วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ไม่มีเงิน ไม่มีงาน

คุณดังตฤณให้สัมภาษณ์ทางวิทยุ FM 96.5 คลื่นความคิด
รับฟังทางยูทูบ :  http://bit.ly/2afTNex

ผู้ดำเนินรายการ :
ค่ะ เข้าสู่ช่วงที่สามของรายการกับโค้ชนุ่น ช่วงของคลับอินสไปร์ (Club Inspire) นะคะ กับเรื่องของ “ไม่มีเงิน ไม่มีงาน” ปลดล็อกไม่มีงานไม่มีเงินกันค่ะ แล้ววันนี้นะคะ นุ่นได้รับเกียรติจากนักเขียน นักพูดที่เป็นเหมือนกับไอดอลของนุ่นคนหนึ่งเลย คุณดังตฤณนะคะ เป็นเจ้าของผลงาน เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน, เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว, รักแท้มีจริง, คิดจากความว่าง และก็หนังสือผลงานระดับเบสท์เซลเลอร์ (bestseller) หลายเล่มค่ะ จากหนังสือต่างๆ ที่ท่านอาจารย์ได้เขียนขึ้นมา และก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับหลายๆ คน วันนี้อาจารย์ก็จะมาสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ฟัง และก็กับคนที่อาจจะกำลังรู้สึกไม่ดีกับเรื่องของตัวเอง และก็มาแบ่งปันเรื่องของประสบการณ์อาจารย์ ที่อาจารย์ก็เคยผ่านเรื่องราวมากมายมานะคะ มาเข้าสู่ในช่วงของคลับอินสไปร์ ช่วงนี้อาจารย์อยู่ในสายกับเราแล้วนะคะ อาจารย์ สวัสดีค่ะ

ดังตฤณ:
สวัสดีครับโค้ชนุ่น สวัสดีครับโค้ชหนูนา

ผู้ดำเนินรายการ :
สวัสดีค่ะ อาจารย์ วันนี้นะคะ คุณศรันย์ ไมตรีเวช หรือคุณดังตฤณอยู่ในสายกับเราแล้ว คุณดังตฤณเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะว่า เรื่องไม่มีเงินไม่มีงานน่ะค่ะ มีมุมมองยังไงคะเกี่ยวกับเรื่องนี้

ดังตฤณ: 
เรื่องนี้ผมก็พอจะพูดได้อยู่นะ เพราะว่าผมเองก็มีประสบการณ์ตรงมา เมื่อประมาณสักยี่สิบปีที่แล้วเนี่ยก็คือเคยมีความมุ่งมั่นสูงมาก พูดง่ายๆ ถ้าจะให้เข้าใจแบบง่ายๆ ชาวบ้านยุคนี้ ก็คือว่าเป็นพวกโลกสวยนิดหนึ่ง คือรู้สึกว่าไม่มีเงินก็ได้ ไม่ต้องใช้เงินก็ได้ ขอให้ได้ทำงานที่รัก ก็ช่วงแรกๆ เนี่ยก็จะเหมือนกับทำงานบริษัทอยู่สามปี แล้วก็ออกมาเป็นนักเขียน อยากเขียนบทความเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อะไรอย่างนี้ ซึ่งมันเหมือนกับว่างานเขียนเนี่ยจะไม่ค่อยมีรายได้ที่แน่นอน และก็ไม่ใช่จะมีรายได้สูงนะครับ แต่มันมีความสบายใจ รู้สึกว่า เออ ไม่ต้องออกจากบ้านไปดิ้นรนบนท้องถนน เหมือนฝ่าฟันในสมรภูมิเพื่อที่จะไปถึงบริษัทอะไรแบบนี้ คือผมจะมีความอยากจะอยู่กับบ้านมาก และก็ได้ทำสิ่งที่รักคืองานเขียน ทีนี้อย่างพอเขียนไปได้สักพักหนึ่งเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เนี่ยนะครับ มันก็เริ่มมีความรู้สึกเบื่อหน่ายกับความเปลี่ยนแปลงที่มันเร็วมากๆ  ก็เลยอยากเขียนสิ่งที่อยากจะเขียนจริงๆ

เพราะว่าเป็นงานเขียนชิ้นแรกๆ เนี่ยนะ ไม่ใช่งานเขียนเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จะเป็นเกี่ยวกับบทความธรรมะอะไรแบบนี้ ซึ่งบทความธรรมะในยุคนั้นเนี่ยไม่มีทางเลยที่จะอยู่ได้นะครับ ก็คือต้องเขียนด้วยใจรักจริงๆ แล้วก็เขียนแบบว่าเป็นงานอดิเรก ทำงานประจำ แล้วก็จะต้องมีพอจะกินเสียก่อน แล้วค่อยไปคิดเขียน ซึ่งทีนี้ผมก็คิดว่า เออ ถ้าเรามีเงินเก็บอยู่พอสมควร ก็นึกอยากจะรวมพิมพ์หนังสือเป็นเล่ม รู้แหละว่ามันจะไม่ได้รายได้เป็นกอบเป็นกำ หรือว่าไม่พอที่จะใช้ชีวิตจริงๆ แต่ว่ามีความอยากจะทำ อยากจะทำ..แบบพวกโลกสวยอ่ะ คือคิดว่าตายเป็นตายอะไรแบบนั้น และก็เหมือนกับลงทุนพิมพ์หนังสือเอง

เงินเก็บก็ยังมีอยู่ แต่มันก็น้อยลงไปเรื่อยๆ แล้วก็ไม่ได้เงินกลับมาสักที มาถึงจุดนึงเนี่ย ก็เรียกว่าแทบจะไม่เหลือเลย ก็ยังมีความรู้สึกสบายๆ แหละ เพราะว่ามันไม่ได้ต้องออกจากบ้าน ไม่ต้องไปดิ้นรนอะไรมาก และผมเป็นคนไม่ได้เที่ยวไม่ได้ใช้เงินอะไรอยู่แล้ว แต่ว่าพอมันจะมีจุดวิกฤตอีกจุดหนึ่งที่เห็นตัวเลข แล้วก็รู้แหละว่าเดี๋ยวกำลังจะไม่พอใช้แล้ว ตอนนั้นก็เริ่มถามสำนักพิมพ์แล้ว คือหมายความว่าคนที่ร่วมมือกับเราร่วมลงขันกับเราเนี่ยนะ ว่า เอ จะได้เงินหรือยัง เขาบอกว่า ยังขายไม่ได้หรอก ยังไม่มีเงินให้หรอก ตอนนั้นก็เข้าใจแล้วว่าความรู้สึกมืดมน ชีวิตที่มันไม่มีเงิน มีแต่ความสุขแต่ไม่มีเงินเนี่ยมันเป็นยังไง

แต่ก็ได้ข้อคิดจากตรงนั้นมาคือเป็นประสบการณ์ตรง ว่าถ้าใจเราไม่มืดตามสภาวะทางการเงินนะ มันเหลือใจดวงหนึ่งที่มันยังสว่างอยู่ คือตอนนั้นน่ะผมบอกตัวเองว่าผมพลาดไปแล้วล่ะ คือคิดเรื่องอยากจะทำอย่างเดียว คิดถึงสิ่งที่อยากจะทำแต่ไม่คำนึงถึงความเป็นจริง เราไม่ได้ปลูกข้าวเอง คือถ้าผมมีความสามารถจะปลูกข้าวเองนะ ไม่ว่าเลยนะ แต่นี่ปลูกข้าวไม่เป็น ต้องใช้เงินซื้อข้าวกิน เพราะฉะนั้นเนี่ยถ้าไม่คิดเรื่องเงินมันไม่ถูก ผมก็ได้โน้ตไว้สอนตัวเองสั้นๆ ว่า

ในวันที่ทุกสิ่งเนี่ยดูผิดพลาดไปหมด
ขอเพียงเหลือใจที่ถูกต้องไว้ดวงเดีย

แล้วใจนั้นน่ะจะพาทุกอย่างกลับเข้าที่เข้าทางไปเอง

อันนี้คือสิ่งที่ผมสอนตัวเองนะ คือไม่ใช่ตั้งใจไว้สอนคนอื่น แต่ต่อมาเนี่ยก็เอาข้อความนี้มาโพสต์ลงในอินเตอร์เน็ต ก็ปรากฏว่ามันก็เวิร์คนะ ทุกคนที่ผ่านประสบการณ์ผิดพลาดนะครับ ส่วนใหญ่เนี่ย
จะมีใจที่มืดบอด พูดกันตรงๆ มันถึงจุดวิกฤต ถึงจุดที่ตกต่ำ ถึงจุดที่มันไปไม่ถูกแล้วเนี่ยนะครับ ใจคนส่วนใหญ่จะมืดตามสถานการณ์ภายนอก

ผู้ดำเนินรายการ :
คือใจสลายไปด้วย

ดังตฤณ: 
ใช่ คือทีนี้ถ้าหากว่า อย่างงานของผมตอนนั้นเนี่ย คืองานที่บอกตัวเองว่ารักจะทำ ก็คือเขียนธรรมะ เพราะฉะนั้นยังเขียนอยู่ ยังใช้น้ำใช้ไฟเนี่ยไปเพื่อจะผลิตผลงานการเขียนเกี่ยวกับธรรมะออกมาอยู่ มันเหมือนกับว่าพอเขียนๆ ไป ใจมันก็เหมือนกับว่าสบายน่ะ ใช่ไหม คือมันก็มีความรู้สึกว่า เออ กุศลธรรมมันยังอยู่กับเรา ไม่ใช่ว่าพอสถานการณ์ภายนอกบีบแล้วเนี่ย เราก็ปล่อยให้อกุศลธรรมครอบงำ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นเนี่ย ตกต่ำจริง มันไปไม่ถูกจริงๆ มันไม่เหลือแสงสว่างไว้นำทางให้กับใจของเราได้มองไปข้างหน้าอยู่เลย มันจะจมอยู่กับที่จริงๆ ถ้าข้างนอกมืดด้วยข้างในมืดด้วย แต่เนื่องจากว่าช่วงชีวิตที่มันเหมือนดำหรือเหมือนดิ่ง แล้วก็ทุกสิ่งทุกอย่างดูผิดพลาดไปหมด แต่จริงๆ แล้วสถานการณ์แวดล้อม แล้วก็บุคคลด้วยนะ ที่เหมือนจะมาซ้ำเติม แปลกนะ คือถ้าข้างนอกมืดเนี่ย มันมืดทุกอย่างจริงๆ มันเหมือนกับว่าไม่มีใครให้กำลังใจ เหมือนกับว่าไม่มีใครเหลียวแล ไม่มีใครเขาสงสารนะ คือคนที่จะได้รับความสงสารหรือเห็นใจเนี่ยจะต้องมีอะไรแบบหนึ่งที่ทำให้คนเขารู้สึกสงสารหรือเห็นใจ แต่เราอยู่กับบ้านไง เราไม่ได้ปรากฏตัว ทีนี้จะหาใครที่มาสงสารเนี่ย ก็คือว่าจะต้องเป็นญาติ จะต้องเป็นเพื่อนหรืออะไรอย่างนี้ใช่ไหม ส่วนใหญ่เนี่ยเราก็จะนึกว่า เอ คนเขาก็เตือนแล้วนะ คนรอบข้างนี่เขาก็เตือนแล้ว เราก็เกิดความกลัวใช่ไหมว่า ถ้าไปขอความช่วยเหลือคนเนี่ย มันก็จะโดนดูถูก โดนต่อว่า เนี่ย คือเสร็จแล้วมันก็ยิ่งกดดันตัวเองเข้าไปอีกว่า ไม่มีใครช่วยเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก

ทีนี้ คือถ้าหากว่าตอนนั้นผมคิดแบบคนทั่วไป ก็คือว่า เฮ้ย โลกนี้ไม่มีอะไรดีเลย แหม เขียนธรรมะ ธรรมะไม่เห็นช่วยอะไรแบบนี้ คือมีหลายคนที่คิดแบบนี้ คือธรรมะไม่เคยอ้อนวอนให้ใครช่วยนะ แต่คืออาสาไปเอง และก็มาเหมือนกับด่าธรรมะ บอกว่า เนี่ย ไปทำอะไรตั้งมากมาย แต่พอถึงเวลาตกอับไม่เห็นธรรมะช่วย เนี่ย คิดแบบนี้มันยิ่งตอกฝาโลงเลย

ผู้ดำเนินรายการ :
 คิดเอาแต่ได้เนาะ

ดังตฤณ: 
ใช่ คือทีนี้ ตรงที่ผมคิดจริงๆ เนี่ย ผมคิดว่ามันเป็นการเลือกของเราเอง แล้วก็การเลือกนี้เนี่ยมันก็ไม่ได้ทำให้ใจเราเป็นทุกข์มาตั้งแต่ต้น มันมีความสุข ธรรมะเนี่ยช่วยเรา ไม่ใช่ขออะไรจากเรานะ แล้วก็ที่ทำๆ ไป มันก็มีความสุขอยู่ทุกวัน ไม่เห็นจะมีหนามแหลมหรืออะไรจากธรรมะมาทิ่มตำเราเลย นอกจากว่าความคิดของเราจะเป็นหนามแหลมทิ่มตำเราเอง แบบประเภทน้อยใจชะตาหรือว่า เออ ทำไมมันไม่มีเงินสักที อะไรอย่างนี้ ความคิดแบบนี้บางทีมันแวบเข้ามา

แต่ว่าเนื่องจากเรามีทิศทางที่ชัดเจน มีความ..เขาเรียกอะไรอ่ะ..อยากจะบอกว่าเป็นความรู้สึกแบบชิลๆอ่ะ คือชีวิตมันเป็นเรื่องง่ายๆ แล้วก็เหมือนกับว่าถ้ามันจะเป็นอะไรก็เป็นไป ในช่วงนั้นนะ คือมันเป็นประเภทโลกสวยจริงๆ แล้วก็จะเหมือนกับอาศัยปีติ อาศัยโสมนัส ที่เกิดจากการได้เขียนอะไรดีๆ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ เพราะฉะนั้น ความรู้สึกมันก็จะไม่แย่ถึงที่สุด พอไม่แย่ถึงที่สุด มันคิด ค่อยๆ คิด ว่า เออ ทบทวน มันทบทวนได้ ถ้าใจมันตกต่ำถึงที่สุดมันทบทวนอะไรไม่ได้นะ ว่าเอ๊ะ มันผิดประเด็นไหนบ้าง เรามองอะไรพลาดบ้าง

แต่เหมือนกับยังมีใจที่สว่างอยู่ มันค่อยๆ ยอมรับตัวเอง ว่าสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ ที่กำลังปรากฏอยู่เพราะเราขังตัวเองไว้กับความเชื่อแบบเดิมๆ คือคนเนี่ยนะครับ คนพวกที่ว่าเริ่มต้นชีวิตด้วยโลกสวยเนี่ย คือคิดว่าอะไรๆ มันควรจะช่วยเราถ้าเราทำตัวดีอะไรอย่างนี้เนี่ย มันเป็นความคิดที่ คือ เข้าข้างตัวเอง แล้วก็เหมือนกับคับแคบ แล้วก็จะเวลาเกิดอะไรขึ้นก็จะโทษข้างนอก คือไม่มองว่าตัวเองเนี่ยผิดพลาดตรงจุดไหนบ้าง

ทีนี้ผมก็มองว่าจุดที่เราผิดพลาดเนี่ย คือว่าเราไม่ทำตัวให้เป็นที่รู้จักเลย คือมันเป็นวิถีทางของโลกนะ ถ้าเราจะทำงานเขียนเนี่ย เกี่ยวกับงานเขียนเนี่ย เราตัดสินใจ เราตกลงใจไปแล้วเนี่ย แล้ว เอ๊ย ฉันจะไม่เป็นที่รู้จัก ไม่ยอมคุยกับใครทั้งสิ้น ใครติดต่อมา อะไรยังไงก็ไม่สน อะไรอย่างนี้นะ เป็นศิลปินจริงๆ อาร์ทติส (Artist) จริงๆ  มันผิดพลาดตั้งแต่วิธีคิด เพราะว่าในความเป็นจริงถ้าหากว่าคนเขาไม่รู้จัก เราไม่ไปเปิดตัวทีไหนหรือว่าไปคุยกับใครเลย จะเก็บตัวเงียบๆ ที่บ้านท่าเดียวเนี่ยนะครับ มันก็ไม่มีใครเขารู้ว่าทำตรงนี้ หรือว่าเขียนอะไรออกมา พอเริ่มยอมรับว่า เอ้อ คิดผิดแล้วนะ กระบวนการความคิดเนี่ย จะโลกสวยอย่างเดียวเนี่ย ในที่สุดแล้ว ข้าวก็ไม่มีกิน แล้วสิ่งที่เราตั้งใจจะให้กับคนก็จะไม่ได้ มันไม่เวิร์คสักอย่าง

จากนั้นก็เลยเริ่ม โอเค มาเข้าสังคมบ้างแล้ว ตอนนั้นเป็นช่วงแรกๆ ที่มีสังคมอินเตอร์เน็ต ผมก็เอางานเก่าที่ยังเขียนไม่เสร็จมาลงต่อ ตอนนั้นเป็นเรื่อง ทางนฤพาน ก็พอเอามาลงในเว็บบอร์ดให้คนได้อ่านอะไรอย่างนี้ แล้วก็เหมือนกับมีการพูดคุยโต้ตอบกับคนในเว็บบ้าง ก็เริ่มรู้จักคน เริ่มมองออกว่าคนเนี่ยเขาชอบผลงานของเรานะ แต่ว่าถ้าไม่ทำให้มันสามารถที่จะมาเลี้ยงเราได้เนี่ย มันก็จะหยุดอยู่แค่นั้น ก็เลย โอเค เริ่มคิดลงทุน แล้วก็เหมือนกับก็มีการโปรโมทบ้างอะไรอย่างนี้นะ

ผู้ดำเนินรายการ :
ก็ต้องมีการตลาดเข้ามาแล้ว

ดังตฤณ: 
มีการรับความช่วยเหลือจากคนอื่น ในแบบที่ว่าเขาเต็มใจนะ ไม่ใช่เราไปกดดัน

ผู้ดำเนินรายการ :
เราไม่ใช่แบบ ไม่ใช่ฮาร์ดเซลล์ ว่างั้นเถอะ ไม่ฮาร์ดเซลล์แต่ว่าก็ต้องทำให้คนอื่นได้รู้จัก แต่ด้วยวิธีพุทธของเราเอง

ดังตฤณ: 
ซึ่งตรงนี้ผมอยากจะบอกว่า โอเค ไม่ใช่ว่าทุกคนเนี่ยจะมาเอาตามแบบนี้  บอกว่า ไปทำความรู้จักกับคนทางเน็ตแล้วก็มีการต่อยอดไปขายของหรืออะไรแบบนั้น คือไม่ได้ตั้งใจจะบอกว่านี่เป็นวิถีทางที่จะเป็นทางออก แต่ผมอยากบอกแค่นั้นน่ะว่า ถ้าในวันที่มันตกต่ำถึงที่สุดมันมืดถึงที่สุด ถ้าเราไม่มัวแต่ยอมมืดตามสถานการณ์ภายนอกแล้วยังมีใจที่สว่าง ใจที่มันเป็นกุศลอยู่ มันสามารถคิดอะไรดีๆ ออก

เนี่ยคือคีย์ แล้วที่คิดออกเนี่ย คือมันไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน บางคนเนี่ยนะครับ คือถ้าสามารถมองเห็นตัวเองว่าที่ตกต่ำมาถึงจุดนี้เพราะจะหวังของานทำ ของานคนอื่นทำ ทำไมไม่คิดที่จะสร้างงานให้ตัวเองบ้าง งานอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถทำได้ ซึ่งไม่ใช่ขายของเสมอไปนะ คือรับจ้างอะไรหน้าปากซอย หรือว่าจะไปช่วยอาสาอะไร ที่เขาประกาศรับเยอะแยะเลย แล้วเขาก็ให้ค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ อะไรแบบนี้ แล้วจากที่คิดว่าไม่มีเงินสักบาท ต้องขายยาบ้าท่าเดียว มันจะเปลี่ยนไปได้สารพัด

จากบอกว่าไม่มีสักทาง
มันกลายเป็นมีเป็นร้อยทาง!

ผู้ดำเนินรายการ :
เพียงแค่ขอให้คุณอย่าหมิ่นเงินน้อยอย่านั่งคอยวาสนา

ดังตฤณ: 
ใช่ๆๆ  เพราะใจที่สว่างจริงนะมันจะคิดแบบนี้ได้ มันจะคิดแบบนี้ออก ไม่หมิ่นเงินน้อย ไม่คอยวาสนา แล้วก็เอาตัวเองนี่แหละเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างงาน ไม่เที่ยวเอาตัวเองเป็นที่ต้องเรียกร้องขอความเห็นใจเถอะ แล้วถ้าไม่มีใครเห็นใจเลย แปลว่าโลกทั้งโลก โลกทั้งใบเนี่ยผิด ตัวเองนี่ถูกอยู่คนเดียว น่าสงสารอยู่คนเดียว ถูกกระทำอยู่คนเดียว นี่มันเริ่มต้นจากใจ

ผู้ดำเนินรายการ :
เอาล่ะค่ะ วันนี้ต้องบอกว่า คลับอินสไปร์ ของเราฟังเรื่องอาจารย์ดังตฤณนะคะ มาจนถึงเวลาสุดท้ายแล้ว เราได้สิ่งดีๆ จากอาจารย์ คือ ถึงแม้โลกจะมืดแต่ใจอย่ามืด ให้ใจสว่างก่อนแล้วสุดท้ายมีทางออกเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเงิน งาน และก็ความสุขค่ะ แล้วก็ที่สำคัญค่ะ งานสร้างได้ด้วยตัวเราเอง อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่านั่งคอยวาสนานะคะ วันนี้อาจารย์บอกว่า อาจารย์ก็เปลี่ยนมุมคิดเท่านั้นเอง เปลี่ยนมุมคิดใหม่ เรื่องใหม่ๆ ก็ตามเข้ามา

ดังตฤณ: 
คือเห็นความผิดของตัวเอง รู้จักเห็นความผิดพลาดทางวิธีคิดของตัวเอง

ผู้ดำเนินรายการ :
แล้วก็ยอมรับมันซะ และก็เริ่มใหม่นะคะ เอาล่ะค่ะ วันนี้ อาจารย์ขา ขอให้อาจารย์ช่วยส่งแรงบันดาลใจหน่อยค่ะ หนึ่งนาทีสั้นๆเลยค่ะ อาจารย์

ดังตฤณ: 
ครับ ก็อย่างที่บอกนะครับ ถ้าใจของคุณสว่าง ผลที่ออกมาอย่างชัดเจนเป็นอันดับต้นๆ เลย คือ คุณจะไม่ทำผิดพลาด ไม่พูดผิดพลาดให้ถลำลึกลงไปอีก อย่าคิดประชดชีวิต ความคิดประชดชีวิตมันจะไม่อยู่ในหัวของคนที่มีใจที่สว่างแล้วครับ

ผู้ดำเนินรายการ :
ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ โอ้โห วันนี้ต้องบอกว่าเป็นแรงบันดาลใจ เป็นคำพูดที่เชื่อว่าหลายคนสามารถนำไปและก็เป็นพลังใจได้ต่อไปให้ใจตัวเองเสมอค่ะ

ดังตฤณ: 

ครับ ก็อนุโมทนากับโค้ชนุ่น และก็โค้ชหนูหนาด้วยนะครับ