกสักนิดนึง อาจจะมีหัวข้อ หรือว่าเกร็ดอะไรที่เราพอจะเอามาทำเอามารู้กันได้ แต่จะแสดงนะครับว่าในการฝึกรู้กายใจอันเป็นฐานที่ตั้งของปฏิจจสมุปบาทในสายเกิดทุกข์ เสร็จแล้วตอนสุดท้ายเลยที่เป็นคลื่นปัญญาลอทแรกเนี่ย จะแสดงปฏิจจสมุปบาทสายดับ ก็คือต้องรู้ก่อนว่า ตัณหาเป็นที่ตั้ง เป็นห่วงโซ่ที่สืบทอด ทำให้เกิดการสืบทอดได้ จากภพหนึ่ง ไปสู่อีกภพหนึ่ง อันนี้ก็รอดูรอติดตามกันต่อไปนะครับ

---------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๘ เมษายน ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
ตอน                             (เกริ่นนำ) คลี่ปมการเจริญปฏิจจสมุปบาท
ระยะเวลาคลิป           ๒๑.๓๙ นาที
รับชมทางยูทูบ          https://www.youtube.com/watch?v=5FkhN48KHt0&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=25&t=0s

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น