ถาม - ผมทำการค้า หลายครั้งบอกความจริงกับลูกค้า แต่บอกไม่หมด เหมือนบิดเบือนข้อมูลไป ถือว่าเป็นการผิดศีลเรื่องการพูดปดหรือไม่ครับ? (ดังตฤณ)
> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๓
ดังตฤณ:
ถ้าเจตนา
เราต้องการกล่อมคนฟังให้ถึงขั้นเข้าใจผิดจากความจริง
ก็เรียกว่าเป็นการมุสาทั้งนั้นครับ จะด้วยวิธีบอกทั้งหมดหรือบางส่วน
หรือกระทั่งใช้ภาษากายเป็นอุบายล่อตาก็ตาม
เจตนาทำให้คนดูหรือคนฟังสำคัญผิดจากความจริงอย่างสิ้นเชิงนั่นเอง
คือมุสาวาทเต็มขั้น
กล่าว กว้างๆอย่างนี้ ความจริงในภาคปฏิบัติต้องดูเป็นเรื่องๆด้วยครับ
บางทีคุณไม่ได้พูดโกหกแม้แต่คำเดียว ทว่าเจตนานั้นฉ้อฉล ทำให้คนฟังหลงกล
กลับความเข้าใจจากดำเป็นขาว จากขาวเป็นดำ อย่างนี้ก็เข้าข่ายมุสาวาท
ตรงข้าม แม้คุณไม่พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
เช่นพ่อสอนลูกด้วยการอุปมาอุปไมยหรือยกนิทานมาเล่าเป็นการสาธก
แต่ลูกเกิดความเข้าอกเข้าใจสัจจธรรมอย่างถูกต้อง
อย่างนี้ก็ไม่ถือว่าเข้าข่ายมุสาวาท
ในหลาย กรณี ถ้าเราพูดความจริงตามหน้าที่
โดยคิดว่าหน้าที่ของเราให้ข้อมูลเขาได้แค่นี้ ก็ถือว่ารอดตัว
ยกตัวอย่างเช่นทีมแพทย์ตกลงกันว่าจะบอกญาติคนไข้ว่าผลการผ่าตัดมีโอกาส
สำเร็จต่ำ ทั้งที่นึกๆอยู่ในใจว่าไม่มีทางสำเร็จเลย
อย่างนี้ก็ไม่นับเป็นการโกหก เพราะผลยังไม่ปรากฏชัดเจนแน่นอน
เป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่มีใครรู้จริง
สำหรับพวก ที่ต้องติดต่อค้าขายอาจเลี่ยงยาก
เพราะไม่ใช่แค่ให้ข้อมูลด้านเดียว
แต่มักต้องให้ข้อมูลด้านอื่นที่ผู้บริหารสั่งมาด้วย
เริ่มต้นอาจเป็นกตัตตากรรม คือคุณจำใจโกหกตามคำสั่งโดยไม่ยินดี
แต่พอทำบ่อยๆจนชิน กลายเป็นความเต็มใจ ในที่สุดก็เป็นกรรมของคุณเองได้
พูดง่ายๆคือใจหมดความรู้สึกผิดเมื่อใด ตรงนั้นคือมุสาวาทเต็มขั้นแล้ว
บางทีอยู่ ในโลกก็หลีกเลี่ยงบาปกรรมยากครับ
คุณต้องรักษาศีลสะอาดผ่องแผ้วพอจะไปเกิดในสังคมอารยะที่ไม่มีการโกหกเลย
เอาเป็นว่าถ้าจำเป็นต้องโกหกก็ขอให้รักษา 'ความไม่ยินดี' ไว้
บอกตัวเองว่าเราไม่อยากอยู่ในวงจรแห่งการมุสาเลย วันนี้เราทำเขา
วันหน้าก็ต้องโดนเขาทำบ้าง
เมื่อใดคุณขาแข็งพอจะปลีกตัวออกมาจากวงจรเดิมๆเสียได้ก็อย่าช้าแล้วกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น