วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2557

สัมภาษณ์คุณดังตฤณกรณีข่าวลูกฆ่าพ่อแม่

รายการวิทยุ  ร่วมด้วยช่วยกัน
ดำเนินรายการโดย ดีเจเอ้ ธีรนุช ยอดนุ่น


ฟังคลิปเสียงคุณดังตฤณบนยูทูบ (ความยาวคลิป 19 นาที)

หรืออ่านไฟล์ถอดเสียงได้ที่นี่...

ผู้ดำเนินรายการ: คุณผู้ฟังคะ กลับมาในช่วงของการสนทนา ประเด็นของการสนทนาวันนี้ ก็สอดคล้องกันกับข่าวความคืบหน้ากรณี ฆาตกรรมตระกูลหอมชง ที่บอกว่าลูกชายคนเล็กน่าจะเข้าไปมีส่วนรู้เห็นด้วยนะคะ

เราจะพูดคุยกันกับคุณศรันย์ ไมตรีเวช หรือที่เรารู้จักท่านในนาม "ดังตฤณ" นะคะ ก็มีผลงานเขียนในเรื่องของงานที่เป็นเชิงพุทธศาสนานะคะ เยอะแยะมากมายเลยทีเดียวค่ะ ประเด็นนี้ล่ะค่ะ

ลูกมีกรรมอะไรถึงฆ่าพ่อแม่ได้?

...แล้วก็ถามต่อไปด้วยว่า

แล้วถ้าทำแบบนี้ มาตุฆาต ปิตุฆาต สิ่งที่เขาจะได้รับ หรือกรรมที่จะติดตัวเขาไป มันจะหนักหนาสาหัสขนาดไหนอย่างไร?

ตอนนี้ สายพร้อมแล้ว สวัสดีค่ะ

คุณดังตฤณ : สวัสดีครับ คุณธีรนุช

ผู้ดำเนินรายการ: ค่ะ อย่างที่ถามล่ะค่ะ คือถ้าคนทางพุทธ เราก็จะรู้สึกว่า หรือเราก็เชื่อว่า สิ่งนี้ที่มันเกิดขึ้นมันจะต้องมีเหตุปัจจัยมา อาจภพชาติหนึ่ง ภพชาติใดในอดีตอะไรอย่างนี้ ทีนี้กับเรื่องที่มันเกิดขึ้นอย่างนี้ค่ะ คุณดังตฤณ มันเคยเกิดอะไรขึ้นคะ? หรือมันมีเหตุปัจจัยจากอะไรคะ?

คุณดังตฤณ : เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ เพื่อที่จะให้ฟังง่าย เราเริ่มต้นกันจากจุดที่ฟังง่ายก่อน เพราะพอพูดเรื่องว่า เอ... ในอดีตเคยไปทำอะไรกันมา มันบางทีฟังยากและนึกไม่ออกนะว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

ตอนนี้สิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ ก็คือเรื่องน่าตกใจ คือเราจะเกิดความรู้สึกว่า พอมีข่าวอะไรแบบนี้ออกมาถี่ๆ หรือว่าใกล้เคียงกัน มันเป็นเรื่องน่าตกใจ น่าตกใจว่าสังคมเราเป็นอะไรไปกันแล้วนะ หรือว่ามันมีสภาพจิตที่ป่วยหนักกันหรือเปล่า น่าเป็นห่วง น่ากังวล ในกรณีที่จะเกิดขึ้นได้อีกต่อไปไหม ในทำนองนี้นะ ทั้งนี้ก็เพราะว่า ลูกทำกับพ่อแม่ได้ลงคอนี่ มันผิดวิสัย ดูเหมือนผิดวิสัย

แต่ทีนี้ถ้าเรามองย้อนกลับไปถึงข่าวที่มันเกิดขึ้นจริง เคยมีเรื่องจริงเกิดขึ้นหนักหนาสาหัสกว่านี้นี่ มันมีอยู่นะ เช่นว่า ลูกฆ่าพ่อ ฆ่าแม่เอาสมบัตินี่ ยังเบากว่าแม่ฆ่าลูก แม่ฆ่าลูกนี่ก็มีนะ อย่างเมื่อปีก่อนก็มีแม่จิตหลอน ฆ่าลูกทำต้มแซ่บอะไร ที่นึกว่าเป็นหมู นี่ หรือไม่ก็มีที่ แอตแลนตา (Atlanta) ที่ต่างประเทศก็มี ไม่ใช่เฉพาะในไทย บอกว่า ฆ่าลูกเพราะว่าขี้เกียจเลี้ยง นะ อย่างนี้ก็มีนะ เรื่องน่าตกใจนี่มันไม่ใช่เพิ่งมามี และก็ไม่ใช่ว่าสังคมป่วยหนักถึงขั้นต้องไปเหมือนกับเป็นห่วงหรือว่าวิตกเกินกว่าเหตุนะ

ผมอยากพูดว่าจริงๆ แล้ว ถ้าใครไม่เคยมีประสบการณ์ในวัยเด็กที่อบอุ่นอยู่กับพ่อแม่ หรือว่า กระทั่งว่ามีประสบการณ์เลวร้ายมากๆ เมื่ออยู่กับพ่อแม่ในวัยเด็กนะ รู้ข่าวพวกนี้แล้วจะไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่ แต่คนที่ตกใจนี่คือคนที่จะค่อนข้างมีประสบการณ์ที่ดีในวัยเด็กกับพ่อแม่นะ

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ทีนี้คือ เรามาพูดกันในแง่ที่ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
อย่างกรณีนี้นี่ ถ้าวิเคราะห์กันตามข่าว ตามเนื้อหาข่าวอย่างเดียวนะ ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรจริงๆ ก็ต้องบอกว่า อิทธิพลของเงินมันมีอยู่เหนือมโนธรรม แล้วก็ เรื่องที่ว่าอยากครอบครองสมบัติ ครอบครองมรดกแต่เพียงผู้เดียวนี่มันไม่ใช่เพิ่งมามีสมัยนี้ แล้วใครๆ ก็เป็นกันได้นะ

แม้แต่พระพุุทธเจ้าก็เคยเล่าให้ฟังนะว่า สมัยท่านยังท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ด้วยความไม่รู้นี่ ท่านก็เคยฆ่าน้องชายตัวเองด้วยวิธีผลักตกเหว แล้วก็ทุ่มหินซ้ำลงไปอีกเพื่อหวังจะครอบครองสมบัติแต่เพียงผู้เดียว แล้วกรรมนั้นก็ตามมาให้ผลแม้ในชาติสุดท้าย ก็คือพระองค์ท่านก็ถูกพระเทวทัตทุ่มหินใส่ ขณะที่เดินผ่านหน้าผา อันนี้ก็อยากจะบอกว่า เรื่องที่จะฆ่าคนในครอบครัวเดียวกัน หรือว่าที่เป็นสายเลือดเดียวกันไม่ใช่เพิ่งว่าจะเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว

อย่างบางคนนี่ขอให้ดูเถอะ เอาง่ายๆเลยนะ คนปกติธรรมดา บางคนมีพ่อแม่รวยๆ แล้วตัวเองทำงานทำการก็ไม่ได้เท่ากับพ่อแม่ แล้วบอกว่า บางทีมันก็อดไม่ได้ ช่วยไม่ได้นะที่จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า เออ นี่ถ้าพ่อแม่ตาย เราก็จะได้สมบัติ เกิดความรู้สึกอย่างนี้ขึ้นมา นี่ในคนปกติธรรมดานะที่ไม่คิดฆ่าพ่อฆ่าแม่นะ ยังอาจเกิดความรู้สึกทำนองนี้ขึ้นมาได้

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ทีนี้พอเราหายตกใจ แล้วก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องน่าตระหนกว่าโลกกำลังจะเข้าสู่ยุคมิคสัญญี หรืออะไรต่างๆ เราก็จะได้มาสืบสาว หาเหตุหาผลกันเป็นกรณีไป นะ อย่างเช่นตามข่าวนี้ บอกว่า เขาสารภาพออกมาแล้ว บอกว่า พ่อแม่รักพี่ชายมากกว่า ซึ่งถ้าดูจากพฤติกรรมแบบนี้ของลูกชายคนเล็ก ก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมพ่อแม่ถึงรักน้อยกว่า มันพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเขาบ้าง คือแนวโน้มนิสัยน่าจะเป็นประเภทที่ว่า เอาแต่ใจตัว เห็นแก่ตัว หรือว่า เหมือนกับทำอะไรไม่ได้ดีเท่าพี่ชาย

ข่าวนี่ก็คือว่า คุณพ่อเป็นทหาร และพี่ชายก็เป็นทหารด้วย แต่ตัวเองคือก็ไม่รู้อะไร ตอนนี้ก็ยังไม่ทราบว่าทำมาหากินอะไรยังไง แต่ว่าคือผมไม่ทราบนะว่าเขาทำมาหากินอะไร แต่ทราบอย่างหนึ่งว่า ถ้าหากนะ ... ถ้าหาก อันนี้เท่าที่เห็นมานะ คือไม่ได้บอกว่าเป็นกรณีนี้หรือเปล่านะ คุณพ่อเป็นทหารแล้วลูกชายคนหนึ่งเป็นทหาร (เป็นตำรวจค่ะ : ดีเจเอ้) เป็นตำรวจใช่มั้ย โอเค ก็จะมีความรู้สึกว่าอย่างน้อยภูมิใจในลูกชายที่เป็นตำรวจได้ล่ะ ว่า เขาสามารถเข้มแข็ง หรือเป็นชายขาติทหารแบบตนเอง ถ้าหากว่าลูกชายอีกคนหนึ่งซึ่งเท่าที่รู้ ไม่ใช่เป็นตำรวจ หรือทหารใช่ไหมครับ แล้วก็อาจจะทำอะไรที่ไม่เป็นโล้เป็นพายเท่าไหร่ มันก็แน่นอนว่า คงได้รับความเอาใจใส่ หรือว่าพูดอะไรดีๆ น้อยกว่าผู้เป็นพี่ชาย อันนี้เป็นเหตุกดดันมา อันนี้เราพยายามพูดกันในลักษณะที่เข้าข้างเขาก่อนนะ ถ้าเขาสัมภาษณ์มาแบบนี้เราก็เดาว่ามันต้องมีเหตุกดดันอะไรมา ทำให้เกิดความเจ็บช้ำน้ำใจ ทำให้เกิดความรู้สึกน้อยใจ

ความรู้สึกน้อยใจอย่างเดียวนี่นะ มันทำให้เกิดอะไรขึ้นก็ได้ ทำให้เกิดเรื่องนึกไม่ถึงได้มากมายในโลก !

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

เอาล่ะ เมื่อมองนะว่าเขามีความกดดันอยู่ก่อน เราก็มามองเป็นสังคมโดยรวมเลยก็แล้วกันว่า ท่าทีของพ่อแม่มีส่วนอยู่ด้วยไหม? อย่างถ้าวิเคราะห์ตามสถานการณ์ ตามเนื้อผ้าที่เกิดขึ้นนะ ผมว่าพ่อแม่เลี้ยงมาดีพอสมควรนะ เพราะว่าโตมาอยู่รอดปลอดภัย แล้วก็มาคิดทำเรื่องอะไรแบบนี้ได้นี่ แล้วพี่ชายเขาก็ประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องถือว่าพ่อแม่เลี้ยงมาดีพอสมควร แต่อาจจะขาดอะไรไปบางอย่างสำหรับลูกคนเล็ก คือขาดการทำให้รู้สึกว่า...

ชีวิตจะมีค่าก็คือ "การให้"  ไม่ใช่การเอาแต่ "รอรับ"

คือ โลกทุกวันนี้นี่ มันมีคนรอรับกันเยอะ เพราะว่าสิ่งกระตุ้นสิ่งเร้า หรือวัตถุนิยมนี่ มันโถมเข้ามาเหลือเกิน มันทำให้จิตใจคนอ่อนแอลง แล้วก็อยากจะได้ท่าเดียว เราจะไม่สามารถหยุดวัตถุนิยมได้นะ แต่เราสามารถเพิ่มธรรมะเข้าไปในยุควัตถุนิยมนี่ได้

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

คือถ้าจะพูดถึงพ่อแม่นี่ ผมอยากจะบอกว่า

พ่อแม่อยากให้ลูกเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นให้ลูกเห็น
เริ่มต้นก่อน อันดับหนึ่งเลย คือตั้งเป้าไว้ ฝึกลูกให้ "รู้จักให้" ให้เป็น

คือกรณีนี้นี่ ถ้า ... ชื่อเต้ยใช่ไหม คนที่เป็นลูก อย่างคุณเต้ยนี่ ถ้าได้ถูกฝึกให้รู้จักให้ไว้ก่อนเขาจะไม่มีนิสัยเอาแต่ได้ขนาดนี้ นะ ขนาดที่ว่าอยากจะเอาสมบัติไว้คนเดียว นี่เขาสารภาพเองว่า ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ทั้งทรัพย์สมบัติอะไรของพ่อแม่มันมีอยู่เยอะ แล้วมันเกิดความโลภขึ้นมา อยากจะได้ไว้คนเดียวทั้งหมด

ถ้าหากว่าตั้งแต่เด็กๆ เขาถูกพาไปให้อาหารปลาบ้าง อาหารสัตว์บ้าง หรือจะไปตามสถานสงเคราะห์พวกคนพิการหรือเด็กอนาถาอะไรต่างๆ นี่นะ แล้วก็ปลูกฝังความรู้สึกว่าอยากจะให้อภัย อยากจะให้โน่น ให้นี่กับคนอื่นนี่ มันจะโตขึ้นมาด้วยอีกความรู้สึกหนึ่งว่าไม่ใช่รอรับอย่างเดียว แต่จะมี "แรงดัน" อยากจะให้ขึ้นมาด้วยนะ แล้วความอยากจะให้นี่มันสามารถที่จะลบความรู้สึกว่าอยากได้อะไรต้องได้ หรืออยากจะเอาอะไรจากใคร ไม่สนใจ วิธีการใดๆ ทั้งสิ้น ความรู้สึกเหล่านี้มันจะถูกลบ จะถูกกลบกลืนไปด้วยความรู้สึกอยากให้

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

เอาล่ะ ตรงนี้นี่ พอพูดมาถึงตรงนี้นะ ผมอยากบอกว่า ที่เป็นแรงผลักดันจริงๆ ที่เราสามารถเห็นได้ก็คือว่า กรรมของเขานี่มันก็คือว่า ไม่รู้จักให้ มีแต่จะเอา นี่คือพื้นฐานของกรรม วิธีคิด วิธีที่จะลงมือทำ มันมาจากความเอาแต่ได้นะ

ถ้าเราเลี้ยงเขาในแบบที่รู้จักให้บ้าง ลักษณะเส้นทางกรรมของเขาจะเปลี่ยนแปลงไป ถึงแม้ว่าเขาจะมีนิสัยเดิมดิบๆ มาในทำนองนี้นะ แต่ถ้าถูกเติมน้ำ เติมสารอะไรดีๆ ลงไปในจิตใจ ที่มันจะเจือจางความรู้สึกเอาแต่ได้แบบดิบๆ นี่นะ อย่างน้อยที่สุดเขาจะไม่ทำถึงขนาดนี้ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หรือมโนธรรมจริงๆแล้ว เราพูดกันมากมายเลยว่ามันควรจะอย่างนั้น มันควรจะต้องอย่างนี้

โดยพื้นฐานแล้ว "การรู้จักให้" นี่แหละครับ
คือพื้นฐานของมโนธรรมที่สำคัญที่สุด !

คนที่ "ไม่รู้จักให้" และ "เอาแต่ได้" นี่นะครับ
ในที่สุดมันจะทำอะไรในแบบที่เราคาดไม่ถึง !

แล้วก็ พอเกิดอะไรขึ้นแบบนี้ที เราก็จะมาตั้งข้อสงสัยกันทีว่า สังคมเราป่วยไปถึงขนาดนี้แล้วหรือ แล้วก็จะไปวิเคราะห์กันด้วยการโทษโน่น โทษนี่ ว่าเป็นเพราะแรงยุอย่างโน้น แรงยุอย่างนี้ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นกรณีๆ ไป

อย่างที่เราคุยกันมาตั้งแต่ต้น ว่า กรณีของคุณเต้ย ก็จะมีเรื่องของความน้อยใจ นะ เป็นแรงกดดันพื้นฐาน แล้วก็มีเรื่องของควาามโลภ โลภในสิ่งที่ไม่ควรจะโลภ แล้วก็ต่อให้สมมติว่าติดคุก แล้วออกจากคุกมาก็ไม่มีสิทธิได้รับมรดกนะ เพราะในทางกฏหมายนี่คือ ถ้าฆ่าพ่อ ฆ่าแม่นี่ ถูกตัดออกจากกองมรดกโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว คือทำในสิ่งที่โง่เขลา แล้วก็ไม่เกิดผลสำเร็จอะไรขึ้นมาเลย ไม่ได้อะไรในที่สุด

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

นอกจากการได้ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ซึ่งถือว่าเป็นปิตุฆาต แล้วก็มาตุฆาต ในศาสนาพุทธถือว่าเป็นอนันตริยกรรม คือเป็นกรรมที่แก้ไม่ได้นะ ยังไงก็ต้องได้รับผลจากการที่ฆ่าพ่อฆ่าแม่ก่อน ไม่ว่าจะทำบุญขนาดไหน

อย่างสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ ก็มีพระเจ้าอชาตศัตรูที่ฆ่าพระเจ้าพิมพิสารที่เป็นพระราชบิดา ของตนเอง ต่อมาพอตัวเองมีลูก ก็รู้สึกรักลูกมาตั้งแต่แวบแรกที่เห็น ก็นึกออกว่าพ่อของตัวเองรักตัวเองมากขนาดไหน จนกระทั่ง วิ่งไปที่คุกที่ขังพ่ออยู่ ปรากฎว่าพ่อตายแล้ว เสด็จสวรรคตเรียบร้อย พระเจ้าอชาตศัตรูก็เสียอกเสียใจแล้วก็เริ่มหันมาฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าบ้าง

ทีนี้พอมาฟังธรรมของพระพุทธเจ้า เกิดเลื่อมใสศรัทธาแล้วก็ได้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า แล้วก็อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างชนิดที่ไม่มีกษัตริย์ในสมัยนั้นทำได้เท่าเลยจนชั่วชีวิตของท่าน แต่ปรากฎว่าพอตายไป เอ่อ ได้รับผลก่อนก็คือจากการทำปิตุฆาต ทั้งๆที่เป็นอุปถัมภก คือเป็นผู้อุปถัมภ์พุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง ก็ยังช่วยไม่ได้  อย่างบางคนบอกว่า โอ้โหพอไปทำสังฆทานที่หนึ่งรู้สึกชื่นใจมาก รู้สึกปลาบปลื้มมาก มันคือต้องได้ขึ้นสวรรค์แน่นอน แม้แต่พระเจ้าอชาตศัตรูทำยิ่งกว่านั้นหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นเท่านี่ ยังไม่สามารถเอาชนะปิตุฆาตแค่กรรมเดียวแค่ครั้งเดียวได้เลย ท่านทำทั้งชีวิตนะ การอุปถัมภ์ศาสนา

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ทีนี้คือ เอาล่ะตรงที่มันเกิดขึ้นเนี่ย เราควรจะมองคุณเต้ยเค้าอย่างไร?
ผมว่าเค้าอายุแค่ ๒๒ แล้วทำสิ่งที่มันแก้ไม่ได้ไปแล้วเนี่ย เราไม่ต้องไปสาปแช่งเค้าหรอก คือสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นกับเค้าเนี่ยมันแก้ไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ว่าต่อให้พระพุทธเจ้าช่วย ก็ช่วยไม่ได้นะ แล้วสิ่งที่เค้าจะได้รับเนี่ย ผมว่าเอาขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เนี่ย เค้าจะต้องนั่งทบทวน นั่งคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ไปจนกระทั่งชีวิตหาไม่อยู่แล้ว มันมีความทุกข์อย่างที่เรียกว่า มีชีวิตก็เป็นทุกข์ แล้วก็ ตายไปก็จะต้องไปเป็นทุกข์

เพราะฉะนั้นอย่าไปก่นด่า หรือสาปแช่ง หรือว่าคิดอะไรไม่ดีต่อเค้าให้มันมากเลย เพราะมันไม่มีใครที่จะเป็นทุกข์ได้เท่าเค้าอีกแล้วล่ะ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

นี่ก็เหมือนกับถ้าคิดเปรียบเทียบว่าเค้าเป็นพระเจ้าอชาตศัตรูเนี่ย เค้าก็น่าจะมีโอกาสที่จะได้ฟังธรรมะบ้าง เพราะว่าพระเจ้าอชาตศัตรูเนี่ย ถึงแม้ว่าจะทำกรรมหนักขนาดไหน พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเดี๋ยวในที่สุดก็จะได้ขึ้นมา แล้วก็ได้มาบรรลุธรรมในชาติสุดท้ายของท่านในอีกนานต่อไป เพราะฉะนั้น ถึงพลาดไปแล้ว มันแก้ตัวได้

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

แล้วถ้าเราอยากให้สังคมเป็นอย่างไร เราใส่เหตุปัจจัยเข้าไปอย่างนั้นกับลูกหลานของตัวเอง เพราะว่าสังคมทุกวันนี้นะ บางทีเด็กรุ่นใหม่เค้าคุยกันเนี่ย เราจะรู้ได้เลยว่าเค้าไม่ศรัทธาอะไรแล้ว คือจะให้มาบอกว่าไปฟังพระองค์นั้นองค์นี้เทศน์เนี่ย บางทีเค้าหัวเราะ เค้าเห็นเป็นเรื่องตลกนะ แต่ถ้าพ่อแม่ทำในสิ่งที่อยากจะให้เค้าเป็นให้เค้าเห็นตั้งแต่เด็กๆเนี่ย เค้าจะรู้สึกว่าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องตลก

อย่างถ้าพ่อแม่คุยกันเรื่อง "การห้ามใจ"
อย่าไปเอาเค้าเลย อย่าไปผิดศีลข้อนั้นข้อนี้เลย
นี่ มันจะ "ฝังอยู่ในใจ" เค้า
ฝังแล้วแบบเอาออกไม่ได้ด้วยนะ
คือมันจะติดแน่นอยู่ในก้นบึ้งจิตสำนึกเค้า !

ทำให้เค้ารู้สึกว่า เออ ชีวิตนี้ของเค้าเนี่ยไม่อยากจะทำผิดศีลข้อนั้นข้อนี้ที่คุณพ่อคุณแม่เคยห้ามใจให้ดู หรืออย่างถ้าพาเค้าไปให้โน่นให้นี่ หรือไปสงเคราะห์คนบ่อยๆ เนี่ย เวลาโตขึ้น เค้าจะอยากให้ขึ้นมาเอง

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

คือช่วงที่เป็นด็ก มันจะเป็นช่วงของการเรียกว่า "ปั้นรูปชีวิต" คือเดิมทีเค้ายังไม่มีรูปชีวิต แต่เราเป็นคนปั้นให้ อยากให้เค้าเป็นอย่างไร รูปร่างหน้าตาดีแค่ไหนเนี่ยคือเราปั้นได้เท่าที่ธรรมชาติจะให้ออกมา

แต่ว่า "จิตวิญญาณ" เนี่ย เราปั้นให้เป็นอย่างไรก็ได้ ขาวแค่ไหนก็ได้ สะอาดแค่ไหนก็ได้ !

อย่าไปหวังพึ่งว่าจะต้องเป็นหน้าที่ของหน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้หรือว่า เอ่อ เป็นหน้าที่เทศนาธรรมของพระสงฆ์องค์เจ้าอะไร คือตอนนี้ไม่ทันแล้ว ถ้าเราจะไปคิดพึ่งพาหรือว่ายกหน้าที่ยกภาระให้กับใคร มันเละ จนกระทั่งเรียกว่าไม่ต้องไปบอกเค้า ว่าให้ไปฟังโน่นฟังนี่

เด็กรุ่นใหม่นี่ คือเค้าจะดูอย่างเดียวว่าพ่อแม่ "ทำอะไรให้เห็น" !

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ผู้ดำเนินรายการ: ก็เป็นคำแนะนำที่คุณพ่อคุณแม่อย่าให้คำว่า "ไม่ทันแล้ว" เข้ามากล้ำกรายนะคะ พยายามทำทุกอย่างในช่วงเวลาที่มีอยู่ก็แล้วกันนะคะ ...เราไม่ควรจะซ้ำเติมกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แล้วก็ควรจะเรียนรู้จากสิ่งที่มันเกิดขึ้น แล้วก็พยายามเอาสิ่งที่เกิดขึ้นเนี่ยมาทำให้ครอบครัวของเรามีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง

คุณดังตฤณ : เอ่อ ต้องเห็นว่าการเลี้ยงลูกเนี่ยเป็นเรื่อง "คอขาดบาดตาย"  คือถ้าเลี้ยงไม่ดีเนี่ย เค้าเอาเราตายได้อย่างนี้แหละ

ผู้ดำเนินรายการ:  ขอบคุณมากๆเลยนะคะที่ให้ข้อคิดในเรื่องนี้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะคุณดังตฤณ

คุณดังตฤณ : ครับ สวัสดีครับคุณธีรนุช สวัสดีครับทุกท่าน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น