วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เดินจงกรม จะดูความไม่เที่ยงอย่างไร?

เราสามารถเห็นอนิจจสัญญาจากการเดินจงกรมได้อย่างไร?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน เห็นความไม่เที่ยง เห็นอย่างไร?

วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๑

รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/yyP-mAfh58c



เวลาที่เดินจงกรมเนี่ย ถ้าเดินอย่างถูกต้อง เราจะมีจุดศูนย์กลางของการรับรู้ให้เกิดความเห็นที่ตั้งมั่น คงเส้นคงวา แต่ถ้าหากเดินจงกรมไม่ถูกวิธี ตั้งมุมมองไว้ไม่ถูก มันจะมีความรู้สึกว่ายิ่งเดิน จิตยิ่งเบลอ หรือว่าบางทีจิตยิ่งฟุ้ง

บางคนใช้ลูกอึด บางทีตั้งมุมมองไว้ไม่ดี แต่ใช้ลูกอึดเอา บางคนนี่ถึงขนาดว่าจะให้ได้ดีต้องหนึ่งชั่วโมง ต้องสองชั่วโมงขึ้นไป ถึงจะเริ่มเห็นอะไรดีๆ เนี่ยจริงๆไม่ใช่นะฮะ ไม่ใช่ว่าเห็นอะไรดีๆ จิตยอมแพ้ลูกอึด บางทีเหมือนเดินไป มันเหมือนหุ่นยนต์เดินอยู่ แล้วก็ที่เห็นไปแบบนั้นเพราะจิตเริ่มเป็นสมาธิจากลูกอึดนั่นแหละ พอเราย้ำๆ ที่จะจดจ่อกับอะไรอย่างหนึ่ง ไปเรื่อยๆ มันก็เกิดสมาธิได้ แต่ว่าการใช้ลูกอึดเนี่ยมันไม่ได้ดีขึ้นมาทุกครั้ง ส่วนใหญ่จะนานๆทีฟลุกที!

แต่ถ้าหากเราเดินจงกรมแบบมีหลักมีที่ตั้งของจิตที่ชัดเจน ยิ่งวันมันจะยิ่งก้าวหน้า คือจะสามารถเห็นได้ตั้งแต่แรกๆเลย ตั้งแต่เดินไม่นานห้านาที สิบนาที เอาแค่นาที สองนาที มันจะค่อยๆเห็นจุดศูนย์กลางของการรับรู้ว่า มีอยู่ชัดๆ มันดีขึ้นเรื่อยๆ เช่น เดินไปเนี่ยสังเกตเถอะ อะไรที่เป็นจุดกระทบ ก็คือฝ่าเท้าที่กระทบกับพื้น คือไม่ใช่ไปเพ่งที่ความรู้สึกฝ่าเท้านะ แต่ว่าเป็นการเพ่งที่ฝ่าเท้ากระทบกับพื้นนะ เเป๊ะๆๆไป จนกระทั่งใจมันเกิดการรับรู้จังหวะกระทบ

ฟังดีๆนะฮะ ถ้ารู้แค่ฝ่าเท้ากระทบเฉยๆ ยังไม่ถือว่าสติจะเจริญได้หรือว่าสมาธิจะได้ที่ตั้ง แต่ถ้ารู้สึกว่าเดินถึงจังหวะกระทบ แป๊ะๆๆไปเนี่ย บางทีมันก็ช้า บางทีมันก็เร็วขึ้น เดินๆจงกรมไปเถอะ มันไม่คงเส้นคงวาหรอก บางทีมันก็ช้าลง บางทีมันก็เร็วขึ้น ถ้าเราจับจังหวะกระทบได้ แล้วจังหวะกระทบนั้น อยู่ในใจเราได้สักรอบสองรอบ มันจะเกิดความรู้สึกว่ามีฐานที่ตั้งของการรับรู้ขึ้นมา เอาตรงนี้ให้ได้ก่อน เอาให้ได้จิตที่มีความสามารถจะรู้คงเส้นคงวาก่อน

อย่างเวลากลับตัว คนส่วนใหญ่กลับว้าบเลย มันก็จะมีช่วงกลับตัวที่งงๆ แต่ถ้าหากว่าเราเดิน แป๊ะๆๆ แล้วพอถึงจังหวะหยุดนะ เราหยุดเท้าเสมอกัน เสร็จแล้วกลับที่ละครึ่ง หมุนเท้าทีละครึ่งเหมือนตอนเรียนลูกเสือ เนตรนารี หมุนทีละครึ่ง เป็นสองจังหวะ เราจะรู้สึกถึงเท้ากระทบ จังหวะของเท้ากระทบต่อเนื่อง แล้วไม่งง เดินจงกรมไปแล้วไม่งง เดินจงกรมไปแล้วยิ่งมีความนิ่ง มีความรู้สึกถึงเท้ากระทบมากขึ้นเท่าไหร่ แล้วคุณจะเกิดความรู้สึกขึ้นมาเองว่าทั้งตัว มันถูกรับรู้ไปเอง โดยไม่ต้องพยายาม โดยไม่ต้องฝืน ไม่ต้องเกร็ง

ตัวนี้แหละพอเริ่มจับจังหวะกระทบได้ แล้วจิตอยู่กับจังหวะกระทบนั้นคงเส้นคงวา เวลาที่มันจะมีอาการ เช่น ฟุ้งซ่าน หรือเกิดความรู้สึกอยากจะคิดโน่นคิดนี่ขึ้นมา มันจะมีส่วนของการรับรู้จังหวะเท้ากระทบที่ยังคงเส้นคงวาอยู่ ในขณะที่มันเห็นในอาการที่อยากจะแล่บออกไป อยากที่จะแล่นออกไป อยากที่จะฟุ้งซ่านออกไปในเรื่องที่ชอบเรื่องที่ชิน หน้าตามันเป็นแบบนี้ จิตมันเป็นแบบนี้ มันเหมือนมีอาการต่างกันออกไป จากที่มันว่างๆ มีการก่อตัวของพายุขึ้นมา ไม่เห็นว่าการก่อตัวของพายุนั้นเป็นตัวเรา แต่เห็นว่าจิตนั้นมีอาการก่อตัวความฟุ้งซ่านขึ้นมา ตรงนี้เป็นการเริ่มได้ข้อสังเกตขึ้นมา เดิมจิตมันนิ่งๆว่างๆอยู่ อยู่กับการรับรู้จังหวะเท้ากระทบ แต่สักแป๊บตามธรรมดา ตามธรรมชาติเดี๋ยวมันมีเฟส (phase) ของมัน เดี๋ยวมีเฟสขึ้นเฟสลง เฟสลงคือจิตสงบราบคาบ รู้สึกว่ามันมีความพอใจอยู่กับการรู้สัมผัสกระทบ จิตนี่วิเวก จิตนี่ปล่อย จิตไม่อยากสำคัญมั่นหมาย อยากได้โน่นอยากได้นี่ แต่แป๊บๆมันก่อตัวขึ้นมาอยากได้โน่นอยากได้นี่แบบเก่า ซึ่งถ้าสติยังคงดำรงอยู่ ยังรับรู้อยู่ มันก็ยังคงเห็นว่า ไอ้ที่มันก่อตัวขึ้นมา ที่จังหวะกระทบไหน พอกระทบๆๆไป มันหายไปที่ใด มันจะมีแกนอ้างอิงที่ชัดเจน

ถ้าใครยังจับฝ่าเท้ากระทบไม่ได้ เช่นมือใหม่เดินจงกรมเนี่ย ก็อยากแนะนำให้ลองวิ่งดู วิ่งเหยาะๆก็ได้ หรือว่าวิ่งสายพาน แล้วจับความรู้สึกว่าเท้ากระทบเนี่ยนะ มันให้ความรู้สึกยังไง จังหวะเท้ากระทบให้ความรู้สึกน่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ ถ้าไม่น่าพอใจเราสังเกตได้ เท้ามันจะแข็งๆ ตัวมันจะเกร็งๆ แต่ถ้ามันน่าพอใจ เท้ามันจะอ่อนสลวย จังหวะกระทบชัด แป๊ะๆๆๆ ไป ตัวไม่เกร็ง ใจผ่อนคลาย มันเห็นสุขมันเห็นทุกข์อันเกิดจากการวิ่งจงกรมได้ เนี่ยเรียกว่าเห็นความไม่เที่ยงเหมือนกัน

พอความจริงมันเปิดเผยในขอบเขตกายใจ จะรู้สึกว่าเออ จริงด้วย มันเกิดขึ้นมาตั้งนานแต่เราไม่เคยสังเกต ไม่เคยเห็นว่าเพราะอะไร เพราะมันมีโมหะห่อหุ้มอยู่ มันมีโมหะปิดบังอยู่ แค่รับรู้ความจริงที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้น โมหะนี่เกิดจากอะไร เกิดจากความอยากโน่นอยากนี่ อยากได้นั่นอยากได้นี่ ฟุ้งซ่าน..เอ๊ะ..จะเอายังไงดี ฟุ้งซ่าน..เอ๊ะ..แก้แค้นจะเอาคืนท่าไหน ฟุ้งซ่าน..วันนี้จะกินอะไร ความอยากโน่นอยากนี่นี่แหละปิดบังไม่ให้เห็นความไม่เที่ยงเหล่านี้

พอมันเห็นความไม่เที่ยงได้ แม้แค่ครั้งแรกๆก็เกิดความรู้สึกขึ้นมา เหมือนเกิดตาสว่างขึ้นมา ที่ยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาว่าต้องแคร์เสียนักหนา หรือว่าต้องหวงเสียนักหนา หรือว่าต้องเอาให้ได้ อย่างนักอย่างหนา ถ้าไม่ได้มาแล้วจะเป็นจะตาย มันเหลวไหลทั้งเพ มันไร้แก่นสารทั้งเพ

นี่แหละตัวนี้แหละ ที่เดินจงกรมแล้ว ถือว่าไปถึงจุดที่แสดงความไม่เที่ยง!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น