วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2562

วิธีรู้ว่าตัวเองทำบุญเด่นมาทางไหน


ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน วิธีรู้ว่าตัวเองทำบุญเด่นมาทางไหน

บางคนรู้เลยว่าตัวเองมีดีมาทางไหน พูดเก่งหน้าตาดี บางคนหล่อ บางคนสวย แล้วก็เหมือนกับพอพูดไป มีคนฟัง มีคนให้ความสนใจ มีคนจ้าง เอารูปร่างหน้าตาไปเป็นจุดขาย หรือว่ามีราคาแบบที่เห็นได้ชัดว่าทำให้ตัวเองอยู่ได้ หรือว่ามีชื่อเสียง หรือว่ามีคนรู้จัก มีคนจำได้ 

นี่ก็เป็นลักษณะแสดงตัวแบบหนึ่งของบุญที่เห็นได้ชัด ที่ออกมาทางหน้าตา พวกนี้ก็จะไม่ใช่แค่ทำทาน รักษาศีลดี แต่จะต้องเคยเอาตัวเองเป็นที่ดึงดูดความสนใจ ยกตัวอย่างเช่น อันนี้แค่ยกตัวอย่างนะ เหมือนเวลาที่ตัวเองจะไปทำบุญอะไรดีๆ ก็เอาความรู้สึกเป็นสุข เอาเรื่องที่ตัวเองไปประสบมาในการทำบุญมาให้ญาติพี่น้องฟัง ให้พลอยปลื้มตาม อย่างศรัทธาครูบาอาจารย์องค์ไหน ก็เอาตัวเองไปถ่ายทอดให้คนใกล้ตัวฟัง หรือคนจำนวนมากๆ ได้รับรู้ตามว่า ครูบาอาจารย์รูปนั้นรูปนี้ ท่านเทศน์ดีนะ หรือว่า มีความสามารถในการจะทำให้ตัวเองได้เกิดความรู้ ความเข้าใจในธรรมะ เลยพลอยทำให้คนอื่นได้อานิสงส์ มีความศรัทธา มีความปลื้มปีติ

อย่างบอกว่ายังไม่รู้จักพุทธศาสนา หรือว่าศาสนาอื่นๆ ก็ตาม แล้วเราได้เอาตัวเองเป็นเหมือนกับเครื่องเชื่อมต่อ เอาตัวเองเป็นเครื่องทำให้เขาเกิดความรับรู้ตาม อย่างนี้ก็ทำให้เกิดรูปร่างหน้าตา คือไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาที่ดี แต่มีเสน่ห์ มีลักษณะของการดึงดูด อันนี้แค่ยกตัวอย่าง

แต่ถ้าเป็นคนทั่วไปที่ไม่ได้รูปร่างหน้าตาดีเด่น หรือว่าไม่ได้มีลักษณะที่จะเอาไปพรีเซนต์แล้วเกิดการรู้จัก เกิดการสนใจได้ ก็มักสงสัยกันว่า เอ๊ะ ตัวเองนี่มีบุญ เคยทำบุญเด่นๆ มาทางด้านไหนบ้างไหม หรือว่าจะใช้วิธีใด เป็นเครื่องสังเกต ตัวเองจะได้เอาไปต่อยอด นี่ก็มีหลายคนเคยถามกันมาเรื่อยๆ ว่าถ้าอย่างที่เป็นปกตินี่นะ เรื่องการเจริญสติ เรื่องการภาวนา ก็มักจะสงสัยว่าตัวเองเคยมีดีทางกรรมฐานด้านไหน จะได้เอามาต่อยอดถูก หรือว่าตัวเองมีดีทางการทำทาน การทำบุญด้านไหน จะได้ทำเพิ่มเพื่อหวังจะเห็นผลว่า ฉันมีบุญทางด้านนี้ แล้วก็จะได้เอามาเป็นเหมือนกับทิศทางในการดำเนินชีวิต

ข้อสังเกตง่ายๆ ว่าเราเคยทำดีหรือว่าเคยทำบุญด้านไหนเด่นๆ มา ซึ่งมักพูดในแง่ของการทำทาน การให้ การช่วยเหลือหรือว่าเคยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนามาในด้านใด อะไรแบบนี้

ดูง่ายๆเลยว่า เราทำอะไรแล้วเกิดเป็นประโยชน์กับวงกว้างได้บ้าง อันนี้จะมีเครื่องหมาย มีนิมิตหมายบอก ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องลอกเลียนแบบ หลายคนเกิดแรงบันดาลใจ หรือว่าเกิดอยากจะได้เงินตามคนอื่น ที่เขาทำดี ทำเด่นอย่างเช่น ร้องเพลงแล้วดัง เห็นเพื่อนข้างบ้าน หรือว่าเพื่อนในชั้นเรียน หรือว่าใครที่อยู่ใกล้ตัว เห็นเขาร้องเพลงแล้วเด่นดังได้ ตัวเองก็เสียงคล้ายกับเขาเหมือนกัน ก็หัด ก็พยายาม หรือว่าใช้วิธี ใช้ช่องทางเดียวกันกับเขา แล้วปรากฏว่า ไม่ได้ดังแบบเขา ก็เกิดข้อสงสัย ... เสียงฉันก็ดีพอๆกับเขานะ แต่ทำไมร้องแล้วไม่ดังเท่า หรือว่าไม่ได้รางวัลจากการประกวดแบบเดียวกันทั้งๆที่เดินตามรอยกันมาเลย

ตรงนี้ก็เป็นการแสดงออกของบุญที่ทำมาไม่เหมือนกันได้เช่นกัน อย่างบางคนอาจสวดมนต์ ไม่ใช่แค่สวดให้ตัวเองได้ยินอย่างเดียว แต่เหมือนกับมีการแผ่เมตตาไป ขอให้เทวดาทั้งหลาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้ยินได้ฟัง หรือเอาแบบที่เป็นรูปธรรมชัดเจน บางคนมีหน้าที่สวดนำในวัด หรือในที่ประชุมสงฆ์ หรือว่าบางคนเป็นหัวหน้านักเรียน แล้วได้สวดนำ นี่ก็เป็นการทำบุญด้วยเสียงแล้ว มีผลกระทบกับจิตใจของคนจำนวนมากๆ แล้ว ถ้านำสวดได้อย่างดี นำด้วยความตั้งใจ นำแล้วคนอื่นอยากสวดตามในแบบที่จิตใจเกิดความรู้สึกสงบ เกิดความรู้สึกถึงศรัทธาจากภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่อง “ศรัทธา” ถ้ามีประกายของเสียงออกไปทำให้คนเกิดความรู้สึกตามกันได้มากๆ มีผลมากเลยนะ กับเสียงที่จะทำให้คนในชาติต่อมา ฟังแล้วเกิดความรู้สึกติดใจ หรือเกิดความรู้สึกว่ามีพลังดึงดูดบางอย่างที่อยากอุดหนุน อยากจะตามไปซื้อเก็บไว้ทุกอัลบั้มอะไรแบบนี้

บางคน ทำธุรกิจอย่างอื่นไม่รุ่งเท่าไหร่ แต่พอมาทำเรื่องเกี่ยวกับดอกไม้ การจัดดอกไม้ หรือว่าการตกแต่งสวยๆ งามๆ อะไรแบบนี้แล้วรุ่งขึ้นมาทันที มีแต่คนแห่เข้ามาชมว่า จัดดอกไม้สวย เก๋ แปลก ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน นี่ก็เป็นประเภทที่เหมือนกับอาจเคยถวายดอกไม้พระ แต่ไม่ใช่ถวายแบบ ซื้อจากตลาดมาแล้วใส่ที่ฝาบาตรของพระ แบบนั้นไม่ได้ใช้กำลังใจอะไรเท่าไหร่ แต่เป็นประเภทที่ ที่ผมเห็นนะ หลายคนเลยที่คิดเอง ว่าอยากจะจัดให้งานที่เกี่ยวกับงานทางศาสนาอะไรแบบนี้ ให้มีความสวยงาม ประดับประดาตกแต่งสถานที่ให้เกิดความรู้สึกว่า เข้ามาแล้วอย่างกับสวรรค์

พวกนี้เอาแค่กำลังใจ เอาแค่จิตใจ วาดภาพขึ้นมาราวกับว่า มีสวรรค์ปรากฏอยู่ในใจ แล้วทำให้สำเร็จตามใจได้ แบบนี้นอกจากจะมีรูปร่างหน้าตางดงาม หรือว่ามีสถานที่อยู่ที่เรียกว่า ไปเกิดในท้องของคนที่อยู่ในตระกูลแบบว่ามีบ้าน มีทรัพย์สินศฤงคารที่น่าดูน่าชม หรือว่าโอ่อ่าอลังการ

นอกจากนั้น ถ้าบุญไม่ได้ให้ผลในแบบไปเกิดกับคนที่มีบ้านสวย ก็อาจออกแนวที่ว่าถ้าทำอะไรของตัวเอง ทำธุรกิจของตัวเอง ที่เกี่ยวข้องกับความสวยความงาม การประดับประดา ตกแต่ง ก็เกิดความรุ่งเรือง เกิดความรู้สึกเหมือนกับมีชื่อเสียงหอมหวน ใครต่อใครอยากจะมาจ้างทำ มาซื้อหา อย่างพวกสถาปนิก ก็จะมีสถาปนิกที่เก่ง แล้วก็ไม่เก่ง มีสถาปนิกที่ออกแบบสวย แล้วก็ไม่สวย มีสถาปนิกที่ต่อให้ใช้เครื่องมือ ใช้ซอฟต์แวร์ยังไง ออกมาก็มีจุดที่ทำให้คนรู้สึกว่า ไม่ค่อยชอบ ไม่ค่อยอยากจะดู ในขณะที่บางคน ออกแบบกับมือ แค่ร่างๆ ก็กลายเป็นแบบที่สวยงามขึ้นมาได้ พวกนี้ก็เหมือนเคยมีส่วนที่ทำให้คนจำนวนมาก ได้มีที่อยู่ที่อาศัยที่สวยงาม หรือว่าเคยไปทำงานประดับตกแต่ง ซ่อมแซมโบสถ์อะไรแบบนี้

สรุปง่ายๆว่า ถ้าอยากจะรู้ว่าตัวเองเคยทำบุญที่มีความเด่น ที่มีลักษณะเฉพาะเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองมาแบบไหน ก็ให้สังเกตเอาว่า ในชีวิตนี้ทำอะไรออกไปด้วยความสามารถ ด้วยความรู้ความเข้าใจตามมีตามเกิด แล้วเกิดประโยชน์ แล้วเกิดมีค่า มีราคากับคนทั่วไป

อย่าสังเกตเอาจากเงินอย่างเดียวนะ เพราะว่าในช่วงเริ่มต้นของหลายๆ คน โดยเฉพาะวัยรุ่น หรือวัยเด็กบางทีถ้าเราไปดูกันจริงๆ ความสามารถหรือว่าอะไรที่เป็นประโยชน์ที่ออกมาในช่วงเด็ก ช่วงวัยรุ่น ยังไม่ได้ทำเงินหรอก แต่จะเรียกความสนใจ หรือว่าทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นได้กับเพื่อนพ้อง กับคนในครอบครัว มีใครต่อใครให้ความรู้สึกว่า เรามีประโยชน์ เรามีราคาทางด้านนั้น

แค่ตรงนี้ ถ้าเราไม่ละเลย แล้วมาพยายามที่จะพัฒนาให้กลายเป็นความสามารถ กลายเป็นสิ่งที่เราจะทำจริงๆ ด้วยใจรักก็เท่ากับเราเดินไปตามทางที่บุญเก่าปูทางให้ไว้แล้ว ขอยกตัวอย่าง อย่างผมเอง ผมรู้ตัวว่ามีความสามารถ มีความถนัดในเรื่องของการเขียน ตั้งแต่ประมาณ ป.5 ป.6 นะ

ยุคนั้น คนรอบข้างไม่มีใครที่จะเอาดีทางเรื่องการเขียนกันสักเท่าไหร่ ไม่มีใครเกิดความมั่นใจว่าจะเขียนอะไรให้ใครอ่านได้ ผมก็เป็นคนที่เหมือนกับ กลัวเหมือนกันว่า ถ้าเราขีดเขียน เราแต่งเรื่องอะไรไปจะเป็นการผิดวัย ไม่สมวัยหรือเปล่า คือไม่มีผู้ให้การสนับสนุนเลย แต่ว่าพอมีเพื่อนที่เขาเขียนนิยาย เขียนแค่สามหน้านะ แต่เรารู้สึกว่า เขาเขียนแล้ว มันอ่านสนุก ก็เกิดความรู้สึกอยากเขียนนิยายตามเพื่อนบ้าง ซึ่งเด็ก ป.5 ป.6 พอรู้สึกว่าเด็กวัยเดียวกันมีความสามารถเขียนนิยายได้ แค่สามหน้านะ แต่ว่าเป็นอะไรที่สนุกน่ะ เราก็รู้สึกว่าเราก็ต้องทำได้เหมือนกัน

ทีนี้ประเด็นคือว่า พอลองทำ พอมีอะไรมาจุดประกายแล้วเราลองทำ ก็พบว่า มีเพื่อน มีพี่น้องของตัวเอง คุณพ่อ คุณแม่ บอกว่า อ่านแล้วสนุก เด็กนี่พอทำอะไรเอง ริเริ่มทำอะไรเองแล้วมีคนชม ก็เกิด
กำลังใจ Point มันอยู่ตรงนี้นะ ถ้าเราไม่ได้ลงมือทำ บางทีก็ไม่มีประตูเปิดให้บุญเก่าเข้ามาหา อย่างถ้าเห็นเพือนเขียนนิยายสามหน้า แล้วผมไม่ได้เกิดความรู้สึกว่าอยากจะเขียนบ้าง ไม่ได้เกิดความกล้าที่จะเอาชนะความไม่รู้แบบในวัยนั้น ก็จะไม่เห็นว่า มีการตอบสนองจากคนอ่าน หรือว่าคนที่มายืนต่อคิวกันเลยสมัยนั้น ในห้องยังจำได้ความรู้สึกตรงนั้น คือภูมิใจมาก แล้วก็ทำให้เราเขียนมาเรื่อยๆ แต่ว่าเขียนแบบไม่ต่อเนื่องเท่าไหร่ คือจะว่าเป็นคนมีพรสวรรค์ทางการเขียนเสียทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะว่าในหัวช่วงสมัยเด็กๆ ช่วงสมัยวัยรุ่น ยังเรียบเรียงความคิดไม่ค่อยดี ไม่ค่อยเป็นเส้นตรง ไม่ค่อยเป็นระบบนะ จะนึกอะไรได้ตามอารมณ์ ก็เอามาเขียน เอามาเหมือนกับปรุงแต่งให้เกิดความพอใจเฉพาะตัวเอง บางทีใครอ่านแล้วสนุก ไม่สนุก เราก็ไม่รู้นะ

แต่ว่าพอจุดชนวนติด เขียนแบบที่ทำให้คนอื่นเขาอ่านแล้วเกิดความชอบใจได้ ก็กลายเป็นเส้นทางที่พอเรามาสนใจพุทธศาสนา ก็เขียนเรื่องแบบที่เกี่ยวกับธรรมะ ซึ่งตอนแรกเขียนไว้อ่านเองนะ เขียนเป็นชอร์ตโน้ต
(short note) ไว้เยอะแยะเลย เขียนไว้เป็นสมุดเล่มเล็กๆ ยังเสียดาย หายไปแล้วนะ อยากเอากลับมาอ่านอีกเหมือนกัน เพราะว่านั่นเป็นโรงเรียนนักเขียน

อย่างมีโอกาสบวชสองเดือน เพื่อนพระได้อ่านก็เหมือนกับมีเป็นคำที่ทำให้เกิดความรู้สึกมากๆเลยว่า เราน่าจะเป็นประโยชน์กับศาสนาได้ ถ้าหากว่าเราเขียนในแบบที่ทำใหมีความรู้สึกว่า ง่ายที่จะอ่าน แล้วก็น่าติดตาม ใช้ถ้อยคำที่ทำให้เกิดภาพ เห็นภาพได้ แล้วก็เกิดความกระจ่างได้ คนร่วมสมัยที่ยังไม่ได้สนใจ หรือว่ายังไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับศาสนา จะได้มาเข้าอกเข้าใจ หรือหันกลับไปทำความรู้จักกับพระพุทธเจ้าอีกครั้ง

ตรงนี้นี่ก็เป็นการพบตัวเอง ว่าสามารถทำประโยชน์ คือจากศักยภาพ หรือว่าความสามารถเท่าที่ตัวเองมีอยู่ ซึ่งตอนแรกไม่ได้นึกว่าการเขียนจะเป็นประโยชน์อะไรได้สักเท่าไหร่ แต่พอเรามาเหมือนกับรู้จักประโยชน์ของชีวิต รู้จักกับประโยชน์ของสิ่งที่อยู่ในชีวิตของตัวเอง แล้วเอามาขยาย เอามาทำให้คนอื่นได้รับประโยชน์ตาม ก็กลายเป็นการรู้จักตัวเองขึ้นมา

จริงๆแล้วอยากจะบอกว่า นี่ไม่ได้ถ่อมตัวแต่พูดจริงๆว่า ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีพรสวรรค์ด้านการเขียน เพราะว่า ต้องใช้ความพยายามมากมายที่จะเขียน ช่วงแรกๆ ที่จะเขียนออกมาแต่ละบรรทัด หรือว่าเค้นออกมาแต่ละคำ จำได้ว่า ยาก แล้วก็สมองไม่ได้ทำงานแบบเป็นเส้นตรงเหมือนกับนักเขียนที่เขามีพรสวรรค์กันจริงๆ

เอาง่ายๆ อย่างผมเขียนบทความธรรมะครั้งแรกเลยนี่ ตอนนั้นเอาไปลงในนิตยสารพ้นโลก อายุประมาณ 20 กว่าๆ 21 -22 อะไรแบบนี้นะ ยังจำได้ว่าใช้เวลาเขียนบทความแรกเป็นเวลา สอง ถึงสามเดือน แก้อยู่นั่นแหละ แก้แล้วแก้อีกๆ แต่ละบรรทัด แก้ซ้ำเป็นร้อยๆ รอบ แล้วก็เขียนเสร็จบางทีก็ย้อนกลับมาแก้ใหม่อีก ตราบเท่าที่ยังไม่รู้สึกว่าดี ก็ยังจะไม่ส่งออกไป

ทีนี้พอส่งไปได้ ยังจำความรู้สึกนี้ได้อยู่ โอ้โห เป็นสิ่งที่ยากมาก แล้วก็คงเขียนได้ชิ้นเดียวในชีวิต เป็นบทความที่ภูมิใจมากที่เขียนแล้วรู้สึกว่า ภูมิใจในตัวเอง จำได้ว่าชื่อบทความคือ “ปฏิบัติธรรมด้วยกระดาษ” คือคิดอะไรออกมาก็จดความคิดไปตรงๆเลย เหมือนกับจะได้มีสติ รู้ความคิดของตัวเองในแต่ละขณะ

แค่เรียบเรียงความคิดที่จะเขียนบทความ ประเด็นนี้ หัวข้อนี้ ใช้เวลา สองถึงสามเดือน แต่พอออกไป ปรากฏว่าได้รับความภูมิใจกลับมาว่า มีคนอ่านแล้วไปเขียนตาม แล้วก็เกิดความรู้สึกว่า ตัวเองมีสติ รู้ความคิดดีขึ้นอะไรอย่างนี้ เลยกลายเป็นบันไดขั้นต่อๆ มา ก็มีบทความเขียนมาเรื่อยๆ ลงในนิตยสาร

ตอนนั้นเขียนก็ไม่ได้ค่าจ้างนะ ไม่ได้คิดว่าจะเอาค่าจ้างอะไร เป็นเรื่องของความพอใจล้วนๆ แล้วก็เห็นว่าตัวเองสามารถทำประโยชน์ในทางนี้ได้ ฉะนั้น สิ่งที่เราจะได้เป็นข้อสรุปว่า ตัวเองจะค้นพบสิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล หรือว่าเป็นความสามารถที่จะกระจายประโยชน์ไปให้คนอื่นได้แค่ไหน ดูง่ายๆ นะครับว่า เราใช้ความสามารถของตัวเองไปทำให้คนอื่นได้รับประโยชน์อะไรบ้าง แล้วอย่าดูเบา อย่าดูถูกว่า นี่ไม่ได้เงิน อย่าไปคิดว่า ถ้าจะเอาชีวิตให้รอด เอาตัวรอดได้ แล้วไม่ทำตัวแบบโลกสวย จะต้องทำงานในแบบที่ได้เงินเท่านั้น

งานในแบบที่ได้เงินก็ต้องทำนะ แต่ว่าเราหัด ต้องหัดรักงานอดิเรก หรือว่าสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข สิ่งที่ทำแล้วได้รับความภาคภูมิใจเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง โดยได้รับคำยืนยันจากคนรอบข้าง

อย่างบางคนบอกว่า ตัวเองไม่ถนัดอะไรเลย ถนัดสะสม ... มีความรู้เกี่ยวกับแสตมป์ หรือแจกัน บางคนสะสมหอย ทีนี้มองเผินๆ ก็เหมือนกับว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ถ้าหากว่าสะสมมากพอ ถึงจุดหนึ่งที่ให้ความรู้แก่คนอื่นได้ หรือสร้างพิพิธภัณฑ์เล็กๆ เอาเฉพาะคนในหมู่บ้านให้มาดู จัดซุ้ม จัดบางส่วนของพื้นที่ในบ้านตัวเองให้คนเข้ามาเยี่ยมชม แค่นี้ก็ถือว่าเป็นการแพร่ประโยชน์ให้กับคนอื่นได้แล้ว

ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องทางศาสนาอย่างเดียว แต่เป็นอะไรก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกว่า เรามีค่า ความสามารถของเรามีค่ากับคนที่อยู่รอบข้าง พอคนที่มีประสบการณ์หรือว่าความสามารถในการทำให้ใครต่อใครรอบข้างได้รับประโยชน์จากชีวิตตัวเองแล้ว พอมาถึงจุดที่เราเข้ามาศึกษา เข้ามาเข้าใจธรรมะ ก็จะเกิดไอเดียขึ้นมาเองว่า เราสามารถทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นในแบบที่รู้สึกว่า นี่คือราคาขั้นสูงสุดของชีวิต

อย่างคนที่เข้ามาชอบธรรมะ ก็ต้องรู้สึกใช่ไหมว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตก็คือ แสงสว่างทางใจ หรือว่า สิ่งที่จะทำให้จิตวิญญาณของตัวเอง ก้าวหน้า พัฒนาขึ้นไปสู่เส้นทางของการพ้นทุกข์ไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าเราทำให้คนอื่นเขาพ้นทุกข์ตามได้ ไม่ว่าจะด้วยความสามารถแบบไหน ก็จะมองออกว่า เรามีส่วนช่วยให้ธรรมะ มีแสงสว่างกระจายไปหาคนอื่นแบบเทียนต่อเทียนได้อย่างไร ตรงนี้นี่ ก็จะมาได้ข้อสรุปว่า บุญที่เด่นๆ ที่เราเคยทำมา ก็คือสิ่งที่เราสามารถใช้ทำประโยชน์ให้แก่คนรอบข้างได้นั่นเองนะครับ จะเห็นจากประสบการณ์ตรงของชีวิต ซึ่งไม่มีใครมารู้ดีได้เท่าเรานะ ว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้างนะ
!
https://www.youtube.com/watch?v=FKZi__75-6U

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น