EP 95 | พฤหัส 17 มีนาคม 2565
เกริ่นนำ : ก้าวข้ามจากเขตคนฟุ้งซ่าน
สู่เขตนักเจริญสติปัฏฐาน
พี่ตุลย์ : ชีวิตเป็นสิ่งที่อาศัยความรู้สึกเอาเป็นหลัก
ของแต่ละคนนี่ไม่เหมือนกัน
อย่างบางคนบอกว่าตัวเองเป็นคนจน
เอาอะไรมาวัดว่าเราจน
ก็ขึ้นอยู่กับความอยาก
ขึ้นอยู่กับความรู้สึกขาด
หรือความรู้สึกพร่องในชีวิต
ว่าเราพร่องมากกว่าคนส่วนใหญ่ไหม
อยากได้อะไรแล้วไม่ได้ดั่งใจ
เหมือนคนส่วนใหญ่ไหม
หรือ
ถ้าบอกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ในเขตคนรวย
ก็อาจจะอาศัยการเปรียบเทียบว่า
ตนสามารถจับจ่ายใช้สอยได้ฟุ่มเฟือย
หรือบางคน
บอกว่าตัวเองอยู่ในเขตคนรวย
เพราะไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าที่กําลังมีอยู่
ความรู้สึกคือ .. สมมุติว่าทั้งเนื้อทั้งตัวเลย
เงินสดอยู่ในธนาคารนี่
มีหนึ่งแสนบาท
คนหนึ่งบอกว่า ชีวิตของตัวเองอยู่ในเขตคนจน
ขณะที่อีกคนอาจจะบอกว่าชีวิตของตน
อยู่ในเขตคนรวยแล้ว
ไม่ได้โกหกทั้งคู่
ไม่ได้แกล้งหลอกตัวเองทั้งคู่
แต่รู้สึกอย่างนั้นจริง
ๆ
ขึ้นอยู่กับว่าเราอาศัยความรู้สึกแบบไหนมาตัดสิน
ความรู้สึกที่ชัดเจนอยู่กับใจตัวเอง
ที่รู้อยู่กับตัวเอง เป็นปัจจัตตัง
บอกใครไม่ได้นี่แหละ
ที่เป็นตัวตัดสินว่าชีวิตของเราอยู่เขตไหน
หากไม่เอาเรื่องรวยเรื่องจน
เอาเรื่องโชคดีโชคร้าย
เรื่องชะตา อยู่ในเกณฑ์ดีหรือเกณฑ์ร้ายในแต่ละช่วง
บางคน มีความรู้สึกว่าตัวเองเข้าเขตชีวิต
ในแบบที่เป็นเขตชะตาร้าย
เพราะว่าทําอะไร ๆ
ผิดหมด ตัดสินใจอะไรพลาดหมด
ดูเหมือนกับว่าใคร
ๆ ทั้งโลกมองตัวเองไม่ดีหมด
แล้วไป ๆ มา ๆ ที่แย่ที่สุด
ก็คือตัวเองนั่นแหละ
ที่ซ้ำเติม แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองนี่ไม่เอาไหน
ห่วยแตก
ทําอะไรไม่เข้าท่าผิดพลาดไปหมด
คิดอะไรไปพูดอะไรไป
เหมือนกับทำให้ชีวิตถูกกดต่ำลงตลอด
อย่างนี่ นี่ก็ประมาณว่าเข้าเขตชะตาชีวิตร้าย
ทุกอย่างไม่เป็นใจ
มีแต่ประดังเข้ามา
ถาโถมเข้ามา ทําให้รู้สึกว่าตัวเองนี่
กําลังอยู่ในภาวะที่ทั้งโลก
กําลังรุมทําร้าย
แต่ถ้าบอกอยู่ในช่วงที่ชะตาดี
อะไร ๆ ปรุงแต่งใจ
ให้รู้สึกว่า ฉันโชคดีจัง
เดี๋ยวก็มีลาภลอยมา
เดี๋ยวก็มีคนเลื่อนยศเลื่อนตําแหน่งให้
เดี๋ยวก็มีคนหาเงินให้
ทําให้รู้สึกดี ทําอะไรนิด
ๆ หน่อย ๆ ก็ได้รับคําชม
ได้รับการสรรเสริญ
ได้รับการอุ้มชู
อย่างนี้ก็เรียกว่า
ชีวิตปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกว่ากําลังเข้าเขตคนชะตาดี
ที่พูดมาทั้งหมดเพื่ออะไร
เพื่อบอกว่าชีวิตมีเขตอยู่จริงๆ
เราไม่ต้องไปพูดเรื่องชะตา
เราไม่ต้องไปพูดเรื่องรวยเรื่องจนก็ได้
พูดแค่เรื่องความรู้สึก
รู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตแบบไหนอยู่
ดีหรือไม่ดี น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ
แล้วเป็นความรู้สึกที่แกล้งหลอกตัวเองไม่ได้
บางที บางคน เกิดจากความคิดที่ห่อหุ้มอยู่หนาแน่น
เกินกว่าที่จะย้ายความคิดออกจากหัว
คนอื่นเขามองว่าแบบนี้โชคดี
วาสนาสูงมาก
แต่ความรู้สึกตัวเอง
ความคิดที่กัดกร่อนหัวใจอยู่ ที่สะสมมานาน
พอกหนามานานนี่ บอกตัวเองว่าเป็นคนที่ไม่ได้เรื่อง
เป็นคนที่เหมือนกับอะไร
ๆ ดูขาด ..
ขาดตกบกพร่อง ดูไม่สมใจ
ดูไม่เต็มอิ่ม
เหมือนกัน อย่างเวลาที่คนเรา
มาฝึกสมาธิ
คนมักเข้าใจว่า
การทําสมาธิคือเรื่องเล่น ๆ คืองานอดิเรก
คือเรื่องที่จะมาปัดเป่าความฟุ้งซ่านว้าวุ่นใจ
ชั่วคราว
มองสมาธิเป็นของเล่น
เป็นของผ่านมาแล้วผ่านไปแบบดอกไม้ริมทาง
จุดหมายหลักของชีวิตคนส่วนใหญ่หาเงิน
หาความบันเทิง
มีครอบครัวที่อบอุ่น
หรือว่าได้เล่นมือถือตลอดวันตลอดคืน
แล้วแต่ว่าจุดประสงค์ที่ใจไปปักนี่คืออะไร
แต่ที่จะมาทําสมาธิ
แล้วบอกตัวเอง
สงสัยไม่ถูกโฉลกกับการนั่งสมาธิ
ไม่ว่าจะแบบไหน
มันฟุ้งซ่าน อยากจะออกจากสมาธิ
อยากจะไปเล่นเกมส์
อยากจะไปคุยกับใครสักคนหนึ่ง
อยากจะไปแชท อยากจะไปดูซีรี่ส์
แล้วก็บอกว่า ชาตินี้ตัวเองคงไม่มีหวังได้ทําสมาธิ
กับใครเขา
แล้วก็พอฟุ้งจัดขึ้นมาที
ชีวิตถาโถมเข้ามา
ทําให้ใจถูกปรุงแต่งไปในทางแย่
ก็คิดอยากจะมาทําสมาธิเสียอีกทีหนึ่ง
คนส่วนใหญ่เป็นแบบนี้
.. อันนี้เรียกว่า คน
มนุษย์ทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะชาติใดชาติหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่หลาย
ๆ ชาติ
ถ้ามาจับพลัดจับผลู
มีวาสนาได้เกิดเป็นมนุษย์
ก็มักจะอยู่ในเขตของมนุษย์
ผู้พยายามทําสมาธิ หรืออยากทําสมาธิ
แต่ทําไม่สําเร็จ
เพราะว่าบอกตัวเอง ไม่มีกําลังมากพอ ไม่มีบุญพอ
การจะทําสมาธิได้
แล้วมีความรู้สึกเหมือนขนม รู้สึกมีความสุข
ต้องอาศัยอะไรบ้าง?
ต้องอาศัยความรู้สึกดี
ๆ กับสมาธิ
ต้องอาศัย background ทําความเข้าใจพื้นความรู้อะไรแค่ไหน
แต่ละคน ก็จะเห็นว่าตัวเอง
มาถึงจุดที่
มองสมาธิเป็น สิ่งที่ไกลเกินเอื้อม
หรือว่าเอื้อมคว้ามาได้แล้ว
ถ้าหากเอื้อมคว้ามาได้แล้ว
แล้วรู้สึกว่าตัวเองทําได้เรื่อยๆ
ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่ทําได้เรื่อย
ๆ
อย่างนี้เรียกว่า มีชีวิตที่เข้าเขต
ความเป็นนักทําสมาธิ
คือนักทําสมาธิ หมายถึงว่า
เรารู้สึกว่าตัวเอง มีความสามารถมากพอ
ไม่ได้พูดเรื่องบุญเรื่องบาปอะไร
แต่มีความสามารถมากพอ
มีความเข้าใจมากพอ
มีมุมมองภายในที่จะเห็นว่า
ดําเนินจิตอย่างไร
ตั้งจิตไว้อย่างไร วางจิตไว้อย่างไร
ถึงเกิดภาวะที่เรียกว่า
สมาธิ ขึ้นมาได้
นี่ อย่างนี้ จะยกระดับขึ้นมาเหนือ
นักพยายามทําสมาธิ
หรือคนพยายามทำสมาธิทั่วไป
พอเข้าเขตทําสมาธิได้
ทําไปทําไป ในที่สุด จะข้ามไปอีกเขตหนึ่ง
เป็นเขตของผู้มีจิตทรงสมาธิ
คือไม่ต้องพยายามทํา
ไม่ต้องพยายามมาบีบคั้นหรือกดดันตัวเอง
แล้วก็ไม่ใช่แบบว่าทําได้บ้างไม่ได้บ้าง
แต่จิตมีปกติเป็นสมาธิอยู่เอง
อย่างนี้เรียกว่า ผู้มีจิตทรงสมาธิ
เป็นอีกเขตหนึ่ง ของชีวิต
ไม่ใช่แค่ พยายามทํา
หรือว่าทําได้บ้าง ทําไม่ได้บ้าง
แต่จิตโดยรวม มีปกติเป็นสมาธิได้
เพราะฉะนั้น
ตอนที่ใครก็ตามที่อยู่ในห้องนี้
แล้วยังมีความรู้สึก.. แหม อยากทําสมาธิ
แต่พอทําแล้วมีความทุกข์
มีความอึดอัด ไม่เข้ากับชีวิตตัวเองเลย
ก็
ขอให้พิจารณาว่าเรายังอยู่ในเขตคนธรรมดา
ที่ต้องถูกความฟุ้งซ่าน
รุมเร้า ยังไม่เข้าเขตคนทําสมาธิ
ได้แต่อยู่ในเขต
พยายามทําสมาธิ ยังไม่ถึงเขตที่จะได้มีสมาธิกับเขา
ซึ่งตรงนี้ถ้าเรามองเป็นภาพรวมภาพใหญ่ว่า
การทําสมาธิ ไม่ใช่แค่การมานั่งจ้องอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง
แป๊บ ๆ
แต่เป็นเขตของชีวิต
เขตที่ว่า คุณจะอยู่ในเขตคนฟุ้งซ่านทั่วไป
กับเขตคนที่ทําสมาธิเป็น
หรือเขตคนที่มีจิตทรงสมาธิได้
นี่เป็นเรื่องข้ามเขตชีวิตกัน
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่อะไรแค่จุดเริ่มต้นว่าพยายามแล้วแต่ยาก
หรือว่าพยายามแล้วแต่ทําไม่ได้
ตรงนั้น คุณยังแค่ไม่
ข้ามเขต .. ถ้าข้ามเขตไปแล้ว ไม่ต้องพยายาม
อย่าไปสงสัยว่า ทําไมสําหรับบางคนถึงยากนัก
ที่จุดเริ่มต้น
ทีนี้ ที่เราทํา
ๆ กันอยู่ในห้องวิปัสสนานุบาล
ไม่ใช่
แค่เรื่องของการข้ามเขตจากชีวิตฟุ้งซ่าน
มาเป็นเขตของนักทําสมาธิ
หรือว่าเขตของผู้มีจิตทรงสมาธิเท่านั้น
แต่เป็นเขตของสติปัฏฐาน
ซึ่งเป็นอะไรอีกเขตหนึ่ง
แยกออกมาเป็นต่างหากอีก
จากพวกทําสมาธิทั่วไป
มีพรมแดนที่เป็นต่างหากจากทุกเขตที่เป็นที่รู้จักกันในสังสารวัฏทั้งหมด
เพราะเป็นเขตที่ใกล้กับมรรคผล
อย่างพวกเราหลายๆ
คนในนี้เริ่มเข้าใจว่า
สมาธิ ไม่ใช่ธงชัย
แต่เป็นแค่จุดเริ่มต้น
ที่เราจะ
ยกขึ้นทาง ที่เรียกว่าวิปัสสนา
ถ้าไม่เข้าใจ มองภาพไม่ออกว่าวิปัสสนาคืออะไร
ก็เอาเป็น เล็งเข้ามาที่ประสบการณ์ภายใน
อย่างที่หลาย ๆ คนเกิดความรู้สึกขึ้นมาวันต่อวัน
เพิ่มขึ้น ๆ ทุกทีว่า
กายนี้ใจนี้ เป็นแค่ธาตุหก
ที่คงรูปคงร่างอยู่เป็นธาตุดิน
ไม่ใช่ดูเอาด้วยตา
ดูเอาด้วยตา อย่างไรก็ไม่สามารถที่จะเห็นว่าเป็นธาตุดิน
แต่ต้องสัมผัสเอาด้วยใจ
ใจที่เริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิ
แล้วมีมุมมองว่าเป็นวัตถุธาตุ
ที่มีความเสมอกัน กับวัตถุธาตุอื่น
ๆ รอบห้อง รอบตัว รอบโลก
ซึ่งอุบายวิธี
ก็คือเราเอาวัตถุนี้หมายเลขหนึ่ง ไปยืนเทียบกับผนัง
ซึ่งก็จะก่อให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า
นี่ก็วัตถุชิ้นหนึ่ง นั่นก็วัตถุอีกชิ้นหนึ่ง
แล้วเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า
ถ้าสามารถหลับตา
แล้วสัมผัสได้ถึงวัตถุรอบ
ๆ ตัว
ก็รู้สึกขึ้นมาจริง
ๆ ว่าทั้งหลายทั้งปวง เป็นธาตุดินที่คงรูปคงร่าง
แล้วก็กินพื้นที่ว่าง
เป็นต่างหากจากกัน แยกจุดแยกตําแหน่งจากกัน
จุดเริ่มต้นที่จะให้รู้สึกว่ากายใจเป็นธาตุหกจริง
ๆ ก็เอากันที่ตรงนี้ในห้องนี้
แต่จุดที่เป็นจุดเชื่อมต่อ
ก็มีความสําคัญ
จากเขตของผู้ทําสมาธิธรรมดา
มาสู่เขตของ นักเจริญสติปัฏฐาน
เราเจริญอานาปานสติกันมาก่อน
แบบที่ทําให้เกิดความคุ้นเคยว่า
ภาวะในกายในใจนี้เป็นอย่างไร
กําลังหายใจออกอยู่
ภาวะในกายในใจนี้เป็นอย่างไร
กําลังหายใจเข้าอยู่
ตัวที่เรามองเห็นว่า
ภาวะทั้งหลายทุกลมหายใจเข้าออก
สักแต่เป็นของที่ปรุงแต่งขึ้นมาชั่วคราว
จากความคิด ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์อะไรก็ตาม
อย่างนี้ ก็เป็นอีกจุดหนึ่ง
ที่บอกได้ว่าเราอยู่ในเขตของผู้เจริญสติ
แล้วผู้เจริญสติปัฏฐาน
มีมาตรวัดที่ชัดเจน
ที่เด่นชัดออกมาจากนักทําสมาธิอย่างไร
ก็ดูตรงที่ว่าเข้าจุดที่จะรู้สึก
ว่าจิตสัมผัสอะไร ๆ แล้ว
สักแต่ว่าเห็น
สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าคิด สักแต่ว่าสัมผัสรู้
โดยไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า
สิ่งเหล่านั้นเป็นตัวเป็นตนหรือเปล่า
ถ้าเข้าจุดนี้ ถ้าเริ่มเข้าจุดนี้ได้
จะจากการเดินจงกรมหลับตา
หรือจะจากการเจริญอานาปานสติก็ตาม
เราบอกตัวเองได้ว่า
เราย้าย.. อัพเกรดจากเขตของนักทําสมาธิ
ขึ้นมาเป็นนักเจริญสติได้จริง
ๆ
และยิ่งถ้าหากว่า ยกระดับการเข้าจุด
เป็นการเข้าฝัก
คือรู้สึกอยู่ได้เรื่อย
ๆ จิตมีความเป็นสมาธิ นิ่งเงียบสงบ ว่าง
ไม่ปรุงแต่งอะไรที่เกิน
ๆ แต่มีความปรุงแต่งในแบบที่จะสัมผัสรู้ตามจริง
ว่าอะไร ๆ ที่กําลังปรากฏอยู่ไม่ว่าจะกายนี้ใจนี้
หรือว่าสิ่งภายนอกก็ตาม
สักแต่ว่า เป็นเครื่องกระทบกันและกัน
มีอายตนะมาประจวบกัน
อายตนะภายใน อายตนะภายนอก
ทั้งฝั่งเราฝั่งนี้ ทั้งฝั่งเขาฝั่งโน้น
ไม่มีใครด้วยกันทั้งคู่
ไม่มีตัวใคร ไม่มีบุคคล ไม่มีเราเขา
มีแต่ภาวะของธาตุ มีแต่ภาวะของขันธ์
ด้วยอาการที่สักแต่ว่า ๆ อยู่
นี่ ตรงนี้จะเป็นเขตอีกเขตหนึ่ง
ที่ทําให้เรามีความเข้าใจในชีวิตอีกแบบหนึ่ง
มองภาพชีวิตกับตาลปัตรกับชาวบ้านเขาหมดเลย
ไม่มีเขตคนรวยคนจน
ไม่มีเขตคนชะตาดี ชะตาร้าย
ไม่มีเขตคนพยายามทําสมาธิ
นักทําสมาธิ หรือว่าผู้ทรงสมาธิ
มีแต่เขตของจิต ที่มีความรับรู้ว่า
ทั้งหลายทั้งปวงมีแต่ธาตุ
ทั้งหลายทั้งปวงมี มีแต่ขันธ์
ที่มาหลอกให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา
เป็นขณะ ๆ
ถ้าหากว่าขณะไหน
จิตมีความว่าง ไร้ความคิด
ไร้ความปรุงแต่งในเชิงที่เอาเข้าตัว
มีแต่ความปรุงแต่งในเชิงสัมผัส
รู้ตามจริง
อะไร ๆ สักว่าเป็นธาตุหก
อะไร ๆ สักว่าเป็นขันธ์ห้า
ไม่ว่าฝั่งนี้หรือฝั่งไหน
ตัวนี้.. สักแต่ว่า
ๆ ไปเรื่อย ๆ ในที่สุด จะเข้าเขตอีกเขตหนึ่ง
ข้ามเขตไป ข้ามเขตนักเจริญสติไปเป็นเขตของผู้มีสติที่ทรงอยู่
หรือว่าผู้ทรงสติ แบบที่พระพุทธเจ้าอยากให้มีสติแบบนั้น
มีสติแบบนั้น ถ้าเป็นระดับสูงสุดก็เรียกว่า
มีสติที่เป็นธรรมชาติอยู่ในตัวเอง
จิตพรากออกมา
จากขันธ์ทั้งห้า
แล้วก็มี
ความรู้อยู่ตลอดเวลา ระลึกได้อยู่ตลอดเวลาว่า
อะไร ๆ ที่ปรากฏโดยความเป็นขันธ์ห้า
และธาตุหก
ไม่มีตัวใคร ไม่ต้องใช้ความพยายาม
ไม่ต้องใช้ความคิด
อันนั้นเป็นเขตที่ต่างหากไปเลย
หลุดไปเลย
พ้นไปจากที่ เรา ๆ
ท่าน ๆ นี่จะไปรับรู้ว่ามีความสุขขนาดไหน
รู้ได้แค่อนุมานว่า
คงไม่มีความทุกข์อีกแล้ว
เพราะว่าจิต
แยกออกมาเป็นอีกเขตหนึ่ง
เป็นเขตของความว่าง
จากความรู้สึกในตัวตน
เขตของความว่างจากการปรุงแต่ง
ว่ามีตัวเรา
พวกเราก็กําลังกระต้วมกระเตี้ยมดั้นด้นกันอยู่
แล้วก็หลาย ๆคน ก็แสดงสัญญาณบอกว่า
อาการสักแต่ว่า เข้าเขตสักแต่ว่า
นี่ไม่ได้ยากอย่างที่คิด
ขอแค่เอาจริง
แล้วก็ มีความเข้าใจ
ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอานาปานสติมาอย่างไร
สอนให้สัมผัสรู้
ความเป็นธาตุหกอย่างไร
อันนี้เราสามารถเอาไปเทียบเคียงกันได้กับพระไตรปิฎกนะครับ
_____________
วิปัสสนานุบาล EP 95 | พฤหัส 17 มีนาคม 2565
เกริ่นนำ : ก้าวข้ามจากเขตคนฟุ้งซ่าน
สู่เขตนักเจริญสติปัฎฐาน
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=OYXz7doo8kY&t=65s