วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2562

สามารถเจริญทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไปได้ไหม?

ถาม : คนเราจะสามารถเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไปได้ไหม หรือต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง?


ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ระงับความฟุ้งซ่านก่อนนอน
วันที่ 16.2.2019

ดังตฤณ : เวลาที่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการดับทุกข์ ถ้าอ่านดูในหลักฐาน ท่านจะขึ้นต้น ดูกรภิกษุ ... พูดง่ายๆ ว่าท่านเน้นสอนเจริญสติให้กับภิกษุ ถ้าหวังเอาความก้าวหน้าทางธรรมกันจริงๆ

แต่อย่างไรก็ตาม ท่านก็แสดงเทศนาธรรมชั้นสูงกับฆราวาสบางคน แล้วไม่ใช่มีแต่ผู้ใหญ่ เด็กๆ ก็มีนะ อย่างนางวิสาขะ อายุเจ็ดขวบเท่านั้น ท่านแสดงธรรม ไล่มาตั้งแต่ง่ายๆ ขึ้นไปถึงการเห็นว่าอะไรๆ ในตัวไม่ใช่ตัวเดิมอยู่ตลอดเวลา มันกำลังแสดงความไม่เที่ยง จนกระทั่งนางวิสาขาเห็นออกมาจากข้างในว่า จริงๆด้วย ไม่มีอะไรที่ซ้ำของเดิม จะต่างไปเรื่อยๆ ที่เป็นเหยื่อล่อให้ยึดเป็นตัวเป็นตน เป็นแค่ของชั่วคราว แต่เรายึดจริงจังตลอดกาล ท่านมองเห็นความจริงตรงนี้ ท่านก็บรรลุธรรม เป็นพระโสดาบันได้

ยังมีฆราวาสอีกมากมาย ที่ท่านก็ยังประกอบกิจ หรือว่าทำมาค้าขาย ทำมาหากินแบบชาวบ้าน ยังแข่งกับฆราวาสคนอื่นอยู่ แต่ท่านก็สามารถบรรลุธรรมกันได้ แล้วในความเป็นจริง พระพุทธเจ้าถ้าตรัสสอนชาวบ้าน ชาวเมืองที่ยังเป็นฆราวาสอยู่ โดยมากเราจะเห็นว่าเป็นธรรมะขั้นพื้นฐาน ให้มีใจรักในทาน รักในศีล พอขึ้นเรื่องการภาวนา ท่านแยก ท่านเน้นไปสอนภิกษุ ภิกษุณี นั่นเพราะอะไร เพราะว่าคนเอาจริง พิสูจน์ตัวเองโดยการทิ้งบ้านทิ้งเรือน ไปบวชกัน

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเราไม่นิยามว่า ความเจริญทางธรรม หมายถึงความเจริญแบบเข้มข้นในระดับเดียวกับพระภิกษุ หรือพระภิกษุณีในสมัยพุทธกาล ที่ท่านจะเอามรรค เอาผลกัน อย่างเร็ว เจ็ดวัน อย่างกลางเจ็ดเดือน อย่างช้าเจ็ดปี ถ้าไม่เอาแบบท่านแบบนั้น เอาแค่ว่า เราสะสมมุมมองหรือว่าประสบการณ์ภายใน ในการเห็น เพื่อที่จะไปตัดสินใจเอาทีหลังว่า จะบวช หรือไม่บวช หรือว่าแก่กล้าขนาดที่เราไม่ต้องบวช เราก็สามารถอยู่กับบ้าน แล้วเอาอย่างนางวิสาขา หรือ อนาถบิณฑิกเศรษฐี ... เป็นเศรษฐีเลยนะ ได้ธรรมขั้นสูงด้วย เป็นถึงพระอนาคามี ซึ่งเหมือนกับพูดง่ายๆ สละเรือนแล้ว

ทีนี้ ประเด็นอยู่ตรงนี้ คือการเจริญทางโลก คนส่วนใหญ่นิยามว่า คือการได้เงินเยอะๆ หรือว่าการมีตำแหน่งหน้าที่ มีหน้ามีตา มียศมีศักดิ์สูงๆ บอกว่า ผมอยากวิ่งเต้น จะเอานายพล หรือจะเป็นพลตำรวจด้วย แล้วก็ขอเป็นพระอนาคามีด้วยได้ไหม ถ้าคำถามอยู่ในใจประมาณอย่างนี้ ก็แปลว่าเข้าใจผิดตั้งแต่เริ่มต้น

เราเอาความเจริญก้าวหน้าทางโลกในแบบที่สามารถจะใช้เป็นเปลือกห่อหุ้มให้ชีวิตรอด เพื่อมาปฏิบัติธรรม เอาแก่น เอาแก่นเป็นธรรมะ อย่างนี้ได้ แต่ถ้าบอกว่า ทะเยอทะยาน มุ่งมั่น อยากจะเป็นนั่นเป็นนี่  อยากเป็นนายกฯ อยากเป็นปลัดกระทรวง หรือว่า อยากจะได้บ้านราคาประมาณ สองร้อยล้าน อะไรอย่างนี้ ความทะเยอทะยานแบบนั้น มันมีตัวตนที่รุนแรงเกินไป มันมีโมหะ มีตัวโลภะที่ล้ำออกไปเกินกว่าที่สติจะรู้ทัน หรือว่าพิจารณาว่า นี่ไม่เที่ยงนะ นี่ไม่ใช่ตัวเดิมนะ คือถ้าแรงขนาดนั้น มันแล่นออกไปแล้ว ไปไกลเกินกว่าจะกู่แล้ว

แต่ถ้าบอกว่า โอเค ปีนี้รู้สึกว่าฐานะยังง่อนแง่น น่าจะตั้งหน้าตั้งตาเก็บหอมรอมริบ หรือว่าหางานเพิ่ม หาจ๊อบเสริม หรืออาจบอกว่า ตำแหน่งหน้าที่การงานตรงนี้ยังเหมือนกับเอาแน่เอานอนไม่ได้ เราควรจะพัฒนาฝีมือ ทำงานที่ใจรัก แล้วก็ทำประโยชน์ให้สังคมกว้างๆ ในขณะเดียวกัน สังเกตเข้ามา จิตของเรากำลังเป็นทานอยู่หรือเปล่า ที่ทำงานนี่ ที่กำลังบอกว่าอยากจะเอาศักยภาพของตัวเอง มาใช้ให้เป็นประโยชน์ ให้เกิดกับสังคม หรือให้เกิดกับศาสนา ใจของเราเป็นทานจริงๆ หรือเปล่า
คิดให้ก่อนหรือเปล่า หรือว่า คิดเอาก่อน อย่างไหนนำมา อย่างไหนมาก่อนกัน

ถ้าคิดให้ก่อน จิตเป็นทาน ถึงแม้จะทำอาชีพ ทำหน้าที่อะไรที่ดูคล้ายจะมีกิเลส แต่จริงๆแล้ว คือให้ก่อน ผมยกตัวอย่าง เช่น ทำของที่มีคุณภาพออกมาขาย แล้วก็ด้วยเจตนาเริ่มต้น คือไม่ได้คิดถึงเงินก่อน แต่คิดว่า เราอยากให้ในตลาดมีของอะไรดีๆ กับผู้บริโภคบ้าง ใจที่เป็นทาน นำออกไปก่อนแบบนี้ จะมีความชุ่มชื่น มีความสามารถที่จะมองเข้ามาแล้วบอกตัวเองได้ว่า จิต กำลังสว่าง หรือกำลังมืด เพราะจิตที่คิดให้ทานนำมา จะมีความสว่างแบบหนึ่ง ที่ทำให้เกิดความรู้สึก หลับตาลงแล้วสบายใจ รู้สึกชุ่มชื่นใจ รู้สึกพร้อมที่จะพัฒนาขึ้นต่อยอดไปเป็นสมาธิ

หรืออย่างถ้าในการทำงานของเรา เราตั้งใจอยู่อย่างแน่วแน่ว่า จะไม่ไปโกงใคร จะไม่โฆษณาชวนเชื่ออะไรผิดๆ จะไม่ฉกชิง หรือไปเบียดเบียนคนอื่นด้วยวิธีที่ผิดศีลผิดธรรม ตัวนี้ก็เกิดความสบายใจขึ้นมาอีกแบบว่า ที่เราหาอยู่หากิน ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร บางทีอาจแข่งขันกัน แต่ไม่ใช่เบียดเบียนด้วยวิธีผิดๆ คือแข่งขันโดยชอบธรรม เหมือนกับคนเล่นกีฬา เวลาชนะ ก็รู้สึกว่าเราไม่ได้ทำร้ายจิตใจเขา เราไม่ได้ตั้งใจไปทำให้เขาเกิดความเจ็บช้ำน้ำใจ เพราะถ้าเราแพ้ เราก็แพ้แบบสมศักดิ์ศรีเหมือนกัน ชนะ เราก็ชนะแบบที่ไม่ได้ไปละเมิดกติกาอะไร ตัวความสบายใจที่เราไม่ได้ทำผิด ทำบาปตรงนี้แหละ ที่จะสามารถทำให้ความรู้สึกภายใน ยังคงพร้อมจะเห็นอะไรตามจริงอยู่ได้

แล้วถ้าหากว่า ศีล ของเรา ถึงขั้นที่บอกตัวเองว่า จะทำมาหากิน ค้าขายอะไรก็ตาม เรากลั่นเอาชีวิตของเราทั้งหมดออกมาเป็นประโยชน์กับโลกมากกว่าที่จะเป็นโทษ คือบางทีอาจไปเบียดเบียนคู่แข่งบ้าง หรือ จะต้องพูดอะไรที่ไม่ได้สะอาดปราศจากมลทินเต็มร้อย อาจต้องตามเจ้านายบ้าง อาจเพื่อนร่วมงาน หรือต้องอยู่ในขบวนการที่จะต้องพูดไม่ตรงไปตรงมาบ้าง อย่างน้อยที่สุด เราบอกตัวเองได้ว่า เราอยู่ในทิศทางที่จะทำให้โลกนี้ได้รับประโยชน์จากชีวิตเรา ก่อนเราเกิดมา โลกเป็นยังไงอยู่ พอเราเกิดมาแล้ว อาชีพการงานของเราทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้บ้าง เราบอกตัวเองได้เต็มปากเต็มคำอย่างนั้น ถือว่าเป็นความก้าวหน้า ความรุ่งเรืองในชีวิตแบบโลกๆ ที่ไม่ขัดกันกับความก้าวหน้าทางธรรมนะ แล้วความเจริญก้าวหน้าที่ว่านี่ จะสามารถเห็นว่า ไปควบคู่กันได้ กล่าวคือ เมื่อเราทำงาน ทำเต็มที่อย่าไปพยายามตั้งโจทย์ว่า จะทำยังไง ถึงจะทำงานไปด้วย แล้วก็ปฏิบัติธรรมไปด้วย คนตั้งโจทย์แบบนี้ เสียเวลาพายเรืออยู่ในอ่างกันเป็นสิบยี่สิบปี แล้วก็ไม่ได้อะไรเลย

แล้วถ้าหากว่าถึงเวลาทำงานทำเต็มที่ ทำจนกระทั่งพบขึ้นมาว่า ไม่ต้องทำงานอยู่ทุกนาทีก็ได้ ทำๆ ไป ก็พักได้ ไม่มีใครมาจ้องว่าเราพักหายใจกี่นาที ตอนที่เราสามารถพักหายใจได้ โดยไม่ต้องเอาจิตไปจดจ่อโฟกัสกับงาน ตอนนั้นเราแค่มาดู จิต ฟุ้งมากหรือฟุ้งน้อย หายใจเข้าครั้งหนึ่ง หายใจออกครั้งหนึ่ง เห็นความแตกต่างขึ้นที่ภายในบ้างหรือเปล่า ถ้าฟุ้งจัดจะรู้สึกเหมือนมีอะไรดิ้นๆ อยู่ในหัว มีแรงดันที่ชัดเจนเลยว่า โป่งๆ ออกมา แต่พอลมหายใจต่อมามันแฟบลงได้ แค่นี้ ก็เป็นการปฏิบัติธรรมในออฟฟิศแล้ว นั่งอยู่ในที่นั่งทำงาน ก็หายใจแบบนั้นได้ รับรู้แบบนั้นได้ แล้วก็ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่า ที่ทำงานของคุณ คุณเกิดความรำคาญ ความฟุ้งซ่านในหัวตัวเองอยู่แล้ว ถกเถียงอะไรกันก็ไม่รู้ในห้องประชุม รู้สึกเหมือนมีอะไรยุ่งๆ พันๆ ในหัว กลับมานั่งที่โต๊ะ นั่งไม่ต้องหลับตาก็ได้ นั่งดูดอกไม้บนโต๊ะ หรือมองเพดาน หายใจทีหนึ่ง หายใจอีกที ความดันในหัวมีความต่างกันจริงด้วย

แค่นี้ ถ้ามีเวลาทำงานอยู่ในออฟฟิศยี่สิบปี แปลว่าคุณมีเวลา 365 คูณ 20 นะ ก็ราวๆ 7 พัน ถึง 8 พันวัน คุณมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ทั้งที่ไม่ต้องไปปฏิบัติที่วัดก็ยังได้ ถ้าในปีที่ 20 ในออฟฟิศของคุณ สามารถบอกได้ว่า หน้าที่การงานของคุณมาถึงระดับผู้จัดการแล้วนะ แล้วก็การปฏิบัติธรรมของคุณเห็นภาวะความฟุ้งซ่านโดยความเป็นของไม่เที่ยงได้ ตัวนี้ชัดเจนนะ คือทั้งทางโลก และทางธรรมควบคู่ไปด้วยกันได้ คุณจะเห็น หรือไม่เห็น หรือว่าอยู่ในทิศทางถูกหรือไม่ถูกเท่านั้นเองนะครับ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น