ถาม : ถามเรื่องการดำเนินชีวิต
ปกติเรื่องของอารมณ์นี่ คือเป็นคนที่ขี้หงุดหงิดง่ายมาก อารมณ์ปรี้ดขึ้นเร็ว
ขี้โมโหแล้วก็วีนง่ายๆเลย อย่างคนเดินตัดหน้า คนเดินเบียด เดินแทรก รถตัดหน้า
อ้นนี้จะมีวิธีแก้ไขยังไงคะ
รับฟังทางยูทูป : http://www.youtube.com/watch?v=OUJRiQ-sZ0Q
ดังตฤณ: โอ้โหอย่างนี้ถ้าโดนแย่งคิวนี่ ยิ่ง... คงจะ... บางคน ผู้หญิงนะ ไปกระชากคอเสื้อเขาออกจากแถวเลย บางที เรื่องของอารมณ์หุนหันพลันแล่นหรืออารมณ์หงุดหงิดนี่ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า มันไม่ใช่สิ่งที่จะต้องติดตัวเราไปตลอดนะ แต่มันเป็นความเคยชินที่สะสมมาด้วยใจ
รับฟังทางยูทูป : http://www.youtube.com/watch?v=OUJRiQ-sZ0Q
ดังตฤณ: โอ้โหอย่างนี้ถ้าโดนแย่งคิวนี่ ยิ่ง... คงจะ... บางคน ผู้หญิงนะ ไปกระชากคอเสื้อเขาออกจากแถวเลย บางที เรื่องของอารมณ์หุนหันพลันแล่นหรืออารมณ์หงุดหงิดนี่ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า มันไม่ใช่สิ่งที่จะต้องติดตัวเราไปตลอดนะ แต่มันเป็นความเคยชินที่สะสมมาด้วยใจ
อาการหงุดหงิดของคนนี่ ผมอยากจะบอกเป็นสามระดับ :
๑.หงุดหงิดในแบบที่ทำให้ ‘กระวนกระวายอยู่ข้างใน’ คิดมาก รู้สึกรำคาญอยู่ข้างใน
๒. หงุดหงิดในแบบที่ ‘อยากพูด อยากด่า’
๓.
หงุดหงิดในแบบที่ ‘อยากจะลงมือ’ ทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเลยเป็นการโต้ตอบ
..
.. .. .. .. .. .. .. .. ..
ถ้าสำรวจตัวเองแล้วพบว่า
สำหรับคนโดยมากมันจะอยู่วนเวียนอยู่ 2
ระดับ คือ
: หงุดหงิดแล้วรำคาญใจตัวเอง กับ
: หงุดหงิดแล้วอยากที่จะพูดให้คนรู้สึกตัว หรือให้เขารู้สึกว่าละอายเสียบ้าง
ถ้าวนเวียนอยู่ในสองข้อนี้ ยังแก้ไขได้
เพราะว่าถ้าไปถึงขั้นที่สาม
หงุดหงิดแล้วอยากลงมือตุ้บตั้บ อยากลงมือลงไม้นี่นะ
อันนี้แก้ไขยาก เพราะมันจะเป็นสันดาน !
: หงุดหงิดแล้วรำคาญใจตัวเอง กับ
: หงุดหงิดแล้วอยากที่จะพูดให้คนรู้สึกตัว หรือให้เขารู้สึกว่าละอายเสียบ้าง
ถ้าวนเวียนอยู่ในสองข้อนี้ ยังแก้ไขได้
เพราะว่าถ้าไปถึงขั้นที่สาม
หงุดหงิดแล้วอยากลงมือตุ้บตั้บ อยากลงมือลงไม้นี่นะ
อันนี้แก้ไขยาก เพราะมันจะเป็นสันดาน !
คืออย่างที่คุณคงเคยได้ยินมาบ้างนะ
ถ้าหากว่าแต่งงานแล้วอยู่บ้านเดียวกันแล้ว เป็นผัวเป็นเมียกันแล้ว
ฝ่ายชายไม่ยับยั้งชั่งใจ ลงมือซ้อมเมียแค่ครั้งแรก มันจะหยุดไม่ได้เลย
มันจะเป็นสันดานติดตัวไป เอะอะขึ้นมาจะต้องลงไม้ลงมือ ห้ามมือห้ามเท้าไม่อยู่
แล้วกลายเป็นคนเลวไป ทั้งที่จุดเริ่มต้นมา แค่ทนเสียงบ่นไม่ได้เท่านั้นเอง !
..
.. .. .. .. .. .. .. .. ..
ถ้าหากว่าเราอยู่ในขั้นที่หงุดหงิด เจ้าโทสะ
แล้วมีความรำคาญใจหรือว่าชอบพูด ของคุณนี่คือไม่พูดแว้ดๆออกมาหรอก
แต่จะพูดในแบบที่เลือกคำในแบบที่จะทำให้เขาละอาย หรือว่า พูดหนักๆให้เขารู้สึกตัว
จับตรงนี้ก่อน ถ้ามีความอยากคือถ้ามีโทสะใน ‘ระดับที่อยากพูด’
:
คุณ ‘ดูแรงดัน’ มันมากจนเราอยากจะขยับปาก
มันจะมีมโนภาพขึ้นอย่างหนึ่ง ก่อนหน้าที่คุณจะด่าเขา
คือนึกออกว่าจะพูดอะไร
ตรงที่เราสามารถนึกออกว่ากำลังจะพูดอะไร
ตรงนั้นคำพูดจะไม่ออกมา !
คุณ ‘ดูแรงดัน’ มันมากจนเราอยากจะขยับปาก
มันจะมีมโนภาพขึ้นอย่างหนึ่ง ก่อนหน้าที่คุณจะด่าเขา
คือนึกออกว่าจะพูดอะไร
ตรงที่เราสามารถนึกออกว่ากำลังจะพูดอะไร
ตรงนั้นคำพูดจะไม่ออกมา !
แต่ถ้าคำพูดออกมาก่อนแล้วค่อยรู้สึกตัว อ้นนี้เรียกว่าห้ามไม่ทันแล้ว สติไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว มันพูดออกมาก่อนแล้วสติค่อยเกิดตามมาภายหลัง ให้สังเกตว่าเวลาที่คุณระบายออกไป อาการทางใจมันเป็นยังไง มันจะเหมือนมีอะไรที่เป็นแรงดันเยอะๆแล้วมันโพล่งออกไป นึกออกใช่ไหม
แต่ถ้าหากว่าคุณมีสตินะ
ตอนที่มีความอึดอัด มีความกดดันอยู่ข้างใน
แล้วมันอยากจะพูดแต่ยังไม่ทันพูด
ตรงนั้นคุณจะรู้สึกถึงก้อนอะไรก้อนหนึ่ง
: ที่มันแข็งๆ ที่มันแน่นๆ ที่มันมีแรงกดดัน
: แล้วถ้าไม่พูด มันเหมือนจะจุกอกตาย
ความรู้สึกมันจะเป็นแบบนั้น
ถ้าคุณเจริญสติจริงๆ
ตรงนั้นเป็นตัวตั้งที่ดีที่สุดเลย
เป็นทรัพยากรในการเจริญสติที่ดีที่สุดเลย !
เพราะแรงดันตรงนั้นนะ มันจะชัดเจนโดยไม่ต้องตั้งใจดู มันรู้สึกอยู่เองว่าอึดอัด เหมือนตอนคุณอยากจะอ้วกออกมาแล้วไม่ได้อ้วกน่ะ มันจะรู้สึกเหมือนอัดอั้น รู้สึกเหมือน ถูกอุดปากอุดจมูก
แต่พ้อยท์ก็คือเมื่อคุณใส่ใจดูจริงๆว่า
หน้าตาความอึดอัดมันเป็นแบบนี้
ยอมรับตามจริงว่าแรงดันของความอึดอัดมันมีประมาณแค่นี้
ในสองสามวินาทีต่อมา มันจะไม่เหมือนอ้วกนะ
คือมันจะค่อยๆหายไป
..
.. .. .. .. .. .. .. .. ..
อาการทางใจมันไม่เหมือนอาการทางกาย อาการทางกายนี่ถ้าขืนคุณไปฝืนไว้มันแทบเหมือนจะตายเลยถ้าไม่ยอมอ้วกออกมา แต่อาการทางใจที่มันอยากจะพูด อยากจะระเบิดออกมาเป็นคำพูด ถ้าเราดูไปตอนแรก มันจะอึดอัด เหมือนตอนอยากจะอ้วก แต่เมื่อดูไปมันจะค่อยๆคลายค่อยๆแผ่วลง
อาการทางใจมันไม่เหมือนอาการทางกาย อาการทางกายนี่ถ้าขืนคุณไปฝืนไว้มันแทบเหมือนจะตายเลยถ้าไม่ยอมอ้วกออกมา แต่อาการทางใจที่มันอยากจะพูด อยากจะระเบิดออกมาเป็นคำพูด ถ้าเราดูไปตอนแรก มันจะอึดอัด เหมือนตอนอยากจะอ้วก แต่เมื่อดูไปมันจะค่อยๆคลายค่อยๆแผ่วลง
พอมันแผ่วลง คุณจะรู้สึก เอ้ะมันหายไปได้นี่ !
มันไม่เหมือนตอนแรกที่คุณรู้สึกว่าจะต้องออกไปให้ได้ มันไม่เหมือนตอนที่คุณรู้สึกว่าฉันจะต้องนับ๑-๑๐ แล้วก็จะต้องไปอดกลั้นไว้ ต้องไปข่มไว้
ยิ่งคุณไปข่มมันไว้ คุณยิ่งอึดอัด
แต่ถ้าคุณแค่ยอมรับตามจริงว่า
มันมีแรงดันแค่นี้ แล้วแรงดันนั้น
ภายในสองสามอึดใจต่อมามันค่อยๆคลายตัวลง
ผลมันจะต่างกันหน้ามือเป็นหลังมือ
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
และครั้งแรกคุณจะยังไม่เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของคุณ แต่ถ้าทำไปสัก 10-20ครั้ง อาศัยเวลาพูดง่ายๆแค่ไม่เกินหนึ่งเดือน ที่คุณเกิดประสบการณ์แบบนี้ขึ้นมา
สิ่งที่จะเห็น ‘ภายในเดือนเดียว’
ก็คือว่า คุณรู้สึกถึงคำว่า”อนิจจัง” ของโทสะอย่างชัดเจน !
เริ่มต้นขึ้นมาคุณยอมรับว่ามีโทสะ
สองอึดใจต่อมา
คุณรู้สึกว่าโทสะมันคลายลงได้โดยไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน
นี่เขาเรียกว่า ‘คุณค่าของโทสะ’
: มันทำให้คุณ เกิดปัญญา
: มันทำให้คุณ เกิดสติอันเป็นไปเอง
พูดง่ายๆว่า ‘สติอันเป็นอัตโนมัติ’ ภายในเวลาไม่เกิน ๑ เดือน
ยิ่งกิเลสแรงเท่าไร
ยิ่งสามารถเห็นได้ชัดและได้ผลเร็วมากขึ้นเท่านั้น !
ยิ่งคุณไปข่มมันไว้ คุณยิ่งอึดอัด
แต่ถ้าคุณแค่ยอมรับตามจริงว่า
มันมีแรงดันแค่นี้ แล้วแรงดันนั้น
ภายในสองสามอึดใจต่อมามันค่อยๆคลายตัวลง
ผลมันจะต่างกันหน้ามือเป็นหลังมือ
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
และครั้งแรกคุณจะยังไม่เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของคุณ แต่ถ้าทำไปสัก 10-20ครั้ง อาศัยเวลาพูดง่ายๆแค่ไม่เกินหนึ่งเดือน ที่คุณเกิดประสบการณ์แบบนี้ขึ้นมา
สิ่งที่จะเห็น ‘ภายในเดือนเดียว’
ก็คือว่า คุณรู้สึกถึงคำว่า”อนิจจัง” ของโทสะอย่างชัดเจน !
เริ่มต้นขึ้นมาคุณยอมรับว่ามีโทสะ
สองอึดใจต่อมา
คุณรู้สึกว่าโทสะมันคลายลงได้โดยไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน
นี่เขาเรียกว่า ‘คุณค่าของโทสะ’
: มันทำให้คุณ เกิดปัญญา
: มันทำให้คุณ เกิดสติอันเป็นไปเอง
พูดง่ายๆว่า ‘สติอันเป็นอัตโนมัติ’ ภายในเวลาไม่เกิน ๑ เดือน
ยิ่งกิเลสแรงเท่าไร
ยิ่งสามารถเห็นได้ชัดและได้ผลเร็วมากขึ้นเท่านั้น !
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น