ถาม : รู้สึกตัวเองมีปัญหาทางด้านจิตใจ เป็นคนที่มองคนอื่นว่าแย่หรือด้อยกว่าเรา
และที่ผ่านมา เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น เราก็จะทำดี เพื่อให้เค้าชอบเรา
แต่ในใจลึกๆเรารู้สึกว่าเราเหยียดหยามเขา มองเห็นแต่ข้อเสียของคนอื่นไปหมดเลย
เลยรู้สึกว่าเราไม่จริงใจกับใครเลย เราเสแสร้งกับคนอื่นตลอดเวลา
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
ที่ณัฐชญาคลินิก ๙ ต.ค. ๒๕๕๖
ดังตฤณ:
จิตใจนุ่มนวลลงเยอะแล้ว
มันเข้าใจธรรมะ เข้าใจอะไรเยอะ เพียงแต่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น มันเป็นแค่ความเคยชินเก่าๆ
แต่จิตของเราจริงๆมันแยกออกมา รู้สึกถึงอาการหันหลังกลับไหม? เวลาที่เราอยู่กับตัวเอง แล้วเห็นว่าความคิดของเรามันไม่จริง
ใจเนี่ยมันเหมือนหันหลังกลับ มันไม่ไปทางเดียวกันกับความคิดแบบเดิม
แบบเดิมเราดูถูกคน เราจะรู้สึกเหมือนมีอาการเสแสร้ง เหมือนมีอาการใจที่มันยุ่งๆอยู่
มันเหมือนคนเถียงกับตัวเองอยู่ แต่ใจของเราที่มันเริ่มสว่าง เริ่มอยู่ในโหมดธรรมะเนี่ย
มันคล้ายๆจะไม่เอา เหมือนหันหน้าหนี ถ้ามองเป็นภาพทางใจนะ คืออันนี้จะได้พูดกันง่ายว่าอาการทางใจของเรามันเป็นอย่างไรอยู่
อาการทางใจของเรามันเหมือนกับไม่เอากับตัวตนเดิม ทั้งๆที่ตัวตนเดิมมันยังทำงาน
มันยังแอคทีฟอยู่ แต่ใจของเรามันเริ่มจะแยกไปอีกทางหนึ่ง
ให้ดูลักษณะของใจเวลาที่เกิดความฟุ้งซ่าน
ในแบบที่ไม่กลมกลืนไปกับชาวโลกเค้า
..มันมีความรู้สึกยุ่งใจ
..มันมีความรู้สึกเหมือนกับกระวนกระวายใจ
..ไม่อยากเป็นพวกเดียวกันกับคนในโลก
คำว่าไม่อยากเป็นพวกเดียวกันกับคนในโลก
เหมือนเราเป็นเอเลี่ยน
เหมือนเราเป็นเอเลี่ยน
ผู้ถาม : ชอบคิดมาตั้งแต่เด็กๆ คิดว่าเราเกิดมาเป็นคนพิเศษ
เรารู้สึกว่าเราเป็นคนเดียวในโลกนี้
และคนอื่นเป็นแค่บทละครหรือเป็นอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่คนเหมือนเรา
ดังตฤณ:
ดังตฤณ:
ในช่วงนี้เรารู้สึกเหมือนเราเป็นคนธรรมดามากขึ้น
คือไม่ได้ตลอดเวลานะ แต่ขอให้สังเกต
คือเริ่มต้นขึ้นมา
อย่ามองว่าเราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มันดีขึ้นได้ยังไง
เพราะถ้ามองแบบนี้มันจะต้องหาอุบายซับซ้อน หรือไม่ก็ต้องหาหลักการทางจิตวิทยาว่า จะทำยังไง
วิธีคิดของเราถึงจะปรับเปลี่ยนไปในทางที่เป็นบวกมากขึ้น ซึ่งมันกินเวลา และก็ไม่มีอะไรเป็นประกันว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปได้จริงหรือเปล่า
เราก็พยามยามคิดอะไรมาตั้งเยอะแล้วใช่ไหม แต่มันก็ไม่หายไปไหน
ทีนี้ถ้าเอาวิธีการของพระพุทธเจ้า คือ
เราตั้งมุมมองไว้ก่อนที่จุดเริ่มต้นว่า
ความคิดฟุ้งซ่านหรืออาการปรุงแต่งทางใจ
มันไม่ใช่ตัวตน
มันเป็นสิ่งที่ถูกปรุงขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
แล้วเดี๋ยวมันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่ตัวตน
คือถ้าตั้งมุมมองไว้อย่างนี้ มันได้แก่นสาร คือ มันได้หลักการปฏิบัติที่ชัดเจน แต่ละครั้งที่น้องรู้สึกยุ่งๆ วุ่นวายขึ้นมา หรือรู้สึกแปลกแยกขึ้นมา ให้ดูว่าอาการแปลกแยก หรืออารมณ์ที่มันปั่นป่วนตรงนั้น มันเป็นแค่ภาวะปรุงแต่งชั่วขณะหนึ่ง
เนี่ย
อย่างพอเราคุยกันไปมากๆ น้องเกิดความรู้สึกว่า เออ ไอ้ที่มันยุ่งๆ มันเป็นแค่ภาวะหนึ่งที่มันหายไป
หายไปชั่วคราวนะ เนี่ยอย่างตอนนี้มันโล่งๆ มันรู้สึกว่าไม่มีความปรุงแต่งแบบเดิมๆอยู่
แค่เราสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างจิตที่มันถูกปรุงแต่งด้วยความฟุ้งซ่านยุ่งเหยิง
เป็นคนละพวกกับชาวโลก กับจิตที่มันสงบระงับแบบนี้ เราสังเกตความแตกต่างของมันได้ แค่นี้ คือหลักการปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับเราแล้ว
ไม่ต้องไปทำอะไร อย่างอื่นเพิ่มเติมเลย
พูดง่ายๆว่า
ต่อไปเราเจอผู้คน เมื่อเกิดความรู้สึกวุ่นๆขึ้นมา ของน้องจะรู้สึกเหมือนกับพายุที่ก่อตัวขึ้นมาในหัว
แล้วเรารู้สึกรำคาญมัน เรารู้สึกสับสน มันเหมือนกับเป็นตัวเราจริงๆ แต่อีกใจหนึ่งรู้สึกว่าไม่อยากเป็นตัวนั้น
อารมณ์แบบนี้พอมันเกิดขึ้น เราแค่ทำไว้ในใจว่า
นี่คือความปรุงแต่งทางใจที่เกิดขึ้นชั่วขณะลมหายใจนี้
พอเราได้หลักในการมองปุ๊บ
เราก็จะสังเกตต่อว่า ลมหายใจต่อมา
คลื่นความฟุ้งซ่านความปั่นป่วนตรงนี้เนี่ย
มันเบาบางลงไหม
ถ้ามันก่อตัวขึ้นหนาแน่นขึ้น..ช่างมัน
เราแค่มีหน้าที่รับรู้และยอมรับความจริง
ที่มันปรากฏอยู่ในหัวของเราเท่านั้น
ถ้าหากมองด้วยอาการเปรียบเทียบแบบนี้นะว่า
มันเบาบางลงในแต่ละลมหายใจ หรือว่า
มันมีความหนาแน่นขึ้นในแต่ละลมหายใจที่มันผ่านไป
มันจะเกิดความเคยชินใหม่ คือ
ไม่ต้องทะเลาะกับตัวเอง
ที่ผ่านมาเหมือนมีภาพทางใจ
เหมือนมีคนที่เกลียดตัวเอง แล้วก็ทะเลาะกับตัวเอง
ผู้ถาม : ใช่ มันชอบด่าคนอื่นในใจ ด่าพระ
ดังตฤณ:
คือแม้กระทั่งด่าพระ ฟังดีๆนะ
เป็นอารมณ์ของอนัตตาที่ดีเลยนะ พี่ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องดีที่มีความคิดด่าพระขึ้นมา
แต่ว่ามันเป็นตัวอย่างที่ดีที่อนัตตาโชว์ตัวออกมาอย่างชัดเจน
เพราะใจจริงๆของเราไม่ได้ตั้งใจด่าพระ คือมันด่าคนไม่ดีต่างหากที่มานุ่งเหลืองห่มเหลือง
ผู้ถาม : บางทีก็ด่าคนไม่รู้จัก
ดังตฤณ:
นั่นแหละ
คือให้มองว่าเวลาที่อนัตตาโชว์ตัวขึ้นมา เราจะไม่เข้าไปผสมโรงกับมัน
ไม่เข้าไปให้ความร่วมมือกับมัน โดยการที่ว่าด่าหนักขึ้น หรือมีอาการที่คิดไม่ดีมากขึ้น
แต่ในขณะเดียวกัน เราไม่ไปฝืน ไม่ไปต่อต้าน
ให้มีอารมณ์แบบหนึ่งที่มันเป็นแพสสีฟ (passive) คือ
ยอมรับสภาพว่ามันเกิดขึ้นในหัวเราจริงๆ
มันจะได้เห็นไงว่า เนี่ย ที่มันเกิดขึ้น
เกิดขึ้นทั้งๆที่เราไม่ได้สั่งให้มันเกิดขึ้น
แต่ถ้าหากว่าคำด่าตอนนั้นมันเกิดขึ้นแล้ว
แล้วเราไปเกิดความรู้สึกแย่ ไปเกิดความรู้สึกฝืน ไปเกิดความรู้สึกทรมานใจ ไอ้ความทรมานใจนั้นมันจะไปบดบังความจริงที่ว่าความคิดคำด่าอะไรต่างๆมันเกิดขึ้นในหัว
มันเสียไปเปล่าๆ อนัตตาเสียไปเปล่าๆ
แต่ถ้าคำด่าอะไรที่มันเกิดขึ้น
แล้วเรายอมรับในเบื้องต้นว่ามันเกิดขึ้นในหัวของเรา มันมีโอกาสได้ดู ดู ณ จุดเกิดเหตุเลยว่าคำด่าเกิดขึ้นในหัวของเรา
ยิ่งเกิดขึ้นบ่อยเท่าไหร่ มันยิ่งได้เห็นชัดมากขึ้นเท่านั้นว่า ไอ้ตอนที่มา เราไม่ได้เชื้อเชิญ
เราไม่ได้ตั้งใจคิดแบบนี้เลย แต่มันผุดขึ้นมาเอง
แล้วพอมันเห็นว่าผุดขึ้นมาเอง มันจะแสดงอาการว่ามันสลายตัวไปเองเช่นกัน พอเห็นบ่อยเข้าเป็นเดือนเป็นปี ใจมันจะแยกออกมาจากคำด่า มันจะไม่เชื่อว่าคำด่านั้นเป็นตัวเราอีกต่อไป!
เห็นไหม คือบางทีถ้าไม่มีประสบการณ์ตรงทางจิต บางทีมันยากมากที่จะพูดว่า จิตของเรากำลังหลงสำคัญผิด ยึดติดกับสิ่งที่มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน แต่พอมีอะไรแบบนี้ขึ้นมาชัดๆว่าเราไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น แล้วมันเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ เราเห็นว่ามันเกิดขึ้นเองและหายไปเอง มันจะได้ตัวอย่างชัดๆเลยว่า นี่อนัตตาจริงๆ ไม่ใช่ตัวเราจริงๆด้วย!
เห็นไหม คือบางทีถ้าไม่มีประสบการณ์ตรงทางจิต บางทีมันยากมากที่จะพูดว่า จิตของเรากำลังหลงสำคัญผิด ยึดติดกับสิ่งที่มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน แต่พอมีอะไรแบบนี้ขึ้นมาชัดๆว่าเราไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น แล้วมันเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ เราเห็นว่ามันเกิดขึ้นเองและหายไปเอง มันจะได้ตัวอย่างชัดๆเลยว่า นี่อนัตตาจริงๆ ไม่ใช่ตัวเราจริงๆด้วย!
สรุปคือสิ่งที่เกิดขึ้นเนี่ย อันดับแรก ทิศทางของจิตเรามันดีอยู่แล้ว อันดับที่สอง คือเราต้องมองให้ถูก ยอมรับให้เป็น แล้วก็ของเรานะ บางทีมีของแถมด้วย คล้ายๆบางทีมีเสียงสั่งอยู่ในหัว เสียงสั่งที่มันเป็นลบว่าให้ทำนั่นทำนี่ คล้ายๆคำบงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนกลางคืน ตอนก่อนนอนตอนเคลิ้มๆ มันมีเหมือนเสียงบงการขึ้นมา แล้วพอมีเสียงบงการอะไรแบบนี้ บางทีมันจะมีภาพทางใจขึ้นมา มีมโนภาพของตัวเราเองที่มันเหมือนปีศาจ ลักษณะนี้เป็นการปรุงแต่งจิตชนิดหนึ่ง ที่มันเกิดขึ้นมาจากความเกลียดตัวเองนั่นแหละ มันก่อตัวขึ้นมาจากความเกลียดตัวเอง ไม่ใช่ผีสางอะไรที่ไหน
ผู้ถาม : มันเกิดจากที่เราชอบดูถูกคนอื่นหรือเปล่าครับ
ดังตฤณ:
การดูถูกคนอื่นมันเป็นส่วนหนึ่ง
เป็นบันไดขั้นแรกๆ แต่ที่เราเกลียดตัวเองต่างหาก ที่เราไม่ชอบภาวะอกุศล
คือว่าใจพื้นเดิมของเราเป็นกุศล เริ่มก่อนที่จะปรุงแต่งอะไรขึ้นมาเป็นอกุศลมั่วซั่วเนี่ย
จิตทุกคนถือกำเนิดขึ้นมาด้วยกุศลธรรม และตัวเราเองก็สั่งสมอะไรมาพอสมควร ทีนี้พอมันมีอีกภาคหนึ่งมารบกวนมากๆ แล้วมันมีกำลังมากขึ้น มันก็เหมือนส่วนที่เป็นกุศล มันเกลียดส่วนที่มันเป็นอกุศลมืดๆ ที่มันค่อยๆก่อตัวขึ้นมา
แล้วเข้มข้นขึ้นมาเรื่อยๆ
ทีนี้เสียงสั่งอะไรต่างๆ เป็นคำอะไรสั้นๆ คล้ายๆมีอาการโฮกขึ้นมา มีการแยกเขี้ยวขึ้นมาของปีศาจอะไรแบบนี้ มันก็คือการสำแดงตัวของอาการปรุงแต่งอกุศลกรรม ซึ่งตอนนี้มันครอบงำไปทั่วโลก ลักษณะแบบนี้ แต่ของเราไม่หลงตามมัน เราจะรู้สึกว่าอยากหันหลังกลับ แต่มันทรมานใจตรงที่ว่าไม่รู้จะหันหลังกลับมายังไง คือของเราอยากให้มันหายไปทันที เดี๋ยวนั้น แล้วไม่กลับมาเกิดขึ้นอีกเลย ตัวนี้แหละ ตัวทรมานใจแบบนี้แหละที่มันเป็นอาการหล่อเลี้ยงให้ความคิดแบบนั้นมันกลับมาไม่เลิก
แต่ถ้าเอาตามที่พี่บอก คือเริ่มต้นจากมุมมองใหม่หมดเลยที่มันไม่ใช่ตัวตน แล้วทุกครั้งที่มันกลับมา ให้ยอมรับว่ามันกลับมาว่ามันเกิดขึ้นในหัวเราจริงๆ มันจะได้มีโอกาสเห็นไงว่า เออ มันมาเองได้ มันก็ไปเองได้ แล้วพอเห็นว่ามาเองไปเองบ่อยๆ จิตมันจะถอนออกมาจากอาการยึดมั่นว่านั่นเป็นตัวเรา
ผู้ถาม : ถามเพิ่มอีกนิดหนึ่ง ผมเป็นคนมารยาเสแสร้ง
บางทีทำตัวน่าสงสารให้คนอื่นเห็นใจ แต่จริงๆลึกๆคิดว่ากูดี กูเก่ง
ใครสอนใครเตือนก็ไม่สำนึก ไปดูถูก ไม่ได้เห็นโทษของสิ่งที่เค้าเตือนเรา ลึกๆคิดว่าเราดีเราเก่ง
อยากให้พี่ตุลย์แนะนำ ไม่ต้องรักษาน้ำใจผม ผมอยากแก้ไขตัวเอง
ดังตฤณ:
คือจิตที่มีอารมณ์ตามที่เราเล่ามา
ไม่ใช่แค่เป็นกันคนสองคน พี่เจอมาเยอะมาก แต่ละคนก็จะมีความทะนง คือ
มันพอกอัตตาอะไรแบบหนึ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
เหมือนดาราตุ๊กตาทองที่สามารถจะหลอกคนได้จะสะใจมาก หลอกให้คนสงสารได้
หลอกให้คนรู้สึกว่าตัวเองเป็นนั่นเป็นนี่ เสร็จแล้วก็ไม่ได้เป็น
อีกเรื่องต่อมานี่กลายเป็นอีกอย่าง บางคนเรื่องหนึ่งเป็นพระ
อีกเรื่องหนึ่งเป็นมหาโจร อะไรแบบนี้ มีความรู้สึกสะใจมากที่สามารถหลอกคนได้
พูดง่ายๆ มันมีเชื้อของดาราอยู่ ไปเป็นดาราอาจจะดังก็ได้
จริงๆแล้วจิตมันมีอาการปรุงแต่งไปได้สารพัด
แต่การที่เราสามารถเห็นโทษว่า
นี่เป็นอกุศลกรรม นี่คือตัวตั้งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว
คือมันไม่ต้องอาศัยว่าพี่จะไปพูดกระตุ้นเรา หรือว่าเตือนเราแรงๆอย่างไร เอาแค่ที่เรารู้สึกว่านี่มันเป็นสิ่งที่มันเป็นอกุศลกรรมแล้วเราอยากจะหันหลังหนีอยู่แล้วนี่ มันเพียงพอ เพียงแต่ว่ารอขั้นตอนที่มันถูกต้อง นั่นคือ การเจริญสติ สามารถยอมรับความจริงได้เป็นลำดับว่า ตรงนี้อกุศลกรรมเกิดขึ้นขณะหนึ่ง และลมหายใจต่อมามันต่างกันไปยังไง แค่เห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อย่างที่พูดมาทั้งหมดนั่นแหละ คือการถอนอยู่แล้ว
ดูสภาพของใจตัวเองนะ
มันจะมีลักษณะหนึ่ง คือที่ผ่านมามันจะรู้สึกแย่กับตัวเองนะที่มันเป็นคนแบบนี้ แต่มันจะมีใจอยู่ลึกๆนะ
ที่รู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นพวกเดียวกับมัน เพราะถ้าเป็นพวกเดียวกับมันจริงๆ
มันไม่พูดออกมาอย่างนี้หรอก ไอ้ที่เราพูด เราพูดออกมาจากอีกความรู้สึกหนึ่ง
ที่มันไม่ได้รังเกียจตัวเอง แต่มันรังเกียจอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
ผู้ถาม : จริงๆผมไม่ได้เห็นตัวเองทั้งหมด
แต่คนที่อยู่ใกล้ตัวเป็นคนที่เห็นผมเป็นอย่างนี้ เค้าก็คอยตำหนิ คอยว่าเราเรื่อยๆ
ดังตฤณ:
ซึ่งบางทีมันไม่มีประโยชน์ เพราะมันเคยชิน มันดื้อยา
ผู้ถาม : ทำเป็นสลดไปอย่างนั้น แล้วก็ไม่ได้อะไร ไม่ได้เปลี่ยน
ดังตฤณ:
คือมันเริ่มดื้อยา
แต่ถ้าเรามีความเต็มใจที่จะเอาวิธีการไปเจริญสติจริงๆ นี่แหละคือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
เพราะมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงออกมาจากการแกล้งทำ หรือไม่ได้เปลี่ยนแปลงออกมาอาการที่ว่าเราไปฝืนบังคับตัวเองให้เป็นยังไง
แต่เปลี่ยนแปลงจากการที่เราสามารถยอมรับว่าอกุศลธรรมเกิดขึ้น และอกุศลธรรมนั้นหายไปหรือลดระดับลง
จนกระทั่งมันมีสติ
สิ่งที่เรียกว่าสติ เราจะเข้าใจจริงๆว่า มันไม่ใช่แค่สติรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ แต่เป็นสติเห็นว่าอกุศลธรรเกิดขึ้นแล้วมันหายไปได้คือ ตรงนี้ คือ สิ่งที่มันไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตเรา
ถ้าหากว่าเราสามารถเห็นอกุศลธรรม
สามารถยอมรับตามจริงว่าอกุศลกรรมเกิด
แล้วเห็นว่าอกุศลธรรมนั้นมันค่อยๆหายไป
ในแต่ละลมหายใจมันไม่เท่าเดิม
สามารถยอมรับตามจริงว่าอกุศลกรรมเกิด
แล้วเห็นว่าอกุศลธรรมนั้นมันค่อยๆหายไป
ในแต่ละลมหายใจมันไม่เท่าเดิม
นี่มันน่ารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าหากว่าเราฝึกเจริญสติในแนวทางแบบนี้ไปเรื่อยๆ
เข้าใจนะ
ผู้ถาม -- เข้าใจครับ
ดังตฤณ:
เห็นไหมตอนแรกๆที่พี่พูดถึงว่าจิตของเราเหมือนมีพายุฟุ้งๆยุ่งๆ
อะไรอย่างนี้ มันจะมีเป็นช่วงๆที่มีมืดๆขึ้นมา แต่อย่างตอนนี้มันเคลียร์ไป
คือมันไม่ใช่เคลียร์แล้วเคลียร์เลย มันจะกลับมาเป็นวูบๆได้อีก
ให้สังเกตแค่ตรงนี้ แล้วมันจะค่อยๆมีความสามารถในการยอมรับตามจริงว่า อกุศลธรรมเกิดขึ้น อกุศลธรรมหายไป และพอตอนที่มันเคลียร์จริงๆ ให้สังเกตว่าเคลียร์เพราะเรายอมรับตามจริง ไม่ใช่เคลียร์เพราะว่าเราแกล้งฝืนหรือว่าแสดงแอคชั่น ไม่ได้เข้าฉากแอคชั่นแบบเดิมๆ มันจะมีอีกตัวหนึ่งที่มันแตกต่างไป คือ มันมีสภาพยอมรับ อกุศลธรรม ไม่ใช่ไปเถียงกับมันหรือว่าไปเข้าร่วมมือกับมันนะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น