เสียงสัมภาษณ์ คุณดังตฤณ คลื่น FM ๑๐๑
ในหัวข้อเกี่ยวกับวิกฤตศรัทธาของพุทธศาสนาในปัจจุบัน
ดำเนินรายการโดย : คุณปิยเกียรติ และ คุณนฤมล
ในหัวข้อเกี่ยวกับวิกฤตศรัทธาของพุทธศาสนาในปัจจุบัน
ดำเนินรายการโดย : คุณปิยเกียรติ และ คุณนฤมล
๑๑ มีนาคม ๒๕๕๘
พิธีกร : วันนี้จะรบกวนขอมุมมองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่พุทธศาสนิกชนทุกคนในประเทศไทย
รู้สึกพอเห็นข่าวแล้วก็ไม่สบายใจ
ว่ามันมีเหตุการณ์แบบนี้ในพุทธศาสนา
เป็นความขัดแย้งระหว่างองค์กรของสงฆ์
หรือแม้แต่พระกับฆราวาส พระกับพระด้วยกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ยังไม่มีใครทราบ
ว่าตกลงแล้วอะไรคือที่ถูก
อะไรคือที่ควรจะดำเนินต่อไป
อยู่ๆสิ่งที่มันจะมีกรรมการที่จะมาจัดการ เค้าก็ไม่ทำแล้ว
ทุกคนก็เลยงงกันอยู่ตรงนี้
เราจะตั้งสติเริ่มต้นจากตรงไหนอะไรได้บ้างนะครับ คุณศรันย์
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ดังตฤณ : ตั้งสติจากตรงนี้เลย นี่เป็นคีย์เวิร์ดที่ดีมากนะฮะ
‘เริ่มตั้งสติจากตรงไหน?’
ก่อนอื่นเราต้องถามตัวเองว่า..
‘เรามีศาสนากันไปทำไม?’
‘เราจะคงความเป็นพุทธไว้เพื่อประโยชน์อะไร?’
เพราะถ้าไม่ถามตัวเอง แล้วตอบตัวเองให้ได้ดี ๆแล้วเนี่ย
ก็ถือว่าเรากำลังอยู่ในยุคเดียว
กับผู้คนที่อยากเลิกนับถือพระนับถือเจ้ากันหมดแล้ว
อันนี้เป็นความจริง
เด็กรุ่นใหม่ที่ยังไม่มีความรู้ทางพุทธ
ถือว่าจะพูดก็ได้คุณปิยเกียรติ
ว่าเกือบๆจะสายแล้วนะ เกือบๆจะสายเกินไปแล้วนะ!
เพราะคนที่ยังหนักแน่นอยู่กับความเป็นพุทธเนี่ย
ส่วนใหญ่จะต้องมีเสาหลักลงไว้ในใจก่อน
คือตอนนี้ถ้าขืนสมมุติว่ามาจากต่างบ้านต่างเมือง
ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวเลย เจอแต่ข่าวพระแบบนี้
คิดว่ามันจะมีศรัทธาได้ไหวไหม
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ถ้าเราถามตัวเองดีๆว่าเราจะเป็นพุทธต่อไปเพื่ออะไร
แล้วไม่เอาแต่ตอบว่าเพื่อไปไหว้พระไหว้เจ้าที่วัดไง
แต่สามารถบอกตัวเองได้ว่าคนเรามีเกิดแก่เจ็บตายนะ
แล้วเราก็เห็นญาติ เราก็เห็นเพื่อน
เราก็เห็นคนรอบตัวหรือไกลตัวก็ตายกันทุกวัน!
ตอนตาย ถ้าไม่มีหลัก ไม่มีที่พึ่ง
ถ้าไม่มีที่ที่จะให้คิดว่าจะเอาอะไรไว้ในใจ
ใจจะมีความกระวนกระวายมาก!
ถ้าคุณปิยเกียรติเคยใกล้ชิดกับคนทีใกล้จะไป
ก็คงเห็นความจริงตรงนี้
..มันเหมือนเด็กหลงทาง
..มันเหมือนคนที่ใกล้จะต้องเข้าป่า
แล้วไม่รู้ว่าตัวเองเนี่ยมีเครื่องไม้เครื่องมือเดินป่าอะไรบ้างติดไม้ติดมืออยู่
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
หรือไม่ต้องตอนตาย
ไม่ต้องไปไกลตัวถึงขนาดอนาคตข้างหน้าอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เอาวันนี้ ตอนที่เป็นทุกข์จะเป็นยังไง
ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งพาใครหรืออะไรที่ไหน
จิตใจคนที่กำลังสับสนอยู่ กำลังว้าวุ่นอยู่
มันมักจะพร้อมจะตัดสินใจอะไรผิดๆ
ถ้าเราไม่รู้จักคำว่ากุศลจิตเลย
ไม่รู้จักเปรียบเทียบกับสิ่งที่เรียกว่าอกุศลจิตเลย
มันจะเป็นคนที่ดำเนินชีวิตไปแบบทุกข์ๆ
ทุกข์อยู่ทุกวัน แล้วก็ไม่รู้จะหาทางออกได้ยังไง !
แต่ทีนี้ถ้าหากว่าเราสามารถบอกตัวเองได้ว่า
: เรามีศาสนาพุทธเพื่อที่จะเป็นหลักยึด
: เพื่อที่จะเป็นศรัทธาให้ได้มีความชุ่มชื่นใจ
จะเป็นวันตายหรือวันอยู่ก็แล้วแต่
ขอเพียงว่าเรามีหลักมีที่ยึดที่พึ่งได้ มันน่าพอใจแล้ว
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
อันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะตั้งสติ คือเข้ามาที่ตัวเองก่อน
เพราะเวลาที่เกิดปัญหา
ไม่ว่าจะปัญหาบ้านเมือง หรือว่าปัญหาศาสนา
คนมักจะตั้งคำถามกันผิดๆ
ว่าจะแก้ปัญหากันอย่างไร แล้วก็เล็งไปที่ข้างนอก
คือเล็งไปทั้งๆที่ใจตัวเองกำลังร้อนรุ่มอยู่นั่นแหละ
เล็งไปที่การแก้ปัญหา หรือจะหาทางออกข้างนอก
ทั้งๆที่ใจมันยังทึบตันอยู่นั่นแหละ
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ทีนี้ถ้าเราสบายใจ
เริ่มต้นเรามาจากความสบายใจก่อน
ว่าคนอื่นไม่เกี่ยวนะ ไม่เกี่ยวกับจิตใจของเรานะ
ตัวเรานี่แหละ ที่เป็นผู้บอกตัวเอง
แล้วก็ตัดสินใจด้วยตัวเองว่า
..เราจะยึดศาสนาไว้ทำไม
..เราจะคงความเป็นพุทธไว้ทำไม
เราสบายใจแล้วเนี่ย
เราจะมองปัญหาข้างนอกเป็นปัญหาที่เรียกว่าอนัตตาภายนอก
เป็นเรื่องของสิ่งที่เราจะควบคุมได้หรือควบคุมไม่ได้ก็ไม่รู้
เราจะมีอิทธิพลเราจะมีบทบาทได้แค่ไหนก็ไม่รู้
แต่เราจะสบายใจแล้ว
ว่าเรายังมีความเป็นพุทธอยู่ ‘ด้วยตัวของเราเอง’
: ไม่ใช่ด้วยพระที่ดีหรือไม่ดี
: ไม่ใช่ด้วยศาสนาที่เสื่อมหรือไม่เสื่อม
แต่ด้วย ‘กุศลจิต’ ของเราที่มันยังสว่างอยู่
ที่มันยังมีความอบอุ่นใจกับตัวเองอยู่
ที่มันยังรู้ว่าตอนตายเนี่ยเราจะเอาอะไรเป็นหลักที่ยึด
แล้วตอนอยู่เวลาที่เป็นทุกข์เราจะเอาอะไรเป็นที่ตั้ง
พอมองอย่างนี้ได้
เราจะเริ่มมองปัญหาของพระด้วยความเป็นกลาง
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ปัญหาของพระ พูดกันตรงๆง่ายๆเลย
คือ มันมีการสะสมเงินได้ !
แล้วก็มีการสะสมชื่อเสียงและยศศักดิ์ได้ !
ตลอดจนการที่ปัจจุบันโดยระบบของสื่อ
ระบบของการเผยแพร่มันทำให้งานเชิงวิชาการของพระ
มีความสำคัญกว่าผลงานทางจิต
คือผู้คนสมัยนี้ไม่รู้กันแล้วว่าผลงานทางจิตเป็นยังไง
ไม่รู้แล้วว่าพระที่เข้าใกล้แล้วอบอุ่น มีความสว่างอย่างใหญ่
มีกุศลอย่างใหญ่เยือกเย็นเป็นยังไง
คือตั้งแต่เด็กมาใกล้ชิดแต่พระที่มีความว้าวุ่น
จะเอายศ เอาศักดิ์ เอาตำแหน่ง เอาเงิน เอาชื่อเสียง
หรือว่าไม่ต้องอะไรเลย
พระเล็กๆน้อยๆจะแบ่งก๊กแบ่งเหล่า
เรื่องว่าใครได้รับกิจนิมนต์ก่อน
ใครเป็นคนจัดสรรคิวนิมนต์ อะไรแบบนี้
คือชาวบ้านส่วนใหญ่จะได้แต่ใกล้ชิด
กับพระที่มีการแบ่งชั้นวรรณะกันทำนองนี้
พูดง่ายๆว่ายังมองไม่เห็นข้อแตกต่าง
ว่าพระมีความแตกต่างจากตัวเองที่หาอยู่หากิน
ที่ดิ้นรนเพื่อเอาหน้าเอาตา หรือว่าเอาชื่อเสียงอย่างไร
อันนี้พูดถึงปัญหาฝ่ายพระที่กำลังเป็นอยู่
แล้วถ้าหากว่ามองอย่างเป็นกลางๆ
ไม่คิดจะเป็นฮีโร่ไปพยายามแก้ไขปัญหาให้ได้ทันทีทันใด
เราก็จะรู้สึกว่าตรงนี้เป็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นจริง
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ทีนี้ลองมองปัญหาฝ่ายฆราวาส
เมื่อกี้เราพูดถึงปัญหาฝ่ายพระ
ที่นี้เราลองมองอีกมุมนึง ย้อนกลับมาที่พวกของเราเอง
ปัญหาของฆราวาสในปัจจุบันก็คือ
ไม่รู้เลยว่าเป็นชาวพุทธเป็นกันยังไง
ไม่รู้กระทั่งว่าพระพุทธเจ้าฝากฝังให้
พระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์ ไม่ใช่ให้พระ!
นอกจากนั้นท่านยังฝากฝังไว้อีก
ว่าให้คนในบริษัทพุทธ
..พุทธนี่ถ้าถือว่าเป็นบริษัทเนี่ย
ก็ถือว่าเป็นบริษัทไร้จำกัด
คนที่เป็นเจ้าพนักงานทั้งหมด
เรียกว่าตั้งแต่ระดับสูงสุดถึงล่างสุด
ก็มีแบ่งออกเป็นสี่จำพวกใหญ่ๆให้ช่วยๆกันดูแล
นั่นคือมี ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ภิกษุก็อย่างที่เห็นๆกัน นุ่งห่มจีวร
ส่วนภิกษุณีนี่ปัจจุบันในไทยก็ถือว่าขาดสูญไปแล้ว
ส่วนอุบาสก อุบาสิกาก็คือชาวบ้านอย่างเราๆท่านๆนี่แหละ
อุบาสกก็เป็นผู้ชาย อุบาสิกาก็เป็นผู้หญิง
เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่ามีศัพท์คำนี้อยู่
อุบาสก อุบาสิกา หมายความว่ายังไง
พอเรามองว่าปัญหาที่กำลังมีอยู่จริงๆ
ณ เวลานี้ ในประเทศไทย
ก็คือ ฝั่งพระ แบ่งชั้นวรรณะกัน
แล้วก็มีเรื่องของยศศักดิ์กันอย่างเห็นๆเลย
แล้วตรวจสอบเงินไม่ได้ด้วย
ถ้าตรวจสอบก็ถือว่าตรวจสอบศรัทธาของประชาชน
ก็ว่ากันไป..
ส่วนฝ่ายฆราวาสเองก็บอกว่า
มีการเรียกร้องว่า ให้แก้ปัญหาพระ
แต่ไม่มีการเรียกร้อง
ให้มีการแก้ปัญหาฆราวาสกันสักเท่าไหร่เลย
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
คือ มันมีการสะสมเงินได้ !
แล้วก็มีการสะสมชื่อเสียงและยศศักดิ์ได้ !
ตลอดจนการที่ปัจจุบันโดยระบบของสื่อ
ระบบของการเผยแพร่มันทำให้งานเชิงวิชาการของพระ
มีความสำคัญกว่าผลงานทางจิต
คือผู้คนสมัยนี้ไม่รู้กันแล้วว่าผลงานทางจิตเป็นยังไง
ไม่รู้แล้วว่าพระที่เข้าใกล้แล้วอบอุ่น มีความสว่างอย่างใหญ่
มีกุศลอย่างใหญ่เยือกเย็นเป็นยังไง
คือตั้งแต่เด็กมาใกล้ชิดแต่พระที่มีความว้าวุ่น
จะเอายศ เอาศักดิ์ เอาตำแหน่ง เอาเงิน เอาชื่อเสียง
หรือว่าไม่ต้องอะไรเลย
พระเล็กๆน้อยๆจะแบ่งก๊กแบ่งเหล่า
เรื่องว่าใครได้รับกิจนิมนต์ก่อน
ใครเป็นคนจัดสรรคิวนิมนต์ อะไรแบบนี้
คือชาวบ้านส่วนใหญ่จะได้แต่ใกล้ชิด
กับพระที่มีการแบ่งชั้นวรรณะกันทำนองนี้
พูดง่ายๆว่ายังมองไม่เห็นข้อแตกต่าง
ว่าพระมีความแตกต่างจากตัวเองที่หาอยู่หากิน
ที่ดิ้นรนเพื่อเอาหน้าเอาตา หรือว่าเอาชื่อเสียงอย่างไร
อันนี้พูดถึงปัญหาฝ่ายพระที่กำลังเป็นอยู่
แล้วถ้าหากว่ามองอย่างเป็นกลางๆ
ไม่คิดจะเป็นฮีโร่ไปพยายามแก้ไขปัญหาให้ได้ทันทีทันใด
เราก็จะรู้สึกว่าตรงนี้เป็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นจริง
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ทีนี้ลองมองปัญหาฝ่ายฆราวาส
เมื่อกี้เราพูดถึงปัญหาฝ่ายพระ
ที่นี้เราลองมองอีกมุมนึง ย้อนกลับมาที่พวกของเราเอง
ปัญหาของฆราวาสในปัจจุบันก็คือ
ไม่รู้เลยว่าเป็นชาวพุทธเป็นกันยังไง
ไม่รู้กระทั่งว่าพระพุทธเจ้าฝากฝังให้
พระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์ ไม่ใช่ให้พระ!
นอกจากนั้นท่านยังฝากฝังไว้อีก
ว่าให้คนในบริษัทพุทธ
..พุทธนี่ถ้าถือว่าเป็นบริษัทเนี่ย
ก็ถือว่าเป็นบริษัทไร้จำกัด
คนที่เป็นเจ้าพนักงานทั้งหมด
เรียกว่าตั้งแต่ระดับสูงสุดถึงล่างสุด
ก็มีแบ่งออกเป็นสี่จำพวกใหญ่ๆให้ช่วยๆกันดูแล
นั่นคือมี ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ภิกษุก็อย่างที่เห็นๆกัน นุ่งห่มจีวร
ส่วนภิกษุณีนี่ปัจจุบันในไทยก็ถือว่าขาดสูญไปแล้ว
ส่วนอุบาสก อุบาสิกาก็คือชาวบ้านอย่างเราๆท่านๆนี่แหละ
อุบาสกก็เป็นผู้ชาย อุบาสิกาก็เป็นผู้หญิง
เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่ามีศัพท์คำนี้อยู่
อุบาสก อุบาสิกา หมายความว่ายังไง
พอเรามองว่าปัญหาที่กำลังมีอยู่จริงๆ
ณ เวลานี้ ในประเทศไทย
ก็คือ ฝั่งพระ แบ่งชั้นวรรณะกัน
แล้วก็มีเรื่องของยศศักดิ์กันอย่างเห็นๆเลย
แล้วตรวจสอบเงินไม่ได้ด้วย
ถ้าตรวจสอบก็ถือว่าตรวจสอบศรัทธาของประชาชน
ก็ว่ากันไป..
ส่วนฝ่ายฆราวาสเองก็บอกว่า
มีการเรียกร้องว่า ให้แก้ปัญหาพระ
แต่ไม่มีการเรียกร้อง
ให้มีการแก้ปัญหาฆราวาสกันสักเท่าไหร่เลย
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ขอให้ระลึกอย่างนี้นะ
ว่าคนเราเกิดมาไม่ได้บวชเป็นพระเลย
ก่อนที่จะบวชเป็นพระต้องเป็นฆราวาสก่อน
คือฆราวาสเป็นอย่างไร
แนวโน้มที่จะเป็นพระก็เป็นไปแบบนั้น
ถ้าหากว่าทั้งวันตั้งแต่เกิดมา ไม่รู้จะกี่วันกี่วัน
ก็เห็นแต่พระที่รู้แค่เรื่องการสวดมนต์
รู้แค่เรื่องรับกิจนิมนต์ ไปงานศพบ้าง
ไปงานขึ้นบ้านใหม่บ้าง อะไรบ้าง
ความทรงจำของคนยุคปัจจุบันที่ฝังไว้ตั้งแต่เด็ก
ก็คือเป็นพระเพื่อที่จะทำกิจนิมนต์
แต่จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าให้ตกลงกันไว้ตั้งแต่วันบวชนะ
ว่าบวชมามีหน้าที่เดียว มีจุดประสงค์เดียวนะ
คือบวชมาเพื่อทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง
อันนั้นไม่มีคนรู้ !
และถ้าฆราวาสไม่รู้ อย่าหวังว่าเป็นพระแล้วจะรู้
อย่างถ้าคุณปิยเกียรติ คุณนฤมล เคยไปตามวัด
ที่ไม่ต้องไกลนะเช่นในกรุงเทพ
พระไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบวชมาต้องรักษาศีลอะไรบ้าง
ศีลห้ายังไม่รักษาเลย
(พิธีกรถาม : คือไม่รู้หรือไม่ทำคะ)
คือบางทีท่องกันไม่ถูกจริงๆ ไม่รู้จริงๆ
แล้วที่ไม่รู้เพราะไม่ถูกสอนไว้ก่อนตั้งแต่เป็นฆราวาส
แล้วถ้ามองความสำคัญนะ
ว่าเป็นฆราวาสยังไงก็จะเป็นพระยังงั้น
เราจะเริ่มหันมาตำหนิตัวเองกันมากขึ้น
ตำหนิตัวเองกันมากขึ้น ไม่ใช่เอาแต่ด่าพระ
ไม่ใช่เอาแต่ตำหนิพระ
เพราะว่าพระก็คนนั่นแหละ มาจากพวกเรานั่นแหละ!
เติบโตขึ้นมาแบบที่เราเติบโตขึ้นมานั้นแหละ
อยู่ในสังคมแบบไหน คลั่งไคล้วัตถุนิยมแบบไหน
หรือว่าชอบยศศักดิ์ขนาดไหน
พระก็เหมือนกัน ถ้าเราฆราวาสเป็นแบบนั้น !
แต่ถ้าหากว่าฆราวาสเรา
ไม่ว่าทางหนึ่งทางใด นี่พูดถึงทางออกแบบกว้างๆก่อนนะ
ขอให้ฆราวาสเห็นความสำคัญของศาสนาพุทธ
ว่ามีไว้เป็นหลักที่พึ่งทางใจทั้งในยามตายและในยามอยู่
(พิธีกรขอให้คุณดังตฤณรีบสรุปเนื่องจากหมดเวลา)
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ว่าคนเราเกิดมาไม่ได้บวชเป็นพระเลย
ก่อนที่จะบวชเป็นพระต้องเป็นฆราวาสก่อน
คือฆราวาสเป็นอย่างไร
แนวโน้มที่จะเป็นพระก็เป็นไปแบบนั้น
ถ้าหากว่าทั้งวันตั้งแต่เกิดมา ไม่รู้จะกี่วันกี่วัน
ก็เห็นแต่พระที่รู้แค่เรื่องการสวดมนต์
รู้แค่เรื่องรับกิจนิมนต์ ไปงานศพบ้าง
ไปงานขึ้นบ้านใหม่บ้าง อะไรบ้าง
ความทรงจำของคนยุคปัจจุบันที่ฝังไว้ตั้งแต่เด็ก
ก็คือเป็นพระเพื่อที่จะทำกิจนิมนต์
แต่จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าให้ตกลงกันไว้ตั้งแต่วันบวชนะ
ว่าบวชมามีหน้าที่เดียว มีจุดประสงค์เดียวนะ
คือบวชมาเพื่อทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง
อันนั้นไม่มีคนรู้ !
และถ้าฆราวาสไม่รู้ อย่าหวังว่าเป็นพระแล้วจะรู้
อย่างถ้าคุณปิยเกียรติ คุณนฤมล เคยไปตามวัด
ที่ไม่ต้องไกลนะเช่นในกรุงเทพ
พระไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบวชมาต้องรักษาศีลอะไรบ้าง
ศีลห้ายังไม่รักษาเลย
(พิธีกรถาม : คือไม่รู้หรือไม่ทำคะ)
คือบางทีท่องกันไม่ถูกจริงๆ ไม่รู้จริงๆ
แล้วที่ไม่รู้เพราะไม่ถูกสอนไว้ก่อนตั้งแต่เป็นฆราวาส
แล้วถ้ามองความสำคัญนะ
ว่าเป็นฆราวาสยังไงก็จะเป็นพระยังงั้น
เราจะเริ่มหันมาตำหนิตัวเองกันมากขึ้น
ตำหนิตัวเองกันมากขึ้น ไม่ใช่เอาแต่ด่าพระ
ไม่ใช่เอาแต่ตำหนิพระ
เพราะว่าพระก็คนนั่นแหละ มาจากพวกเรานั่นแหละ!
เติบโตขึ้นมาแบบที่เราเติบโตขึ้นมานั้นแหละ
อยู่ในสังคมแบบไหน คลั่งไคล้วัตถุนิยมแบบไหน
หรือว่าชอบยศศักดิ์ขนาดไหน
พระก็เหมือนกัน ถ้าเราฆราวาสเป็นแบบนั้น !
แต่ถ้าหากว่าฆราวาสเรา
ไม่ว่าทางหนึ่งทางใด นี่พูดถึงทางออกแบบกว้างๆก่อนนะ
ขอให้ฆราวาสเห็นความสำคัญของศาสนาพุทธ
ว่ามีไว้เป็นหลักที่พึ่งทางใจทั้งในยามตายและในยามอยู่
(พิธีกรขอให้คุณดังตฤณรีบสรุปเนื่องจากหมดเวลา)
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
สรุปก็คือ ถ้าเราอยากให้พระรู้เรื่องธรรมะกันมากขึ้น
เราเริ่มกันเลยตั้งแต่เป็นฆราวาสนี่แหละ
ศึกษาธรรมะและเห็นว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรให้
แล้วพระก็จะเป็นแบบนั้นเองครับ
เราเริ่มกันเลยตั้งแต่เป็นฆราวาสนี่แหละ
ศึกษาธรรมะและเห็นว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรให้
แล้วพระก็จะเป็นแบบนั้นเองครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น