รับฟังทางยูทูป : https://youtu.be/n38WCdKNN9I
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
เสวนาดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๑๘ | คำถามที่ ๑๔-๐๑
ที่ณัฐชญาคลินิก ๒๗ ต.ค. ๒๕๕๖
ดังตฤณ :
การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
เสวนาดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๑๘ | คำถามที่ ๑๔-๐๑
ที่ณัฐชญาคลินิก ๒๗ ต.ค. ๒๕๕๖
ดังตฤณ :
เอาจุดนี้ก่อนที่เห็นเหมือนมีกระบังลมเคลื่อนแล้วก็คล้ายๆร่างกายเป็นเครื่องสูบลม
สูบเข้าสูบออก อันนี้ดี
ได้สมาธิแล้ว มันเห็นสักแต่เป็นธาตุ ธาตุดินก็มีการปั๊มเข้า ปั๊มออก ธาตุลมมันไม่รู้สึกว่าเป็นบุคคลแต่ความคิดน่ะเป็นบุคคลอยู่นะ เวลานั้นเนี่ย เดี๋ยวจะให้ย้อนทบทวนดูเลยนะ
ตอนที่เรากระบังลมเคลื่อนเข้า เคลื่อนออก มีลมหายใจเข้าออกเนี่ย มันเหมือนกับเป็นหุ่น ไม่ใช่ตัวบุคคบ ไม่ใช่ตัวผู้หญิง ไม่ใช่เรา แต่เป็นหุ่นยนต์ ที่เรานั่งดูอยู่ นั่งดูการทำงานกลไกของมัน แต่ความคิดความรู้สึกของเรายังเป็นตัวตน เป็นตัวตนที่เรานั่งดูอยู่
พอไอ้ตัวตนอันนี้ ตอนมันเห็นแค่กระบังลม หดเข้า หดออก ก็ไม่รู้สึกอะไรเท่าไร ก็รู้สึกแค่เออ เหมือนหุ่นยนต์ แต่พอเริ่มเข้าสู่ภาวะที่ข้างใน มันเริ่มปั่นป่วน คือ จะนิ่งก็ไม่ใช่ จะปั่นป่วนยุ่งเหยิงก็ไม่เชิง มันเป็นภาวะแปลก ๆ ไอ้ตัวตนนี้ก็เกิดความกลัวขึ้นมา กลัวว่าเราจะเป็นไรรึเปล่า ไอ้ที่ป่วยอยู่แล้วมันจะยิ่งแย่ขึ้นไปอีกรึเปล่าอะไรทำนองนี้
เพราะฉะนั้นถ้าสืบไปสืบมา ความกลัวเกิดจากอะไร
เรายังเห็น เกิดจากการที่กลัวว่าตัวตนตัวนี้จะมีอันเป็นไปยังไง นี่ความกลัวมันหน้าตาเป็นยังไง หน้าตาความกลัวแบบของเรามันออกแนวกระเพื่อมไหว รู้สึกเหมือนหวั่นไหว เป็นระลอก ๆ มันไม่ได้หวั่นไหวเท่าเดิมตลอด มันหวั่นไหวมากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่จะปรุงแต่งอะไรขึ้นมา
เห็นไหม สืบไปเนี่ย มันก่อตัวขึ้นที่ตรงนี้
จริงๆเนี่ยธรรมชาติของมนุษย์นี่เป็นอย่างนี้ ไม่ว่าชายหรือหญิง คิดไปเองตอนที่ไม่รู้ว่าอะไรจริง ที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย คิดล่วงหน้าจินตนาการไป แล้วจินตนาการทางร้ายไว้ก่อน โดยเฉพาะตอนที่หลับตาเนี่ยมันเป็นภาวะที่มองไม่เห็นไง คำว่าหลับตา มันมาพร้อมคำว่า มองไม่เห็น มองไม่เห็นด้วยแก้วตาที่เราเคยเห็นชิน ในการใช้มองดูรูป มองดูสีสัน
แต่ถ้าเราสำรวจเข้าไปเนี่ย ถ้าเราหลับตาบางที เราเห็นยิ่งกว่าใช้ตาดูอีก
แล้วก็เห็นว่าความกลัวที่เกิดขึ้นนี่จริงๆมันคือภาวะปรุงแต่ง ที่มันเริ่มต้นมาจากตรงนี้ ยิ่งตรงนี้เตลิดไปมากเท่าไร ความกลัวมันยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ได้สมาธิแล้ว มันเห็นสักแต่เป็นธาตุ ธาตุดินก็มีการปั๊มเข้า ปั๊มออก ธาตุลมมันไม่รู้สึกว่าเป็นบุคคลแต่ความคิดน่ะเป็นบุคคลอยู่นะ เวลานั้นเนี่ย เดี๋ยวจะให้ย้อนทบทวนดูเลยนะ
ตอนที่เรากระบังลมเคลื่อนเข้า เคลื่อนออก มีลมหายใจเข้าออกเนี่ย มันเหมือนกับเป็นหุ่น ไม่ใช่ตัวบุคคบ ไม่ใช่ตัวผู้หญิง ไม่ใช่เรา แต่เป็นหุ่นยนต์ ที่เรานั่งดูอยู่ นั่งดูการทำงานกลไกของมัน แต่ความคิดความรู้สึกของเรายังเป็นตัวตน เป็นตัวตนที่เรานั่งดูอยู่
พอไอ้ตัวตนอันนี้ ตอนมันเห็นแค่กระบังลม หดเข้า หดออก ก็ไม่รู้สึกอะไรเท่าไร ก็รู้สึกแค่เออ เหมือนหุ่นยนต์ แต่พอเริ่มเข้าสู่ภาวะที่ข้างใน มันเริ่มปั่นป่วน คือ จะนิ่งก็ไม่ใช่ จะปั่นป่วนยุ่งเหยิงก็ไม่เชิง มันเป็นภาวะแปลก ๆ ไอ้ตัวตนนี้ก็เกิดความกลัวขึ้นมา กลัวว่าเราจะเป็นไรรึเปล่า ไอ้ที่ป่วยอยู่แล้วมันจะยิ่งแย่ขึ้นไปอีกรึเปล่าอะไรทำนองนี้
เพราะฉะนั้นถ้าสืบไปสืบมา ความกลัวเกิดจากอะไร
ความกลัวเกิดจากการที่ยังมีตัวตน
เรายังเห็น เกิดจากการที่กลัวว่าตัวตนตัวนี้จะมีอันเป็นไปยังไง นี่ความกลัวมันหน้าตาเป็นยังไง หน้าตาความกลัวแบบของเรามันออกแนวกระเพื่อมไหว รู้สึกเหมือนหวั่นไหว เป็นระลอก ๆ มันไม่ได้หวั่นไหวเท่าเดิมตลอด มันหวั่นไหวมากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่จะปรุงแต่งอะไรขึ้นมา
เห็นไหม สืบไปเนี่ย มันก่อตัวขึ้นที่ตรงนี้
คิดไปเอง
จริงๆเนี่ยธรรมชาติของมนุษย์นี่เป็นอย่างนี้ ไม่ว่าชายหรือหญิง คิดไปเองตอนที่ไม่รู้ว่าอะไรจริง ที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย คิดล่วงหน้าจินตนาการไป แล้วจินตนาการทางร้ายไว้ก่อน โดยเฉพาะตอนที่หลับตาเนี่ยมันเป็นภาวะที่มองไม่เห็นไง คำว่าหลับตา มันมาพร้อมคำว่า มองไม่เห็น มองไม่เห็นด้วยแก้วตาที่เราเคยเห็นชิน ในการใช้มองดูรูป มองดูสีสัน
แต่ถ้าเราสำรวจเข้าไปเนี่ย ถ้าเราหลับตาบางที เราเห็นยิ่งกว่าใช้ตาดูอีก
เราเห็นตามความจริงไง
เห็นความจริงที่กระเพื่อมเข้า กระเพื่อมออกราวกับเป็นหุ่นยนต์ เห็นความจริงว่า เออ
นี่ความคิดก่อตัวขึ้นมา มีการจินตนาการล่วงหน้าแบบสูญเปล่า เห็นว่าเป็นตัว เป็นตน
เห็นว่ามีความกลัวมากกลัวน้อย มันเห็นยิ่งกว่าตาเห็นอีก
ตาเห็นบางทีเรามองไปนี่มันไม่ได้แปลด้วยซ้ำว่านี่ประตู มันเห็นไปเฉยๆ มันขาดสติ ความคิดมันฟุ้งซ่านไปไหนไม่รู้
ที่คิดว่าตาดูอยู่แล้วเห็นนี่มันไม่ได้แปล
แต่ถ้าใจเรากำลังเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ภายในเนี่ยตรงนั้นมันเห็นอยู่ตลอดเวลานะ
เห็นอย่างต่อเนื่อง เราก็ดู
แล้วก็เห็นว่าความกลัวที่เกิดขึ้นนี่จริงๆมันคือภาวะปรุงแต่ง ที่มันเริ่มต้นมาจากตรงนี้ ยิ่งตรงนี้เตลิดไปมากเท่าไร ความกลัวมันยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
พอเห็นปุ๊ป ใจมันจะสลัดความกลัวทิ้ง ไม่ได้แกล้งสลัดนะ
มันรู้สึกไม่อยากยึด
มันคือความกลัวที่สูญเปล่า มันจะหายไปเฉยๆ
ผู้ถาม : ส่วนใหญ่มันจะกลัวตอนที่เรานิ่งเงียบน่ะค่ะ
ดังตฤณ : มันไม่ใช่เงียบจริง ลองทบทวนดูดีๆนะมันเงียบกึ่งๆ
ผู้ถาม: มันมีความคิดอยู่ข้างในค่ะ มันจะมีภาวะเงียบแบบว่านำเราดิ่งลงอะไรบางอยาง เหมือนเรามากนะคะ พอถึงตรงนั้นปั๊ปเนี่ย คือภาวะที่เราไม่รู้จะไปตรงไหน มันกระชาก
ดังตฤณ :
ตรงนั้นเป็นภาวะที่จิตมันเริ่มหดตัว
ให้ดูไว้ ภาวะอุโมงค์ ภาวะเหมือนจะดิ่งอะไรต่างๆ เป็นภาวะที่จิตหดตัว
ท่องไว้ล่วงหน้าเลย จำไว้ล่วงหน้า
จิตมันจะมีการบีบเข้ามาแล้วเกิดความรู้สึกภายในเหมือนเป็นท่ออะไรกลวงๆ
จริงแล้วเป็นแค่อาการหดลง
อย่างถ้าตอนที่จิตมันสบาย เราจะรู้สึกเหมือนมันกว้างออกไป
ไม่มีท่อ ไม่มีอะไรที่อุดตัน มันมีความว่าง มีแต่ความสบาย ก็รู้ว่านั่นเป็นจิตอีกแบบหนึ่ง เป็นจิตแบบเปิด ไม่ใช่จิตแบบหดตัว
แต่สิ่งที่ปรุงแต่งจิตให้ไปกลัวนั่น กลัวนี่ หรือชอบนั่น ชอบนี่มันเป็นแค่ภาวะชั่วคราว แป๊ปนึงที่มันเกิดขึ้น เริ่มต้นจากในนี้ ในหัว
ไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นผล หรือสมเหตุ สมผล แต่มันก่อตัวขึ้นมาเพื่อเราจะเริ่มเรียนรู้ว่า ความสูญเปล่ามันมาจากสิ่งที่เราไม่เท่าทันมัน ระหว่างวันเนี่ย สังเกตด้วย
วิธีคิดปรุงแต่งอะไรไป มันกลัวล่วงหน้าบ่อยๆ อย่างเรื่องสุขภาพ โอเคมันไม่ดี แล้วเราก็ไปปรุงแต่งนู่นนี่ไปไกลถึงไหนๆ
อาการคิดไปเองมันมักจะนำมาซึ่งความน้อยใจ บางทีมันเกิดขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผล บางทีมันเกิดขึ้นอย่างที่เหมือนกับเราถูกทอดทิ้ง จริง ๆ ก็เหมือนจะมีหลายสิ่งหลายอย่างบีบคั้นให้เรารู้สึกว่า เราถูกปล่อยทิ้งอะไรแบบนี้ ซึ่งมันไม่ใช่
เรารู้อยู่แล้วว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น บางทีมันเกิดความรู้สึกขึ้นมา พอเกิดความรู้สึกทำนองนี้ขึ้นมา นี่ถือเป็นโอกาสดีว่าเราได้เห็น อาการคิดไปเอง หรือปรุงแต่งให้รู้สึกไป ทั้ง ๆ ที่มันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
พอเราเห็นแบบนี้บ่อยๆ พอมันปรุงแต่งขึ้นมาตามสภาพที่เราคิดไป
อย่างถ้าตอนที่จิตมันสบาย เราจะรู้สึกเหมือนมันกว้างออกไป
ไม่มีท่อ ไม่มีอะไรที่อุดตัน มันมีความว่าง มีแต่ความสบาย ก็รู้ว่านั่นเป็นจิตอีกแบบหนึ่ง เป็นจิตแบบเปิด ไม่ใช่จิตแบบหดตัว
ทั้งหลายทั้งปวงมีแต่อาการของจิต
แต่สิ่งที่ปรุงแต่งจิตให้ไปกลัวนั่น กลัวนี่ หรือชอบนั่น ชอบนี่มันเป็นแค่ภาวะชั่วคราว แป๊ปนึงที่มันเกิดขึ้น เริ่มต้นจากในนี้ ในหัว
ตัวภาวะของจิตเอาจริงๆมันเป็นคนละอย่าง คนละเลเยอร์
อย่างสิ้นเชิง กับภาวะปรุงแต่งทางความคิด
พอเราพันอยู่อย่างนี้รู้อยู่ส่วนลึกๆอย่างนี้ ความกลัวมันจะน้อยลง
มันจะรู้สึกว่าความกลัวเนี่ยแท้ที่จริงแล้วมันกลวงยิ่งกว่าท่อที่เราเห็นอีก
มันเหมือนพยับแดดที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างไม่มีอะไรเลย
ไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นผล หรือสมเหตุ สมผล แต่มันก่อตัวขึ้นมาเพื่อเราจะเริ่มเรียนรู้ว่า ความสูญเปล่ามันมาจากสิ่งที่เราไม่เท่าทันมัน ระหว่างวันเนี่ย สังเกตด้วย
วิธีคิดปรุงแต่งอะไรไป มันกลัวล่วงหน้าบ่อยๆ อย่างเรื่องสุขภาพ โอเคมันไม่ดี แล้วเราก็ไปปรุงแต่งนู่นนี่ไปไกลถึงไหนๆ
อาการคิดไปเองมันมักจะนำมาซึ่งความน้อยใจ บางทีมันเกิดขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผล บางทีมันเกิดขึ้นอย่างที่เหมือนกับเราถูกทอดทิ้ง จริง ๆ ก็เหมือนจะมีหลายสิ่งหลายอย่างบีบคั้นให้เรารู้สึกว่า เราถูกปล่อยทิ้งอะไรแบบนี้ ซึ่งมันไม่ใช่
เรารู้อยู่แล้วว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น บางทีมันเกิดความรู้สึกขึ้นมา พอเกิดความรู้สึกทำนองนี้ขึ้นมา นี่ถือเป็นโอกาสดีว่าเราได้เห็น อาการคิดไปเอง หรือปรุงแต่งให้รู้สึกไป ทั้ง ๆ ที่มันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
พอเราเห็นแบบนี้บ่อยๆ พอมันปรุงแต่งขึ้นมาตามสภาพที่เราคิดไป
ความคิดไปเองมันจะน้อยลงเรื่อย ๆ
เพราะอาการยึดมั่นถือมั่นความคิดมันจะเบาบางลงไปเอง
เพราะอาการยึดมั่นถือมั่นความคิดมันจะเบาบางลงไปเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น