วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562

เราสามารถตัดรอนกรรมเก่า หรือคำอธิษฐานได้ไหม


ถาม : ผมคิดว่าป่วยเพราะกรรมเก่า เคยอธิษฐานเมื่อ 20 ปีที่แล้วว่าถ้าทำชั่วอีก ขอให้ป่วยไม่หาย แล้วก็ทำชั่ว และป่วยไม่หาย เราสามารถตัดรอนกรรมเก่า หรือคำอธิษฐานนั้นได้ไหมครับ?

ดังตฤณ : ก็ให้ตั้งความเชื่อไว้นะครับ ว่าการอธิษฐานเป็น พลัง ชนิดหนึ่ง
ผมเองก็เคยมีประสบการณ์มาเหมือนกัน บอกว่าถ้าทำไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้
ขอให้ต้องรับความทุกข์ แล้วก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ คือได้เห็นความทุกข์สาหัสสากรรจ์ในชีวิต

เรื่องการอธิษฐาน เรามักเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ หรือ เห็นว่าสบาย เราผ่านได้ง่ายๆ ตอนอธิษฐาน
... แต่ตอนที่เกิดผลยืดเยื้อเป็นปีๆ นี่ เข็ดเลยนะ ไม่ใช่อย่างที่คิด ชีวิตไม่ได้ง่ายอย่างนั้น

ก็ให้ตั้งความเชื่อไว้อย่างนี้ก็แล้วกัน ว่าการอธิษฐาน การที่เราทำผิดอะไรไป เป็นพลังชนิดหนึ่ง เป็นพลังฝ่ายลบ เป็นพลังฝ่ายอกุศล เป็นพลังฝ่ายมืด ถ้าหากว่าเราเอาพลังที่เป็นกุศลเพิ่มเข้ามาในชีวิต แล้วก็ขอสู้กับตัวเอง สู้กับความผิดของตัวเอง สู้กับตัวตนที่ไม่ดีของตัวเอง เอาตัวตนที่ดี ที่มุ่งมั่นตั้งใจที่จะลบล้างความผิด ทำให้เจริญขึ้นมาในตัวเรา กลายเป็นตัวจริงๆของเรา ก่อนตายให้ได้ ในที่สุดก็จะเห็นผลเหมือนกัน คือ เอาคำของพระพุทธเจ้าเป็นหลักยืนยัน ให้เกิดความสบายใจ ให้เกิดแรงบันดาลใจก็ได้

ท่านเคยตรัสไว้ว่าให้คิดว่า บาปเก่า เหมือนกับก้อนเกลือก้อนหนึ่ง ถ้าหากว่าเราใส่ก้อนเกลือนั้นลงในแก้วเล็กๆ แล้วเทน้ำลงไป เกลือก็ยังเค็มอยู่ น้ำกินเข้าไปก็ยังเค็มปี๋
แต่ถ้าเปลี่ยนภาชนะให้ใหญ่ขึ้น เอาถังใหญ่ๆ มาใส่เกลือก้อนเท่าเดิมลงไป น้ำที่มีปริมาตรเท่ากับถังใหญ่ ย่อมให้ความรู้สึกว่าเค็มน้อยลง ทีนี้ถ้าเอาโอ่งมาโอ่งหนึ่งเลย ใส่น้ำให้เต็ม แล้วหย่อนเกลือก้อนเดียวกันลงไป เราจะรู้สึกว่าแทบไม่ได้รสความเค็มเลย ได้อยู่แค่นิดๆ แล้วถ้าหนักขึ้นไปกว่านั้นอีก ใช้ภาชนะที่มีปริมาตรมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น แทงก์น้ำพันลิตร ใส่ก้อนเกลือลงไป ทีนี้ไม่ได้รสเค็มแล้ว ทั้งๆ ที่เกลือก็ยังเป็นเกลือก้อนเดิม เกลือยังมีรสเค็มอยู่อย่างนั้น แต่เนื่องจากว่าเราเอาปริมาตรของน้ำถมทับเข้าไปจนกระทั่งเหมือนกับหายไป

ไม่ใช่ว่าทำให้ก้อนเกลือหายไป แต่ทำให้รสเค็มของเกลือ เจือจางจนกระทั่งไม่เหลืออยู่ ก็เหมือนกันกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ถ้าหากว่าเรามีกำลังใจ มีแรงบันดาลใจมากพอ เคยไปรู้สึกผิด เคยทำ เคยผิดคำอธิษฐาน ผิดคำสัจจะของตัวเอง อะไรก็แล้วแต่ ให้ตั้งความเชื่อไว้ว่า นั่นเป็นก้อนเกลือก้อนหนึ่ง ถ้าหากว่าชีวิตที่เหลืออยู่ของเรา ใช้ไปในทางที่จะทำให้ก้อนเกลือนั้นเจือจาง ใส่น้ำเข้าไปเยอะๆ เอาความดี ทำความดีตั้งแต่เช้าจรดเย็น แบบไม่คิดชีวิต แล้วตั้งไว้ในใจว่า ขอให้รสเค็มของก้อนเกลือนั้นจางลงๆ จนกระทั่งไม่เหลือ ในที่สุดเราก็จะรู้สึกว่า ความสุข ความสดชื่นอันเกิดจากการทำบุญ ตั้งหน้าตั้งตาชดใช้ความผิด เกินความรู้สึกเป็นทุกข์

คืออาการทางใจจะมาก่อน ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธานนะครับ ทำทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ เมื่อใจของเรารู้สึกเป็นสุขขึ้นมาได้ จากการทำบุญเป็นปกติ มีแต่คิดให้ ให้เปล่า มีแต่คิดจะรักษาศีลให้สะอาดหมดจด จะมันจุกอกตายยังไง เราก็รักษาศีลก่อน นอกจากนั้นก็เจริญสติบ้าง เท่าที่จะทำได้ เมื่อบุญประกอบพร้อมทั้งทาน ศีล และการเจริญสติ จนกระทั่งใจรู้สึกปลอดโปร่ง ใจรู้สึก เหมือนลืมๆ ความรู้สึกผิดตรงนั้นไป คุณจะพบว่า อาการที่ยืดเยื้อทางกาย ... ถ้าตรงกันจริงๆ ไม่ใช่เราเข้าใจไปเองนะ ... ถ้าตรงกันจริงๆ ว่าตอนนี้เราป่วยไม่หาย เพราะคำอธิษฐาน แล้วเราไปผิดคำอธิษฐาน ร่างกายจะค่อยๆ แสดงความปลอดโปร่งมากขึ้น

ถ้าอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ก็บอกว่า ร่างกายหลั่งสารดีๆ เช่น เอนโดรฟินออกมา ให้มีความสุข กล้ามเนื้อผ่อนคลาย พอกล้ามเนื้อผ่อนคลาย เลือดลมก็จะเดินดีทั่วร่างกาย ตรงนี้โรคภัยต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคเวร โรคกรรม ก็จะค่อยๆ ถูกปลิดทิ้งไปทีละกระบิๆ จนหายขาดได้

นี่ก็เป็นวิธีเดียวที่เราจะคิดได้แบบพุทธนะครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น กรรม และผลแห่งกรรม เป็นอจินไตย วิบากกรรมเป็น อจินไตย แปลว่า รู้ได้ก็ต่อเมื่อมีอภิญญา ชั่งน้ำหนัก ชั่งตวงวัดได้ ว่าอันไหนบุญ อันไหนบาป อันไหนหนักกว่ากัน

แต่ถ้าเป็นคนทั่วไป ไปนึกๆ คิดๆ เอา คิดไม่ออกนะ คิดไม่ได้ ไม่สามารถพยากรณ์ได้ ไม่สามารถรับรองได้ว่า ทำแค่ไหนถึงจะหาย เอาเป็นว่า พยายามทำให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พยายามดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ตรงนี้แหละ ที่สุดนะครับที่เราจะเติมน้ำตามหลักของพระพุทธเจ้าเพื่อละลาย หรือเจือจางรสเค็มของเกลือ!
https://www.youtube.com/watch?v=5ukVRdsJiLE

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น