วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2560

พยายามเจริญสติในชีวิตประจำวัน แต่หากงานยุ่งจะทำไม่ได้ ถ้าเจออารมณ์แรงๆก็หลุดเลย

ถาม :  เริ่มสนใจธรรมะมา ๓-๔ ปี จากนั้นก็ไปเข้าคอร์สทุกปี ในชีวิตประจำวันจะรักษาศีล๕ ทำความรู้สึกตัวในชีวิตประจำวันบ้าง หากงานยุ่งจะตามไม่ค่อยได้ ปัญหาคือถ้าเจออารมณ์แรงๆก็หลุดเลย

รับฟังทางยูทูบ https://youtu.be/H2wAl6VkXas
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๕ การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๖ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
/ กลุ่มคำถามที่ ๓/คำถามที่ ๘

ดังตฤณ:  
มันอย่างนี้นะ โดยพื้นทางจิตใจของเรามา ต่อให้ไม่มีอะไรกระทบ มันก็กระทบตัวเองได้ มันมีอะไรเปรี้ยงปร้างอยู่ในความคิดได้เรื่อยๆ เข้าใจคำว่าเปรี้ยงปร้างใช่ไหม เหมือนฟ้าผ่าอยู่ข้างในน่ะ ของเราเนี่ยจะเป็นแบบนั้น 

แต่ว่าช่วงหลังๆ หลังจากที่เรามาสนใจในธรรมะ มันมีอีกกระแสหนึ่งที่มันแตกต่างไป 

มันจะมีความรู้สึกว่า บางที บางชั่วโมงนี่เหมือนแม่พระเลยนะ ยิ้มเย็นๆ สบายๆ รู้สึกข้างในไม่มีอะไร 

แล้วมันเกิดความรู้สึกขึ้นมาวูบๆวาบๆ ว่าเราเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เราจะไม่กลับไปเป็นคนโมโหง่ายอะไรอีกแล้ว 

แต่เสร็จแล้วพอมีหมากปราบเซียนมากระทบก็    ตายเลย คือ

มันได้เห็นตัวเอง ว่ามันยังไม่ได้เป็นแม่พระจริง เป็นแม่เพละ มันเหมือนแตกกระจายออกไป  เราก็จะเสียใจและก็รู้สึกว่าเรานึกว่าเราจะไม่เป็นแบบนี้แล้ว แต่มันก็ยังเป็นอยู่ นี่ตัวเนี้ย...

คือถ้าเราตั้งมุมมองไว้อย่างถูกต้องมันก็จะไม่ไปเสียใจ  แต่เหมือนกับที่พูดไปว่าแทนที่เราจะไปเข้าใจผิดว่ามันต้องเกิดขึ้นตลอดไป ตอนที่เรารู้สึกดีแล้ว ตอนที่เรารู้สึกสว่าง รู้สึกมีเมตตา ไปยึดว่าเนี่ยเป็นของเรา 

เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่ และแสดงความไม่ใช่   ผ่านเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบกระทั่งจิตใจ และเกิดปฏิกิริยาที่เราไม่สามารถห้ามตัวเองได้ หยุดไม่อยู่ ตัวนี้


ต่อไปให้ตั้งมุมมองของใจไว้เลยว่า ทั้งตัวแม่พระ ทั้งตัวโมโหร้ายอะไรเนี่ย 

อย่างภาวะที่มันดีๆน่ะ อาจจะตั้งอยู่นานได้ แต่อย่าคิดว่ามันจะตั้งอยู่ตลอดไป 

คือให้คิดว่ามันจะตั้งอยู่นานนะ และอาจจะตั้งอยู่นานหน่อย เพราะว่าเราเต็มใจให้มันเป็นอย่างนี้

 เราสมัครใจเลือกตัวตนใหม่แบบนี้ มันถึงอยู่ได้นานหน่อย 
แต่ ถ้าเมื่อไหร่ที่มันเปลี่ยน 

เราถือเป็นโอกาสที่จะได้รู้ว่าสภาวะทางใจแบบนั้นมันไม่เที่ยง



อย่างเมื่อกี้ ตอนที่นั่งสมาธิตามที่พี่ไกด์(Guide)เนี่ย คือมันมีความคิดวุ่นวาย มันมีความพยายามจะทำตามที่พี่พูดนั่นล่ะแต่ก็มีอีกใจว่าเราทำไม่ได้เราอย่างโน้นอย่างนี้ 

คือมันมีอะไรจุ๊กจิ๊กๆขึ้นมาแบบคนที่เคยมีอคติกับการนั่งสมาธิ  เพราะนั่งมาไม่สำเร็จแล้วมีความคิดรบกวน เคยมีความคิดรบกวนยังไง ก็กลายเป็นมันย้อนมาทุกที 

ถาม : ถ้าบางทีสงบตอนนั่งสมาธิก็จะหลับไปเลยค่ะ

ดังตฤณ:

ที่หลับสาเหตุเพราะว่าเราอยู่กับความเคลิ้ม อยู่กับอาการที่มันน่าพอใจ คือมันสบายๆ สงบๆ แล้ว เรารู้สึกว่ามันดีจังเลยติดอยู่กับภาวะนั้นจนกระทั่งหลับ 

แต่ถ้าหากว่าเราค่อยๆมอง ค่อยๆฝึก คือต้องสวนกับอคติแบบเดิมนิดหนึ่ง คำว่าอคติไม่ใช่การคิดร้ายคิดไม่ดีอะไรมากมาย แต่หมายถึงทัศนคติที่เรามีต่อสมาธิ เราต้องปรับใหม่ว่ามันเป็นโอกาสที่เราจะได้ตั้งหลัก สร้างทุน เพื่อที่จะเอาสติมาใช้ในชีวิตประจำวัน 

เดิมเรามีแค่การทำใจ เหมือนกับไปทำบุญ ฟังคำสอน สวดมนต์ แผ่เมตตาอะไรอย่างนี้อะนะ เราจะถนัดแบบนั้น เราจะรู้สึกว่าเอากระแสของการแผ่เมตตา ความคิดดีๆหลังสวดมนต์ มาใช้ในชีวิตประจำวัน เรารักษาให้มันดีอยู่อย่างนั้น ซึ่งมันก็จะแค่รักษาให้ดี ทำใจ แต่ไม่ใช่เห็นอะไรตามจริงอย่างที่มันกำลังปรากฏ มันแตกต่างกันนะ 

ตอนที่เราจะรักษาภาวะดีๆไว้ มันต้องอาศัยกำลังใจที่จะไม่ให้มันเคลื่อนไปสู่ภาวะไม่ดี 

แต่อย่างตอนที่เราเจริญสติแล้วเห็นภาวะที่มันปรากฏตามจริง เวลาที่ไม่ดียอมรับว่าไม่ดี เวลาเปรี้ยงปร้างอะไรขึ้นมา เออ...นี่ จิตมันแสดงความไม่เที่ยงของความสุขให้ดู 

หรือว่าตอนที่มันเย็นๆ มันนิ่งๆ มันมีเมตตา มันเหมือนอยากจะยิ้ม อยากจะช่วยคนทั้งโลกอะไรแบบนี้นะ ให้เห็นว่านี่คือการแสดงความไม่เที่ยงของโทสะ 


หลักการดูก็คือ  มุมมองที่เราจะดูเข้ามาที่ข้างในนั้นเอง 

แค่ตั้งมุมมองไว้แตกต่าง มันเปลี่ยนจากสวรรค์เป็นนิพพานได้เลย


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น