วิปัสสนานุบาล EP 115 | พฤหัส 14 เมษายน 2565
ปิดท้าย : การขอขมา การขออโหสิกรรม
พี่ตุลย์ : วันนี้ก็เป็นเทศกาล ของการขออโหสิกรรม
แล้วจะรับพรอะไรก็แล้วแต่
แต่จริงๆ
ผมก็ไม่ถนัดให้พร เพราะไปติดใจที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ครั้งหนึ่ง
เวลามีผู้ไปทูลขอพร
พระองค์บอกว่า เราตถาคตเลิกให้พรนานแล้ว
แต่ก็ยังทรงประทานอนุญาต
สำหรับภิกษุที่ชาวบ้านขอพร
ว่ายังเป็นนิสัยชาวโลก
ที่ยังขอพรจากบุคคลอันเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์
หมายถึงพระพุทธเจ้า
หรือพระสงฆ์ในสมัยยุคพุทธกาลนะ
ทีนี้ประเด็นคือว่า
หลายคนมีความเข้าใจจริงๆ
ในเรื่องของการขออโหสิกรรม
เพราะว่าคนเรา
ขึ้นต้นด้วยความไม่รู้
ก็มารู้จักกัน เท่าที่สายตาจะให้มองเห็นว่ามีรายละเอียดให้รับรู้อย่างไร
ก็แน่นอน พื้นฐานคิดดี
คิดไม่ดี อย่างไรก็บวกเข้าไปกับสิ่งที่เห็น
บางที หลายคนก็เป็นกังวล
เคยคิดไม่ดี เคยมีอคติ
หรือมีความอะไรก็แล้วแต่
เรื่องจริงคือ
มีที่ไม่ดีจริงๆ กับ ไม่ดีแบบที่คิดไปเองว่าไม่ดี
อย่างไรก็ตาม
เป็นธรรมชาติธรรมดาของการที่เรามาพบกัน ในสังสารวัฏ
เป็นโทษของสังสารวัฏ
อย่างที่พระอรหันต์ท่านเคยกล่าวไว้
เมื่อมีผู้ทำร้ายท่าน
แล้วเกิดสำนึกผิดอย่างใหญ่หลวง
แล้วไปขอขมาท่าน
ท่านก็บอกว่า โทษนี้ ไม่มีแก่เราและเธอ
แต่เป็นโทษของสังสารวัฏ
ถ้าจำไม่ผิด ..
ไม่พูดชื่อดีกว่า ท่านไปบิณฑบาต ในบ้านญาติโยม
แล้วเกิดอุบัติเหตุอะไรบางอย่าง
ที่ทําให้เกิดความเข้าใจผิดกัน
แล้วก็เกิดการทําร้ายท่านขึ้นมา
ภายหลังก็รู้ว่าไม่ใช่ฝีมือท่าน
ประเด็น
อยู่ตรงที่ ถ้าเราเข้าใจ
คําว่าขออโหสิกรรมนี่
ซึ่งจริงๆ แล้วคํานี้ใช้กันมาผิดตลอดเลยนะ
อโหสิกรรมนี่ ก็คือพระอรหันต์
ที่ ไม่ต้องไปรับผลของกรรมอีก
เนื่องจากว่าคราวนี้ผ่านไป
กรรมทั้งหลายที่ตามมาก็เป็นอโหสิ
แต่เรามาใช้ๆ
กันนี่ ก็คือขอขมา นะ .. ขอขมาลาโทษ
ถ้าเราเข้าใจจริงๆ
ว่าการขออโหสิกรรม
คือการที่ใจของเรานึกกลัว
กลัวบาป
แล้วก็ไม่อยากที่จะให้มีมลทินต่อเนื่องกันไป
อันนี้ ผมก็ขอกล่าวด้วยความเข้าใจเช่นกันว่า
ทั้งหลายทั้งปวง
เป็นโทษของสังสารวัฏ โทษของการต้องมาเจอกัน
ในแบบที่ ต่างคนต่างก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
มาเจอกันได้อย่างไรก็ไม่ทราบ
ก็พอเจอกันแล้ว ก็เห็นแต่รายละเอียดทางตาเท่าที่จะให้เห็นได้
หรือรายละเอียดทางหู
ที่จะฟังใครเขามาพูดอะไรอย่างไร
แต่รายละเอียดทางใจที่จะสัมผัส
มีความลึกซึ้ง
มีความสามารถเห็นอะไร
ครอบคลุมความจริงแค่ไหน
บางที ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน
อย่างในห้องวิปัสสนานุบาลนี่
เหมือนบ้าน เหมือนโรงเรียน
เหมือนกับที่ ๆ เป็นบริเวณส่วนตัวของพวกเรา
ใครมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
ก็จะเห็นกันแล้วก็รู้จักกัน
เหมือนกับอยู่ด้วยกันจริงๆ
นะ
ตรงนี้พอเกิดความรับรู้ขึ้นมา
ถ้ามองเห็นจริง ๆ ว่า
เอ๊ะ เคยคิดไม่ดี
เคยอคติ ซึ่งแม้แต่ผมเองก็เป็นอย่างนั้นนะ
เป็นคนที่ยังมีอคติได้อยู่
ยังคิดไม่ดีได้อยู่
ยังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
แบบไม่เป็นคุ้งเป็นแควได้อยู่
ก็ผิดพลาดกันได้ตามวิสัยมนุษย์
ที่ยังมีกิเลสครบ
มีตัว โลภะ โทสะ
โมหะ
ถ้าเราอยู่ด้วยกันแบบนี้
แล้วเกิดความรู้สึกว่าเจริญไปด้วยกัน
และบนเส้นทางความเจริญนี้
ไม่ควรมีมลทินทางใจ
ไม่ควรมีอคติ ไม่ควรมีความคิดไม่ดี
หรือว่าพูดไม่ดีต่อกัน
เกิดความรู้สึกอยากชําระล้างของเก่า
ๆ
แล้วทําให้ของใหม่
ๆ มีความสด มีความใส
มีความสะอาด
เพิ่มมากยิ่ง ๆ ขึ้นไป .. อันนี้รวมทั้งตัวผมเองด้วยนะ
ก็เป็นการดี
ที่เราจะขออโหสิกัน
แล้วก็อํานวยอวยพรให้แก่กันและกัน
ได้มีสติ ที่จะพิจารณาเห็นตามจริงว่า
ความคิดใดเกิดขึ้น
ความคิดนั้นย่อมดับลงเป็นธรรมดา ตามเหตุปัจจัย
เอาเป็นว่าเราอโหสิ
แล้วก็ให้พรกันและกัน
โดยการที่จะได้เห็นว่า
ความคิดเป็นสิ่งที่เกิดดับได้ ตามเหตุปัจจัย
อย่าไปห้ามตัวเองว่า
.. ชักหวาดเสียวในห้องนี้
คนที่เคยเป็นคนปกติธรรมดาทั่วไป
ชักไม่ปกติ
ใจเริ่มไม่ดีอย่างไรชอบกล
ไม่ต้องไปเกร็งขนาดที่ว่า
เดี๋ยวเราจะคิดไม่ดีกับใครขึ้นมา
แล้วจะเป็นบาปเป็นกรรมอะไรอย่างอย่างนี้
อย่างวันก่อนมีใครมาสาธิตแล้วก็บอก
.. คิดขึ้นมาเอง ขออโหสิกรรมด้วย
ก็ดี ที่กล้ายอมรับ
เพื่อที่จะไม่ต้องมีมลทินติดตัวต่อไป
แต่เห็นว่า
ถ้าเกิดความคิดไม่ดี แล้วเราสามารถจะเท่าทัน
มีสติ แล้วกล่าวขออภัยขึ้นมาทันที
ไม่กลัวเสียหน้า
ตรงนั้นน่ะ ที่เขาเรียกว่าเป็นการชําระล้างมลทินอย่างแท้จริง
และเป็นการชําระล้างมลทินด้วยปัญญาแบบพุทธ
คือเราเห็นว่าที่คิดไม่ดีขึ้นมา
คิดเพราะว่ามีเหตุปัจจัย
มีแรงดัน มีอะไรบางอย่าง
ปรุงแต่งให้เกิดขึ้น โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจนะ
ถ้าเราตั้งใจนี่
ปกติจะไม่สํานึกรับรู้ หรอก
จะคิดว่าดี .. ที่คิดไม่ดีอย่างนั้น
แต่ถ้ามีความสํานึกขึ้นมาทันที
มีสติขึ้นมาทันที
นั่นแสดงว่าไม่ได้ตั้งใจ
แต่เป็นการปรุงแต่งของจิต
ที่มีความซับซ้อนพิสดาร
มีเบื้องหลัง
ที่มาที่ไปนี่ สารพัดจะซับซ้อนทั้งของเก่า
ทั้งของใหม่ รวมตัวกัน
ส่งแรงดัน ผลักดันให้เกิดรูปความคิดแบบหนึ่งๆ
ขึ้นมา โดยที่เราห้ามไม่ได้
ก็ไม่ต้องไปห้าม
ไม่ต้องไปเกร็ง ไม่ต้องไปกลัว
แต่มองเรื่อยๆ
มองทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ความคิดของเรา
เป็นแค่อนัตตา .. เป็นแค่การก่อรูป
ก่อตัวของอนัตตาชนิดหนึ่ง
ปรุงแต่งจิตขึ้นมา
แล้วเดี๋ยวก็หายไปตามเหตุปัจจัย
พอมองอย่างนี้ได้
การอโหสิให้กันก็ตาม
หรือว่าอํานวยอวยพรให้กันก็ตาม
บนเส้นทางที่อยู่ร่วมกันแบบนี้
จะทําให้เกิดความรู้สึกสบายใจ
ไม่ต้องเกร็งมาก ไม่ต้องกลัวอะไรมากนะ
ขอให้มีสติ รู้ว่าเป็นความปรุงแต่งของจิต
รู้ว่าเกิดขึ้น รู้ว่าดับไป
มีแต่ได้ กับได้ แล้วเจริญไปด้วยกัน
ไม่มีใครที่มาเป็นอุโมงค์สูบวิญญาณทั้งหลายลงนรก
แต่เป็นประตูให้แก่กันและกัน
ที่จะได้เข้าทาง
ทางมรรคทางผล ที่ถูกต้องยิ่ง
ๆ ขึ้น นะ
ก็เอาเป็นว่า
ผมขออโหสิกรรม
ไม่ว่าจะเป็นด้วยการล่วงเกินกันทางกาย
วาจา หรือทางใจ ซึ่งห้ามยาก
รวมทั้งตัวผมเอง ก็ขออโหสิกรรมกับทุกท่าน
ไม่ว่าจะมีความคิดอันเป็นอกุศล
มีความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ที่พูดที่ทําอะไรออกไป
วันนี้จริง ๆ
เพิ่งก่อนเข้าไลฟ์ ก็เกิดสํานึกผิดขึ้นมา
ช่วงเมื่อสิบปีที่แล้ว
เคยทําอะไรไม่ดีไว้ แบบที่จะต้องยังรู้สึกผิดอยู่
แล้วก็
ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้
แต่ว่าสามารถที่จะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกได้
การที่เรายังเป็นผู้ตกอยู่ในท่ามกลางความไม่รู้
ไม่เข้าใจ
แล้วก็มองไม่เห็นว่าทําอะไรลงไป
แล้วจะเกิดอะไรขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลทางใจที่จะตามมา
ในเวลาที่ล่วงเลยไปนะ
ก็คือ
การที่เราได้อยู่ในวังบนทุกข์ วงเดียวกัน อยู่ในโลกใบเดียวกัน
โลกแห่งความมีเหตุปัจจัยให้ผลักดันให้เกิดกรรม
แล้วก็ทํากรรมไป จะต้องได้รับผลของกรรมตามมานะ
อย่างแม้กระทั่ง ความรู้สึกผิด
แม้กระทั่งความรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง
ก็เป็นผลกรรมชนิดหนึ่ง
ที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะต้องรับ
ส่วนจะทรมานใจกับมัน
แบบสูญเปล่า
หรือว่าจะคิดป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น
ไม่ต้องทําให้มีความทุกข์
ไม่ต้องทําให้เกิดเรื่องเบียดเบียนต่อกันและกันอีก
ด้วยความเข้าใจ บนเส้นทางของการบรรลุมรรคผลแบบพุทธจริงๆ
นี่แหละที่พวกเรา จะสามารถไปด้วยกันได้
แล้วก็ เมื่อถึงตรงนั้นร่วมกัน
ก็ไม่มีการแบ่งเขาแบ่งเรา
ไม่มีการต้องมาเบียดเบียนกันอีก
มีแต่ว่าเราจะได้
รวมกัน นะ
สลายตัว เข้าไปรวมกับมหาสมุทรคือนิพพาน
ตามพระพุทธเจ้า แล้วก็พระอรหันต์ทุกรูปทุกนาม
ก็ขอให้เทศกาลแห่งการขออโหสิกรรม
แล้วก็ขอพรกันในช่วงปีใหม่ไทย
ได้เป็นที่เกิดประโยชน์
แจ่มแจ้งด้วยปัญญาแบบพุทธของพวกเราทุกคน
ในห้องวิปัสสนานุบาลถ้วนกัน
ปีใหม่ไทย ทุกอย่างคงใหม่ตามไปด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การเจริญสติ
ในแบบที่ทําให้จิตของเรา
กลายเป็นจิตใหม่
ใจใหม่จริงๆ ไม่ใช่แค่เป็นปีใหม่ที่ใหม่ตรงไหนก็ไม่ทราบ
ใหม่ที่ใจ แล้วก็ใหม่ที่
ความสามารถในการยกระดับเข้าสู่ความพ้นทุกข์
แบบที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์
ท่านพบกันมาแล้วนะครับ
________________
วิปัสสนานุบาล EP 115 | พฤหัส 14 เมษายน 2565
ปิดท้าย : การขอขมา การขออโหสิกรรม
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=A1BHit6y2FI
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น