ถาม : เริ่มสนใจธรรมะมา ๓-๔
ปี จากนั้นก็ไปเข้าคอร์สทุกปี ในชีวิตประจำวันจะรักษาศีล๕ ทำความรู้สึกตัวในชีวิตประจำวันบ้าง
หากงานยุ่งจะตามไม่ค่อยได้ ปัญหาคือถ้าเจออารมณ์แรงๆก็หลุดเลย
รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/H2wAl6VkXas
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๕ การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๖ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก/ กลุ่มคำถามที่ ๓/คำถามที่ ๘
ดังตฤณ:
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๕ การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส
๖ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก/ กลุ่มคำถามที่ ๓/คำถามที่ ๘
ดังตฤณ:
มันอย่างนี้นะ
โดยพื้นทางจิตใจของเรามา ต่อให้ไม่มีอะไรกระทบ มันก็กระทบตัวเองได้ มันมีอะไรเปรี้ยงปร้างอยู่ในความคิดได้เรื่อยๆ
เข้าใจคำว่าเปรี้ยงปร้างใช่ไหม เหมือนฟ้าผ่าอยู่ข้างในน่ะ
ของเราเนี่ยจะเป็นแบบนั้น
แต่ว่าช่วงหลังๆ หลังจากที่เรามาสนใจในธรรมะ มันมีอีกกระแสหนึ่งที่มันแตกต่างไป
มันจะมีความรู้สึกว่า บางที
บางชั่วโมงนี่เหมือนแม่พระเลยนะ ยิ้มเย็นๆ สบายๆ รู้สึกข้างในไม่มีอะไร
แล้วมันเกิดความรู้สึกขึ้นมาวูบๆวาบๆ
ว่าเราเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เราจะไม่กลับไปเป็นคนโมโหง่ายอะไรอีกแล้ว
แต่เสร็จแล้วพอมีหมากปราบเซียนมากระทบก็ ตายเลย
คือ
มันได้เห็นตัวเอง ว่ามันยังไม่ได้เป็นแม่พระจริง เป็นแม่เพละ มันเหมือนแตกกระจายออกไป เราก็จะเสียใจและก็รู้สึกว่าเรานึกว่าเราจะไม่เป็นแบบนี้แล้ว
แต่มันก็ยังเป็นอยู่ นี่ตัวเนี้ย...
คือถ้าเราตั้งมุมมองไว้อย่างถูกต้องมันก็จะไม่ไปเสียใจ
แต่เหมือนกับที่พูดไปว่าแทนที่เราจะไปเข้าใจผิดว่ามันต้องเกิดขึ้นตลอดไป
ตอนที่เรารู้สึกดีแล้ว ตอนที่เรารู้สึกสว่าง รู้สึกมีเมตตา ไปยึดว่าเนี่ยเป็นของเรา
เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่ และแสดงความไม่ใช่ ผ่านเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบกระทั่งจิตใจ
และเกิดปฏิกิริยาที่เราไม่สามารถห้ามตัวเองได้ หยุดไม่อยู่
ตัวนี้
ต่อไปให้ตั้งมุมมองของใจไว้เลยว่า ทั้งตัวแม่พระ ทั้งตัวโมโหร้ายอะไรเนี่ย
อย่างภาวะที่มันดีๆน่ะ อาจจะตั้งอยู่นานได้ แต่อย่าคิดว่ามันจะตั้งอยู่ตลอดไป
คือให้คิดว่ามันจะตั้งอยู่นานนะ และอาจจะตั้งอยู่นานหน่อย เพราะว่าเราเต็มใจให้มันเป็นอย่างนี้
เราสมัครใจเลือกตัวตนใหม่แบบนี้ มันถึงอยู่ได้นานหน่อย
แต่ ถ้าเมื่อไหร่ที่มันเปลี่ยน
เราถือเป็นโอกาสที่จะได้รู้ว่าสภาวะทางใจแบบนั้นมันไม่เที่ยง
อย่างเมื่อกี้ ตอนที่นั่งสมาธิตามที่พี่ไกด์(Guide)เนี่ย คือมันมีความคิดวุ่นวาย มันมีความพยายามจะทำตามที่พี่พูดนั่นล่ะแต่ก็มีอีกใจว่าเราทำไม่ได้เราอย่างโน้นอย่างนี้
คือมันมีอะไรจุ๊กจิ๊กๆขึ้นมาแบบคนที่เคยมีอคติกับการนั่งสมาธิ เพราะนั่งมาไม่สำเร็จแล้วมีความคิดรบกวน
เคยมีความคิดรบกวนยังไง ก็กลายเป็นมันย้อนมาทุกที
ถาม : ถ้าบางทีสงบตอนนั่งสมาธิก็จะหลับไปเลยค่ะ
ดังตฤณ:
ที่หลับสาเหตุเพราะว่าเราอยู่กับความเคลิ้ม
อยู่กับอาการที่มันน่าพอใจ คือมันสบายๆ สงบๆ แล้ว เรารู้สึกว่ามันดีจังเลยติดอยู่กับภาวะนั้นจนกระทั่งหลับ
แต่ถ้าหากว่าเราค่อยๆมอง ค่อยๆฝึก คือต้องสวนกับอคติแบบเดิมนิดหนึ่ง คำว่าอคติไม่ใช่การคิดร้ายคิดไม่ดีอะไรมากมาย
แต่หมายถึงทัศนคติที่เรามีต่อสมาธิ เราต้องปรับใหม่ว่ามันเป็นโอกาสที่เราจะได้ตั้งหลัก
สร้างทุน เพื่อที่จะเอาสติมาใช้ในชีวิตประจำวัน
เดิมเรามีแค่การทำใจ เหมือนกับไปทำบุญ
ฟังคำสอน สวดมนต์ แผ่เมตตาอะไรอย่างนี้อะนะ เราจะถนัดแบบนั้น
เราจะรู้สึกว่าเอากระแสของการแผ่เมตตา ความคิดดีๆหลังสวดมนต์ มาใช้ในชีวิตประจำวัน
เรารักษาให้มันดีอยู่อย่างนั้น ซึ่งมันก็จะแค่รักษาให้ดี ทำใจ
แต่ไม่ใช่เห็นอะไรตามจริงอย่างที่มันกำลังปรากฏ มันแตกต่างกันนะ
ตอนที่เราจะรักษาภาวะดีๆไว้
มันต้องอาศัยกำลังใจที่จะไม่ให้มันเคลื่อนไปสู่ภาวะไม่ดี
แต่อย่างตอนที่เราเจริญสติแล้วเห็นภาวะที่มันปรากฏตามจริง เวลาที่ไม่ดียอมรับว่าไม่ดี
เวลาเปรี้ยงปร้างอะไรขึ้นมา เออ...นี่ จิตมันแสดงความไม่เที่ยงของความสุขให้ดู
หรือว่าตอนที่มันเย็นๆ มันนิ่งๆ มันมีเมตตา มันเหมือนอยากจะยิ้ม
อยากจะช่วยคนทั้งโลกอะไรแบบนี้นะ ให้เห็นว่านี่คือการแสดงความไม่เที่ยงของโทสะ
หลักการดูก็คือ มุมมองที่เราจะดูเข้ามาที่ข้างในนั้นเอง
แค่ตั้งมุมมองไว้แตกต่าง
มันเปลี่ยนจากสวรรค์เป็นนิพพานได้เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น