วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2561

ซีอุสมีจริงไหม? / แฟนเพจจิตจักรพรรดิ


ดังตฤณ:     
หลังจาก "จิตจักรพรรดิ" เล่ม ๒ วางแผงได้ไม่กี่สัปดาห์
ถึงบัดนี้ผมได้รับคำถามอยู่ทุกวัน
ว่าเมื่อไหร่จะได้ฤกษ์เล่ม ๓ วางแผงตามมาเสียที
ผมจึงตัดสินใจจัดทำแฟนเพจจิตจักรพรรดิ
http://www.facebook.com/EmperorMind
เพื่อให้ทุกท่านสะดวกในการติดตามความเคลื่อนไหว
ตลอดจนส่งคำถามคาใจต่างๆไปที่นั่นได้โดยตรง
และอีกประการที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
ผมจะได้โฟกัสอย่างมีสมาธิไปที่เดียวด้วยครับ

นับเป็นครั้งแรกที่จะมีแหล่งเสวนา
เกี่ยวกับงานเขียนของผมแบบจำเพาะเจาะจง
จริงๆแล้วนอกจากเหตุผลข้างต้นดังที่กล่าวมา
ผมยังพอคาดหมายได้ว่าหลังอ่านเล่ม ๓ จบ
อารมณ์ของหลายท่านน่าจะยังไม่จบ
ยังอยากถามหาข้อเท็จจริงทั้งทางโลกและทางธรรมกันต่อ
ซึ่งผมถือว่าเป็นไปตามเป้า
ตราบเท่าที่ทิศทางของการสนทนา
มุ่งไปในทางการทำความเข้าใจ
เกี่ยวกับกรรมวิบากและทางพ้นทุกข์ในพุทธศาสนา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะได้เป็นแหล่งแสดงการยินดีต้อนรับ
กับกลุ่มท่านผู้อ่านใหม่ๆที่เริ่มหันมาสนใจทางนี้

กรอบในการเสวนากันในแฟนเพจนั้น
มุ่งเอาความสนใจจำแนกตามคำถามที่ผมได้รับมาตลอด
ขอยกมาทั้งคำถามและคำตอบเป็นตัวอย่าง ดังนี้

๑) ข้อเท็จจริงในนิยาย

ที่ถามถึงกันมากที่สุดคงได้แก่ซีอุส
ปัจจุบันนี้มีครับ โปรแกรมที่อาศัยตัวแปรหลัก ๓ ตัว
คือรหัสบุคคล ตำแหน่งพิกัดโลกที่ทำมุมกับดวงดาว
ตลอดจนวันเดือนปีที่อยู่ในความสนใจ
เมื่อเอามาสัมพันธ์กันแล้ว
จะทำนายได้ละเอียดว่าเดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้น
เช่น ถ้าคุณไปอยู่ที่จันทบุรีวันนี้
แนวโน้มจะทำเงินหรือเสียเงิน ได้เพื่อนหรือเสียเพื่อน เป็นต้น

แต่ยังไม่มี และน่าจะไม่มีแบบซีอุส
ที่รวมรายละเอียดบุคคลเป็นเป็นฐานข้อมูล
แล้วเอามาใช้สืบค้นความสัมพันธ์ได้ตามต้องการ
เพราะทั้งการรวบรวมฤกษ์เกิดของบุคคลเป็นพันล้าน
และทั้งการเขียนเสิร์ชเอ็นจินที่สืบค้นความสัมพันธ์
ล้วนแล้วแต่เป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ
อีกอย่าง ขืนใครสร้างซีอุสขึ้นมาสำเร็จ
คนนั้นก็คงได้ครองโลกจริงๆครับ
เพราะไม่ได้รู้แค่เรื่องคน แต่รู้เรื่องเหตุการณ์สำคัญๆ
เช่น ลงทุนในธุรกิจแบบนี้ เวลานี้ ออฟฟิศใหญ่อยู่ตรงนี้
ให้ซีอีโอเป็นคนนี้ จะได้กำไรหรือขาดทุนในเวลาเท่าใด
วันนี้ตลาดหุ้นจะปิดบวกหรือปิดลบ
หุ้นตัวไหนจะเด่น หุ้นตัวไหนจะร่วง ฯลฯ

เล่ม ๓ จะกล่าวถึงแนวคิดอันเป็นรากฐานของซีอุส
คือถ้ารู้ว่าในจักรวาลนี้ มีอะไรเป็นตัวแปรปฐม
เราก็ใช้ตัวแปรนั้นเป็นศูนย์กลาง
ไปสู่การทำความเข้าใจตัวแปรอื่นๆได้

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ทราบว่าก่อนเกิดจักรวาลที่เราเห็น
(คือก่อนที่จะมีกาลเวลา อวกาศ และกาแลกซีทั้งหลาย)
มีกฎของแรงโน้มถ่วงอยู่ก่อนหน้า
ซึ่งเป็นเหตุผลทางรูปธรรมว่าทำไมสรรพสิ่งจึงเกิดขึ้นเอง
โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้สร้าง
(ลองอ่านหนังสือเล่มล่าสุดของสตีเฟน ฮอว์คิง
ชื่อว่า The Grand Design)

กฎแห่งแรงโน้มถ่วงมาจากไหน?
ถ้าเอาแต่มองออกข้างนอก ก็จะไม่มีวันได้คำตอบสุดท้าย
แต่ถ้ามองจากมุมของพุทธศาสนา
เห็นว่าเป็นแรงดึงดูดสังสารวัฏ
ที่ไม่ได้ดึงดูดเฉพาะวัตถุเข้าหากัน
แต่ยังดึงดูดจิตให้ติดกันเป็นกลุ่มก้อน
เพื่อผลักออกแล้ววิ่งกลับมาเข้าหากันใหม่
ตามจังหวะเหตุปัจจัยที่ถูกกระทำโดยกรรมและวิบาก
และเมื่อเข้าใจความสัมพันธ์ของตัวแปรทั้งหลาย
ก็หาทิศทางคำนวณให้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า
ได้อย่างแม่นยำแบบที่ซีอุสทำ

การสมมุติแบบนี้เป็นไปตามหลัก
ที่นักประพันธ์นวนิยายวิทยาศาสตร์ใช้กัน
คือมีมูลความจริงพื้นฐานประกอบกับข้อสันนิษฐาน
อันเป็นมุมมองส่วนตัวของผู้ประพันธ์ประกอบเข้าไป
โดยอาจจะยังไม่มีข้อพิสูจน์ใดๆชัดเจน
คือไม่เน้นถูกเน้นผิดเป็นสำคัญ
แต่มุ่งให้เกิดแรงบันดาลใจ
เร่งเร้าให้คนอ่านคุยกัน หรือนำไปสู่การพิสูจน์
ซึ่งกรณีนี้ ถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล
กล่าวคือถ้าวิทยาศาสตร์ตอบสนองไม่ได้
ก็ต้องใช้วิธีการทางศาสนาเข้าช่วย
นั่นคือ รู้เอง เห็นเอง
ด้วยจิตที่เป็นพุทธิปัญญาของแต่ละคน

๒) ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรรมวิบาก

ถ้ามีคำถามทำนอง "เป็นอย่างนั้นจริงเหรอ?"
หรือ "น่าจะเป็นอย่างนี้มากกว่ามั้ง?"
ขอได้โปรดเข้าใจว่า
ผมเขียนเท่าที่ผมเห็นด้วยทัศนะเฉพาะตน
โดยอาศัยความรู้เกี่ยวกับกรรมวิบาก
ที่ได้มาจากพระไตรปิฎกเป็นฐาน
ส่วนตัวอย่างเหตุการณ์ร่วมสมัย
ก็จำเป็นต้องเสริมจินตนาการปรุงแต่ง
ยกบุคคลสมมุติมาเป็นตัวสร้างจินตนาการ

ยิ่งตัวละครดึงคุณไปมีอารมณ์ร่วมได้มากเท่าไร
"ผลทางอารมณ์" ของคุณ
ที่สะท้อนตามกรรมของตัวละคร ก็จะชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
เล่ม ๓ จะมีบางจุดที่ชัดมากๆจนน่าจะก่อให้เกิดความเข้าใจ
ว่าสภาพจิตใหญ่แบบหนึ่ง
ก็เกิดขึ้นมาจากกรรมอันใหญ่ยิ่งแบบที่ไม่มีใครคาดได้ถึง
ขณะที่จิตใหญ่ ก็อาจย่อยยับลงได้ด้วยความหลงผิด
ดำดิ่งสู่หลุมดำของความคิดอกุศลได้
ไม่มีภาวะอย่างใดอย่างหนึ่งที่แน่นอน
ระหว่างกุศลกับอกุศล แต่ละภาวะอาจเป็นแรงขับ
ให้เกิดภาวะขั้วตรงข้ามได้เสมอ

๓) ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธรรมปฏิบัติ

เกี่ยวกับธรรมปฏิบัติที่แทรกอยู่ในเรื่อง
จนถึงเล่มสองเห็นจะไม่มีอะไรเกินการทำกสิณ
หลายคนถามว่าทำได้จริงหรือไม่
แล้วจะกลายเป็นผู้หยั่งรู้ดินฟ้าได้หรือเปล่า

ในศาสนาพุทธนั้น มีการสอนทำกสิณไว้ด้วย
ซึ่งกสิณแบบพุทธจะมีจุดประสงค์ ๒ ประการ
จุดประสงค์แรก เป็นไปเพื่อให้เห็นขณะเกิดกสิณแจ่มชัด
ด้วยมุมมองว่านั่นเป็นเพียงธรรมชาติการปรุงแต่งจิต
จิตเป็นเพียงสภาวะหนึ่งที่ถูกปรุงแต่งชั่วคราว
แล้วแต่เจตนาจะกำหนดให้เป็นไป
เช่นสร้างภาพที่ไม่มีอยู่ ให้ดูเหมือนมีอยู่ในจิต
แต่ภาวะตั้งมั่นรู้เห็นภาพที่ตนสร้างสรรค์ขึ้นมานั้น
ไม่นานก็ต้องแปรไป
ไม่อาจคงสภาพอยู่ได้ ผู้เข้าถึงกสิณจึงเห็นแจ้ง
ว่าสิ่งที่จิตเห็น รวมทั้งภาวะของจิตเอง
ไม่ใช่ตัวตน เป็นภาวะธรรมชาติที่ต้องสลายตัวเป็นธรรมดา

อีกจุดประสงค์คือผู้เข้ากสิณได้
จะมีจิตที่ตั้งมั่น น้อมรู้ทุกสิ่งที่ควรรู้ในขอบเขตกายใจได้ดี
เช่น เมื่อจิตสว่างแจ้ง เห็นภายในกายได้เหมือนเครื่องเอ็กซเรย์
ก็อาจน้อมไปส่องดูภายในกายว่าเป็นโพรง
แออัดด้วยตับไตไส้พุง เต็มไปด้วยของสกปรกไม่น่าใคร่
และโดยความเป็นนิมิตนั้นย่อมสะท้อนธรรมชาติทางกาย
จำลองความเน่าเปื่อยผุพังให้ดูกันจะจะ
ให้ผลเป็นความรู้สึกแหนงหน่ายคลายความยินดี
แม้ลืมตาตื่นเป็นปกติ รู้อิริยาบถปัจจุบันอยู่อย่างนี้
ก็ไม่หลงนึกไปว่ากายเป็นของเที่ยง กายนี้จะอยู่ตลอดไป

ครูบาอาจารย์ร่วมสมัยบางท่าน
แนะให้ทำกสิณขาว
เพราะเป็นเหตุใกล้ให้เห็นกาย
โดยความเป็นโครงกระดูกฉาบเนื้อได้ง่าย
บนอินเตอร์เน็ตก็มีประสบการณ์ตรงของผู้ปฏิบัติได้
เล่าๆกันไว้ให้ฟังอยู่ไม่น้อย ถ้าสนใจก็ลองหาๆดู
ในส่วนของผมเคยเขียนไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร
ใช้คีย์เวิร์ดในการสืบค้นจากกูเกิ้ลแล้วเจอทันที คือ
-- การฝึกโอทาตกสิณ dungtrin.com --
คุณจะได้ทราบทั้งแนวคิดพื้นฐาน
และวิธีการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ทั้งการฝึกกสิณ และการเอาไปใช้ต่อยอดแบบพุทธ

ขอบอกไว้ล่วงหน้าว่าสำหรับกสิณนั้น
ร้อยคนมีไม่ถึงหนึ่งที่ฝึกได้
อย่างใน "จิตจักรพรรดิ" ผมก็เคยให้ไว้เป็นเค้า
คือ เดิมมะแมเป็นคนคิดมาก
กว่าจะทำกสิณได้ก็ต้องเพียรต่อเนื่องหลายปี
ต่างจากน้องอิ๊กที่ขึ้นต้นมาไม่ทันไรก็ฝึกสำเร็จ
นั่นก็เพราะปัจจัยเก่าจากอดีตชาติเป็นฐาน
แล้วก็ยังอยู่ในวัยเด็ก ไม่มีคลื่นรบกวนมากนัก

ที่ผมนำกสิณมาเป็นองค์ประกอบเด่นในสองเล่มแรก
ก็เพราะเหมาะกับอาชีพของมะแม
ขอให้ทราบว่าอาชีพแบบมะแมไม่จำเป็นต้องมาทางพุทธ
และปัจจุบันซีกโลกตะวันตกก็มีบุคคลที่เรียกกันว่า psychic
ทำอะไรคล้ายมะแมกันมาก โดยไม่ได้เป็นพุทธ

สรุปคือกสิณนั้น คือการฝึกจิตที่เป็นเอกเทศ
ไม่ขึ้นอยู่กับศาสนาไหน
ไม่จำกัดว่าจะนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์ใด
สิ่งที่สำคัญกว่ากสิณ จึงตัวความเห็นถูกหรือเห็นผิด
การเป็นสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ คือเครื่องชี้ที่แท้
ว่าฝึกกสิณสำเร็จแล้วจะเป็นคุณหรือเป็นโทษเพียงใด
นำไปสู่จุดหมายสูงสุดทางศาสนา
หรือเพื่อความเห็นแก่ตัวเฉพาะตน

ขอยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม
กสิณยกระดับการรับรู้ของผู้ฝึกให้เหนือคนธรรมดา
แต่องค์ประกอบของญาณหยั่งรู้
มีอะไรมากกว่าความสามารถในการเห็นนิมิตชัด
บางคนเห็นรูปพระพุทธเจ้าชัด
ก็หลงสำคัญผิด เข้าใจว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์จริงเสด็จมาหา
เกิดลัทธิความเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นเพียงเทพยดาองค์หนึ่ง
อยู่บนสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง เป็นต้น

หากอ่านเล่ม ๓ จบแล้วเกิดแรงบันดาลใจอยากปฏิบัติธรรม
ก็ขอแนะนำให้เริ่มจากอานาปานสติสูตร
หรือแปลเป็นภาษาชาวบ้านง่ายๆ
ว่าการฝึกสติรู้อาการแห่งลมหายใจ
ว่าเข้าหรือออก ยาวหรือสั้น สบายหรืออึดอัด
รู้ไปเรื่อยๆโดยอาการอย่างนี้จะปลอดภัย
รับประกันได้ดีที่สุดว่าเห็นปัจจุบันอยู่จริงๆ
ไม่มีการนึกคิดจินตนาการเอาเอง
อานาปานสติสูตรเป็นการฝึกจิต
ที่พระพุทธเจ้าคะยั้นคะยอให้ทำกันทุกคน
แต่ปัจจุบันมีหลายคนจดจำไว้ว่ายากเกินไป
หรือมีข้อเสีย ข้อไม่ดีต่างๆนานา
นั่นเพราะไม่ได้วางรากฐานการฝึกตามพระพุทธเจ้า
แต่สร้างแนวคิดในการฝึกกันขึ้นมาเองหลังยุคพุทธกาล

เล่ม ๓ ของ "จิตจักรพรรดิ" นั้น
ผมแทรกแนวปฏิบัติแบบอานาปานสติไว้หน่อยหนึ่ง
ไม่ละเอียดนัก เพื่อไม่ให้ฉีกจากความเป็นนิยายอ่านเล่น
แต่ก็น่าจะปูพื้นให้ลองทำตามได้ทันทีแบบง่ายๆ

๔) ข้อเท็จจริงปลีกย่อยอื่นๆ

"จิตจักรพรรดิ" ก็เหมือนนิยายอื่นๆ
คือเต็มไปด้วยสารพัดข้อมูลรายละเอียดประกอบเรื่อง
ถ้าคุณๆต้องการแสดงความเห็นเสริมเติม
หรือทักท้วงว่าตรงไหนผิดพลาด ก็ขอเชิญได้ครับ
ถ้ามีโอกาสผมจะแก้ไขในตอนรวมเล่มหรือตีพิมพ์ครั้งใหม่

นอกจากนั้น ถ้าใครอยากคุยเล่นเกี่ยวกับตัวละครต่างๆ
ได้อย่างใจหรือไม่ได้อย่างใจแค่ไหน
ก็ระบายความอัดอั้นได้ที่นี่เช่นกัน

ที่แฟนเพจนี้ ขออนุญาตไม่รับคำถามเป็นส่วนตัวนะครับ
เพื่อให้แน่ใจว่ามีเวลาเหลือสำหรับงานเขียน
ที่ได้ทำสัญญาประชาคมไว้
และขอถือโอกาสกราบงามๆขออภัย
สำหรับข้อความส่วนตัวตกค้างทั้งในทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ค
ที่ผมตอบไม่ไหวจริงๆ

โดยรวมแล้ว ถามว่าคนยังไม่อ่าน "จิตจักรพรรดิ"
ควรเข้าไปมีส่วนร่วมในแฟนเพจจิตจักรพรรดิหรือไม่
คำตอบคือถ้าคุณไม่คิดจะอ่านนวนิยายเรื่องนี้
ก็เข้าร่วมได้เลยโดยไม่มีเงื่อนไขอื่นใด
มากกว่าไปเอาประเด็นที่ตัวเองสนใจ
ตามข้อต่างๆที่ยกมาแล้ว
แต่ถ้าหวังจะอ่านให้สนุก ก็ยังไม่ควรเข้าไปจนกว่าจะอ่านจบ
เพราะที่นั่นคงมีการตีไข่ใส่สีกันใช้ได้เลย
แค่ชื่อกระทู้ก็อาจเป็นตัวเฉลยความลับเล่ม ๓ แล้ว

สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านทั้งเล่ม ๑ และเล่ม ๒
วันนี้คุณสามารถเข้าไปดาวน์โหลดมาได้แล้ว
ในรูปแบบของไฟล์ PDF
ซึ่งถ้าใช้ eBook Reader เช่น Kindle หรือ iPad
ก็อาจอ่านสะดวกยิ่งกว่าหนังสือจริงเสียอีก

เล่ม ๑ http://dungtrin.com/EmperorMind/Vol1.pdf
เล่ม ๒ http://dungtrin.com/EmperorMind/Vol2.pdf

(หมายเหตุ - ลิงก์ของเล่ม ๑ แก้ไขจากเดิม
เพราะผมเพิ่งเห็นว่าสะกดคำว่า Emperor ผิดเดี๋ยวนี้เอง
ขออภัยสำหรับความผิดพลาดทางภาษา
สำหรับใครที่ทำลิงก์มาที่นี่ก็ขอความกรุณาแก้ไขด้วยครับ
แต่ถึงใช้ลิงก์เดิมก็ redirect มาที่ใหม่ให้อยู่ดี)

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่าน
ผู้มีส่วนร่วมในการทายตอนจบด้วยนะครับ
ทีมงานเสนอให้ลองทายตอนจบกัน
เพราะเห็นว่าแต่ละวันมีการทายหรือคาดเดากันเยอะ
ถ้านำมาคุยเฟื่องเสียเลยน่าจะเหมาะ
ใครทายถูกทั้งหมดหรือถูกเพียงบางส่วน
ก็จะมีรางวัลพร้อมลายเซ็นจากผมให้ด้วย
เป็นการสร้างบรรยากาศมีส่วนร่วม
ใน "จิตจักรพรรดิ" ไปด้วยกันครับ

ดังตฤณ
พฤศจิกายน ๕๓