ถาม : เพิ่งเสียลูกไป
คิดว่าการนั่งสมาธิจะช่วยส่งลูกไปได้
รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/i2LhvRoV8pM
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๕
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๖ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก/ กลุ่มคำถามที่ ๓/คำถามที่ ๗
ดังตฤณ:
ก็มีส่วน
เพราะว่าตอนเค้าอยู่ในท้องเรา ๙ เดือนเนี่ยนะ จิตวิญญาณมันผูกพันกันโดยไม่รู้ตัว
การที่เรามีความสุข หรือว่าการที่เรามีความคิดแบบใดๆก็แล้วแต่ระหว่างที่ตั้งท้อง
มันส่งผลสะเทือนไปถึงจิตวิญญาณของเค้า มันก็เลยเกิดเป็นความผูกพัน
เช่นกัน
คือเมื่อเค้าไปแล้ว เค้าไปจากสภาพที่จะจับต้องได้
ที่จะมาติดต่อพูดคุยกันได้ ก็เหลืออยู่แต่ความผูกพันที่มันเป็นสายใย
ที่เราเคยเลี้ยงเค้ามาด้วยร่างกายของเราเอง
ถาม : ไม่รู้จะเริ่มต้นนั่งสมาธิอย่างไรให้ส่งผลบุญถึงลูกที่เสียไปตั้งแต่ยังไม่เกิดมาได้
คือพอเราทำตามที่ผมไกด์(Guide)ไปเนี่ยนะ มันเหมือนคอยคิดถึงลูก
จิตไม่ได้อยู่กับสมาธิจริงๆ
ตัวนี้เป็นอันดับแรกเลยที่เราต้องทำความเข้าใจ ถึงแม้ว่าเราจะมีเจตนาในการทำสมาธิอย่างไรก็แล้วแต่
ถ้าหากว่าใจมันไม่อยู่ในภาวะที่เป็นปัจจุบัน ไม่มีทางสงบ ไม่มีทางตั้งมั่น
ไม่มีทางเกิดคุณภาพของสมาธิขึ้นมาได้
ฉะนั้นอันดับแรกเลยก็คือ
เมื่อนั่งสมาธิเราต้องบอกกับตัวเองว่า ทันใดที่เราจะเกิดความประหวัดคิดไปถึงสิ่งอื่นภายนอกตัว
เราต้องรู้ตัวให้ทันในทันที รู้ว่าใจคิดไปถึงลูกแล้ว พอรู้สึกว่าใจคิดไปถึงลูก
มันจะเห็นเป็นภาพทางใจนะ
ภาพทางใจก็คือรู้สึกมีความหม่นๆ มีความรู้สึกปรารถนาให้เค้าได้อะไรดีๆ
และเป็นความปรารถนาในแบบที่ว่าอยากให้เค้ามีความสุขด้วยความทุกข์ของเรา เข้าใจไหม...
คืออยากให้เค้ามีความสุขแต่ใจเราเป็นทุกข์
พอเราเห็นภาพทางใจอย่างนี้ จะได้เกิดสิ่งที่เรียกว่ามุมมองที่ถูกต้อง
ที่เป็นสัมมาทิฐิ ถ้าเราอยากจะให้เค้ามีความสุขโดยฝีมือของเรา
ใจเราต้องเป็นสุขให้ได้ก่อน
ถ้าใจเราไม่มีความสุข ถ้าใจเราไม่มีความสว่าง ถ้าไม่มีความเปิดกว้าง
เราส่งอะไรไปเค้าก็ได้แบบนั้นแหละ
จิตของเราเวลาที่เศร้ามันจะมีอาการปิดแคบ
เรานึกถึงลูก
ลูกก็ได้ความรู้สึกปิดๆแคบๆ
เรามีอาการยึดมั่นถือมั่น เศร้าโศกอาลัย
เวลาเราส่งไป
มันก็คือความเศร้าโศกอาลัย มันไม่ใช่ความสุข มันไม่ใช่บุญ
เรามองเข้ามา เออตอนนี้ฝ่าเท้าผ่อนคลายนะ ฝ่ามือผ่อนคลายนะ ทั่วทั้งใบหน้านี่สบาย
รู้สึกว่ามีความสุขจังเลย มีความสุขกับร่างกายตัวเองก่อน
แล้วเห็นว่าในความสุขของร่างกายที่ผ่อนพักเนี่ย มีลมหายใจเข้า มีลมหายใจออกอยู่
งั้นใจเราไม่ไปไหน เรามีความสดชื่นอยู่กับความเป็นลมหายใจที่มันเข้าที่มันออกนี่
เราก็เกิดความรู้สึกว่าเออ..ใจเรานี่ยิ่งสะอาดขึ้นทุกที เมื่อเห็นว่าลมหายใจมันไม่ใช่ตัวตนนะ
มันเป็นแค่ธาตุลม เดี๋ยวผ่านเข้าเดี๋ยวผ่านออก เดี๋ยวมันก็ยาวเดี๋ยวมันก็สั้น
เลิกยึดมั่นถือมั่นแบบผิดๆ ว่านี่เป็นตัวของเรา ลมหายใจเป็นของเรา จิตที่มันสว่างขึ้นในขณะนั้นคือการฟ้องว่าบุญมันถึงจุดที่สูงสุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้
บุญเนี่ยนะ ทำความเข้าใจใหม่ว่ามีอยู่
๓ อย่าง
บุญอันเกิดจากการทำทาน ทำทานกับคนยากจน หรือว่าไปทำสังฆทานที่วัดก็แล้วแต่
บุญอันเกิดจากการรักษาศีล คือรักษาใจให้สะอาด ปราศจากเวร ปราศจากการเบียดเบียน
และ
บุญที่สูงที่สุดในทางพระพุทธศาสนาคือ
บุญที่สูงที่สุดที่พระพุทธศาสนาชี้ไว้ว่ามีตามธรรมชาติ ก็คือ
บุญอันเกิดจากการสละ
ละอุปาทานออกไป ด้วยการภาวนา
การภาวนาคืออะไร
คือการเห็นตามจริงอย่างนี้แหละ ว่าลมหายใจมันไม่ใช่ของเรา ความสุข ความทุกข์
ความอึดอัด ความสบาย ที่มันปรากฏในแต่ละลมหายใจเนี่ย
มันเกิดขึ้นแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ความรู้สึกมีตัวตนที่ครอบงำจิตใจอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดจนตายเนี่ย
ก็หายไปจากใจเราชั่วขณะหนึ่ง ชั่วขณะนั้นที่เกิดบุญขั้นสูงสุด
เวลาที่เรานึกปรารถนาจะให้บุญที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น ได้กับใคร มันจะได้จริง
จะถึงจริง คือจะมีพลังสะเทือนที่มากพอ บุญเนี่ยเป็นพลังชนิดหนึ่งเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่
เป็นนามธรรม มันไม่ถูกบรรจุไว้ในรูปทรงแบบใดแบบหนึ่ง แล้วก็ไม่มีอะไรไปขวางกั้นมันได้
ถ้าหากว่าเราทำให้มันปรากฏขึ้นมาในเราได้แล้วเนี่ย เราจะปรารถนาส่งไปถึงใคร
จะส่งได้ข้ามภพข้ามภูมิ ไม่จำกัด
พอยท์(Point)
ก็คือว่าทำยังไง เราถึงจะไปถึงตรงนั้นได้
อันดับ ๑ ท่องไว้อีกทีคือ
พอเริ่มนั่งสำรวจเท้า มือ และใบหน้า
อันดับ ๒
คือดูว่าจิตใจเรามีความกระวนกระวายเรื่องลูกหรือเปล่า พอรู้สึกว่าคิดถึงลูกอยู่
ยอมรับตามจริงว่ามีอาการแบบไหน จิตมันหดๆ จิตมันมีอาการเศร้าๆ
มีอาการเหมือนกับคิดถึงอาลัยอาวรณ์ อะไรต่างๆ เราเห็นด้วยอาการยอมรับตามจริงว่ามีลักษณะอย่างไร
พอเห็นแล้วมันจะคลายออกไปให้ดู
เราก็จะได้รู้ว่าภาวะนั้นไม่แตกต่างกับลมหายใจที่เข้ามาแล้วก็ต้องออกไปเป็นธรรมดา
แต่ไม่งั้นเราจะมีแต่อาการยึดอยู่ว่าความโศกเศร้าคือของจริง คือตัวเรา
คือสิ่งที่จะต้องติดตัวเราไปจนตาย
เคยรู้สึกไหมว่ามันไม่มีทางหายเศร้าได้หรอก
แต่ถ้าหากเรามานั่งดูทีละลมหายใจ เราจะรู้ได้เดี๋ยวนี้เลย
ว่าแม้กระทั่งความเศร้าก็แสดงความไม่เที่ยงให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลาทุกลมหายใจ
แต่ตอนที่เศร้าแบบเค้นจิตเค้นใจเรามากเนี่ย เราจะรู้สึกว่าไม่มีทางหาย เราจะจำความเศร้าแบบนี้ไปจนตาย
นี่คือความเข้าใจผิด
แล้วการที่พระพุทธเจ้าให้ฝึกอานาปานสติก็เพื่อจะถอดถอนความเข้าใจผิดแบบนี้แหละ
ไม่ว่าเราจะสุขหรือเศร้าจะชอบคิด เวลามีความสุขเนี่ย
ก็อยากมีความสุขแบบนี้ไปจนตาย และความสุขแบบนี้คงไม่เปลี่ยนแล้ว
แต่เวลามีความเศร้ามันก็ย้อนกลับไปในทางตรงข้าม ที่นี้พอเรามาดูทีละลมหายใจ
เออ สุขแต่ละลมหายใจมันเท่ากันไหม เวลาคิดถึงลูกขึ้นมา
บางทีเวลาเราสวดมนต์ ทำสมาธิไปบางทีมีความสุขไง
แต่พอคิดถึงลูกปุ๊บคล้ายๆโดนจู่โจม คล้ายๆมีอะไรกัด แบบงับเข้ามา แล้วก็รู้สึกเสียใจอย่างรุนแรงทันที
ถ้าเราไม่ปล่อยสติให้หลงไปตามความเศร้า
แต่มีสติรู้ทัน
ว่าภาวะหนึ่งเปลี่ยนไปเป็นอีกภาวะหนึ่ง
จากภาวะสุขอยู่ดีๆ มีความสบายอกสบายใจอยู่กับการภาวนาดีๆ
นึกถึงลูกปุ๊บเหมือนมีอะไรมากัดที่ตรงนี้ทันที เห็นเป็นภาพทางใจ
รู้สึกว่า
เออ..มันมีอะไรให้ดู
ดูความไม่เที่ยง ดูความเป็นของเปรียบเทียบระหว่างสว่างกับมืด
ระหว่าง
ปล่อยสบายกับโดนกัดกิน ภาวะตรงข้ามที่มันแสดงตัวอยู่ชัดๆ
โดยเฉพาะในช่วงที่เรากำลังรู้สึกถึงการสูญเสียอย่างนี้เนี่ยมันมักจะสวิง (Swing)
เวลามีใครมาปลอบใจ เออ..โล่งใจได้นิดหนึ่ง
แล้วเสร็จแล้วก็กลับไปเศร้าอีก
แล้วเราจะไปเชื่อว่าความเศร้านั้นคือของจริง
ส่วนความสุขคือของปลอม เพราะความสุขมันแป๊บเดียว
ความเศร้ามันนานกว่า แต่ถ้าเราเปรียบเทียบทันทีที่มันกำลังปรากฏความแตกต่างกัน
อุปาทานตรงนั้นจะหายไป จะกลายเป็นการเห็นความจริงว่า
สุขก็ไม่เที่ยง ทุกข์ก็ไม่เที่ยง
เข้าใจพอยท์(Point)นะ และตรงนี้แหละที่เป็นบุญสูงสุดที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้จริงๆ