วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2565

วิปัสสนานุบาล EP 96 (เกริ่นนำ) : ต่อยอดเข้าเขตมรรคผล - 18 มี.ค. 65

EP 96 | ศุกร์ 18 มีนาคม 2565

 

พี่ตุลย์ : วันนี้วันศุกร์ จากหนึ่งทุ่มถึงสี่ทุ่ม

เรามามีความสุขกับการเจริญสติ เอาความคืบหน้าทางธรรมร่วมกัน หมายถึงตัวผมเองด้วยนะ

 

เมื่อวาน เราคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของการเข้าเขตต่างๆ

ซึ่งจำแนกเปรียบเทียบกับทางโลก

ว่าเข้าเขตคนรวย เข้าเขตชะตาดีร้ายอะไรต่างๆ

แล้วถ้าหากว่า ยังไม่มีเหตุปัจจัยที่พร้อมพอ

เราก็จะยังรู้สึกว่า เรายังไม่เข้าเขตธรรมะเต็มตัว

 

อย่าว่าแต่ธรรมะ เอาแค่มีสมาธิให้ได้ เลิกฟุ้งซ่านให้ได้

เลิกติดใจอยู่กับเรื่องไร้สาระให้ได้ เอาตัวออกมาจากเขตคนไร้สาระ

คนในโลกส่วนใหญ่ ก็มีความรู้สึกว่า

ตัวเองเอาชีวิตออกมาจากเขตนั้น ได้ยากแล้ว

ไม่ต้องมาพูดเรื่อง การเจริญสติ มาพูดถึงการเข้าเขตสักแต่ว่าๆ

 

เอาแค่เขตเหลวไหล

หมายถึงจิต ที่เหลวไหลฟุ้งซ่าน กับจิตที่มีสติ มีสมาธิ

ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากสำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว

 

ฉะนั้น อย่างหลายๆ ท่านในห้องนี้ เป็นคนมีบุญ

บุญดีเลือกได้ บุญเก่าเยอะ

จะคลุกอยู่กับโลกก็ไม่มีปัญหา ไม่ติดขัด สบาย

มีของเก่าช่วยหล่อเลี้ยง ช่วยทำให้อะไรๆ ในชีวิตง่าย เป็นไปได้ดังใจ

 

แต่จะเลือกอีกทาง เอาทางยากขึ้น

เอาทางไม่สนุก แต่สุขกว่าเดิม

บางคนก็จะรู้สึกว่า ตัวเองมีบุญทางธรรมน้อย

อาจด้วยเหตุที่พบกับคำสอนครูบาอาจารย์

หรือแนวธรรมะอะไรที่ไม่คลิกกัน แล้วก็รู้สึกว่าไปด้วยกันไม่ได้

 

หรือพบแนวทางที่เหมาะกับตัวเองแล้ว

แต่ก็เหมือนฉันทะ หรือ passion ที่จะพุ่งมาสุดตัว ยังไม่มากพอ

พูดง่ายๆ รู้สึกตัวเองยังมีกำลังอ่อน

 

คืนนี้ก็จะมาต่อยอด ว่าทำอย่างไร ถ้ารู้ตัวว่าตัวเองเป็นพวกมีบุญพอ

จะเอาตัวเองเข้ามาจริงจัง กับเขตธรรมะได้อย่างไร

 

อย่างถ้าเปรียบเทียบกับทางโลก เขตเอาจริงแบบโลกๆ

อย่างสมมติคุณตั้งใจจะเป็นคนเก่ง หรือตั้งใจเป็นคนรวย

จะเห็นได้ชัด เรื่องเก่าบุญใหม่

 

บุญเก่า คือรู้สึกตัวเองมีพรสวรรค์ มีความชำนาญ หรือถนัด

เรียนรู้อะไรอย่างหนึ่ง ประเภทเริ่มแรกก็แตกฉาน

สามารถเก่งในสิ่งที่คนอื่นรู้สึกว่ายาก หรือโดดเด่น

สามารถริเริ่มสร้างสรรค์ในสิ่งที่ คนอื่นงง จับต้นชนปลายไม่ถูก

แบบนี้เรียกมีพรสวรรค์

 

ส่วนบุญใหม่ ต้องไปเจอวิธีการ มีใครสักคนสอนให้คุณคิด

หรือคิดได้เองยิ่งดี ว่าจะตั้งเป้าให้ชัดได้อย่างไร

แล้วจะคืบไปทีละคืบ ทีละศอก แบบ step by step ได้อย่างไร

 

เริ่มต้นที่คุณมีพรสวรรค์

แล้วสามารถเอาความเก่ง เอาความถนัดของตัวเองมาใช้

นั่นคือเริ่มต้นมีฉันทะแล้ว มี passion แล้ว

เอาบุญเก่ามาตั้งเป้าใหม่ จะไปได้ไว .. ในทางโลกนะ

 

ยุคนี้ยิ่งสบายเลย ถ้าจับทางถูก ไม่ต้องโกง

ก็สามารถรวยได้ตั้งแต่อายุยังน้อย

บางคนเป็นเด็ก อายุแค่เจ็ดขวบ อาศัยบุญเก่า

คือมีพ่อแม่เลี้ยงมาในแบบที่จะช่วยให้รวยได้

มารีวิวของเล่นออกยูทูป แค่นี้รวยแล้ว

มี sponsor คิดเป็นเงินไทยปีละ 700 กว่าล้านบาทก็มีให้เห็น

 

ซึ่งตรงนี้ เป้าหมายทางโลก จริงๆ แล้ว ถ้าเทียบกับทางธรรม

เป้าหมายและ passion ทางโลก จับต้องได้ง่ายกว่า

 

อย่างคิดขึ้นมาว่าอยากจะรวย รวยแค่ไหน แล้วเราทำอะไรเป็นบ้าง

มีฉันทะกับการทำอะไรที่คนอื่นทำไม่ได้บ้าง

หรือสามารถที่จะผลิตของ ผลิตบริการอะไร

ที่ตอบสนองกับคนส่วนใหญ่หมู่มากได้

แบบที่รู้สึกว่าตัวเองมีกำลังเหลือเฟือ มีไฟลุกโชน

ที่จะเอาความร่ำรวยจากหมู่คน ที่มาใช้บริการ หรือสินค้าที่ตัวเองผลิต

 

อันนี้ บุญเก่าที่ดีพอ บางทีกระตุ้นให้เราเกิดสัญชาติญาณ

อยากทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมา แล้วประสบความสำเร็จได้เร็ว

 

แต่ถ้าตั้งโจทย์ว่า ทำอย่างไรให้เอาจริงทางธรรม

เรื่องบุญเก่าบุญใหม่ พูดกันยากกว่าการเอาจริงทางโลกไม่รู้กี่ร้อยเท่า

เพราะไม่มีบทเรียน ไม่มีแบบฝึกหัด ไม่มีกูรู

ไม่มีคอร์สที่เขาสอนแบบโลกๆ

 

ถ้าอยากรวย ทุกวันนี้ เปิดในกูเกิล .. ทำอย่างไรอยากรวยจัง

จะมีโฆษณา มีคอร์ส มีกูรู มีคำแนะนำอะไรฟรีๆ มากมายมหาศาล

ซึ่งขอให้จับจุดถูก จับทางได้ ต่อให้เป็นคำแนะนำที่ฟรี

คุณก็สามารถที่จะจับทางตัวเอง แล้วก้าว หนึ่ง สอง สาม ไปได้

 

เนื่องจากความสำเร็จแบบโลกๆ อาศัยเพียงความคิด

เพียงความทะเยอทะยาน อาศัย passion

หรือฉันทะที่แรงพอ ให้ก้าวไปแบบคิด step by step เป็น

ใช้ชะตาชีวิตตัวเอง ใช้ทุนเก่าทุ่มไปในเวลาไม่นาน ก็สามารถเห็นผลได้

 

แต่การเอาจริงทางธรรม

ถ้ามองจากสายตา หรือความรู้สึกคนธรรมดาทั่วไป

เป้าหมายแบบพุทธ ถ้าอยู่ๆ กระโดดไปพูดที่เส้นชัยสุดท้ายเลย

คนจะรู้สึกว่า.. คิดอะไรหลุดโลกไปหรือเปล่า

คิดอะไรอยู่ ถึงคิดจะสละตัวตนทิ้ง ..

จริงๆ แล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสตีกรอบไว้ดีแล้ว

บอกว่าทำอย่างไรให้ดับทุกข์

 

คือไม่ได้เอาแนวการปฏิบัติ หรือการต้องไปให้ถึงจริงๆ มาพูดนำ

ไม่อย่างนั้น ชาวโลกจะติเตียนว่า

ศาสนานี้เป็นศาสนาที่ทำอะไรอยู่ จะทิ้งตัวทิ้งตนเพื่ออะไร

 

อันนี้พระพุทธเจ้าก็ตอบ เป็นการตีกรอบสำเร็จรูปไว้ว่า

ศาสนาของพระองค์ มีเป้าสูงสุดคือทำให้ความทุกข์ดับไป

 

แล้วคนยุคเรา มักตีความว่าหมายถึงทุกข์ทางใจ

ไม่ให้มีความทุกข์ทางใจขึ้นอีกเลย

ซึ่งก็ถูกต้องในแง่หนึ่ง เพราะถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว

จิตแยกจากขันธ์

ไม่มีความทุกข์ อันเกิดจากความสะเทือนที่ขันธ์อีกเลย

เพราะจิตแยกออกมาแล้ว

 

แม้แต่ในฝัน พระอรหันต์ก็ไม่ฝัน

ไม่มีความทุกข์ อันเกิดจากความไม่รู้ตัว ว่า

นิมิตฝันเป็นแค่ของล่อ จิตกระโจนเข้าไปยึด

ถ้าพระอรหันต์จะเกิดนิมิตระหว่างฝัน

ก็จะเป็นนิมิตแสดงถึงอนาคตบ้างหรือลางบอกเหตุ

ว่าควรไปทำสิ่งนั้นสิ่งนี้

 

แต่จะไม่มีการที่ว่าท่านหลงว่า

นิมิตที่เกิดขึ้นขณะหลับคือตัวของเรา .. ไม่มี

จิตแยกออกจากขันธ์เด็ดขาดแล้ว

 

แล้วแม้กระทั่งคนที่เข้าใจว่า ตัวเองมี passion ที่จะปฏิบัติธรรม

ก็มี passion ในทิศทางที่จะเอามรรคเอาผลให้ตัวเอง

มีความตื่นเต้น มีความรู้สึกพิเศษแปลกประหลาด

เวลาได้ยินใครบอกว่า เขาบรรลุมรรคผล

แล้วก็ไม่รู้จะเชื่อท่าไหน ได้แต่อาศัยศรัทธา

น้อมใจไปเชื่อว่าเขาน่าจะบรรลุจริง

 

แต่หน้าตาการบรรลุเป็นอย่างไร ไปเจอนิพพานอย่างไร

ผลลัพธ์หลังจากบรรลุแล้วเป็นอย่างไร

ต้องอาศัยใจล้วนๆ กลายเป็นหลีกไม่ได้ว่า

ต้องใช้ความเชื่อ ว่ามีเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้จริง

 

คนสมัยพุทธกาล อาศัยการพบพระพุทธเจ้า ไม่ยากเท่าไหร่

เพราะกระแสพระองค์ชัดเจน ว่ามีความสิ้นทุกข์แล้ว

มีความผ่องแผ้วบริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา

เหมือนจิตของพระองค์ไปอยู่มิติไหนไม่รู้

กายของพระองค์ แล้วก็สติในการพูดการคิด ยัง connect

เชื่อมต่อได้ติดกับคนที่อยู่บนโลก

แต่จิตพระองค์ไปอยู่ที่ไหนไม่รู้ ไม่ได้มีความทุกข์

ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกายเนื้อของพระองค์ที่ปรากฏอยู่ เหมือนต่างคนต่างอยู่

 

ฉะนั้น เวลาพระองค์พูดเรื่องสิ้นทุกข์ ก็เชื่อง่าย

เวลาพระองค์ตรัสถึงทางสิ้นทุกข์ คนก็อยากเงี่ยหูฟัง

โดยเฉพาะพวกมีบุญเก่า มาเพื่อที่จะสิ้นทุกข์ตามพระองค์

 

แล้วสมัยพุทธกาล

ก็มีพวกที่มาเพื่อสะสมบุญต่อ ไม่ได้จบชาตินั้น มีทุกแบบ

 

ประเด็นคือ พอเห็นพุทธองค์แล้ว เกิดแรงบันดาลใจ

รู้สึกปีติโสมนัส พร้อมทำตามพระองค์สอน แบบไม่มีข้อแม้

ไม่มีการมาโต้แย้งว่า จริงหรือเปล่า

ไปหาครูบาอาจารย์อื่นเทียบดีไหม

เพราะ charisma ของพระองค์นี่ คนแค่เห็น นึกว่าเป็นเทพก็เยอะ

 

ประเด็นคือ ถ้าหากเราตั้งความเชื่อ

มีฉันทะจากบุคคล อย่างพระพุทธเจ้า อะไรๆ ก็ง่าย

แต่สมัยนี้ คนก็หน้าเหมือนๆ กันไปหมด

ก็มนุษย์ธรรมดา มีแขน มีขา มีมือมีไม้

พูด อะไรตามที่ตัวเองอยากพูดได้เหมือนกันหมด

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคเรา เป็นยุคข้อมูลท่วม

อะไรๆ ก็สามารถจดจำขี้ปากคนอื่นเอามาพูด

ราวกับตัวเองคิดได้เอง หรือตัวเองเก่งกล้าสามารถเทียบเท่าใครบ้าง

 

แม้การที่จะเจริญสติ ประสบการณ์ทางการเจริญสติ

ทางสมาธิอะไรต่างๆ มีหมดแล้วใน internet

ฉะนั้นการที่เราจะมาลงใจ ปักใจ หรือเกิดแรงบันดาลใจ

จากคำของใครสักคนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องง่าย สับสน ทำให้ฟุ้ง ทำให้เฟ้อ

 

แล้วตรงนี้ พอจะมาสำรวจตัวเองว่า แล้วบุญเก่าของเรา

ที่จะมาต่อกับเส้นทางการเจริญสติได้ติดจริงๆ ควรจะเห็นจากตรงไหน

ที่เรามักได้ยินคำถามกันใน internet ก็คือ

อยากรู้จัง ตัวเองทำกรรมฐานชนิดไหนมา

ได้ยินว่าถ้ากลับไปทำกรรมฐานเดิม จะไปได้ไว ได้ดิบได้ดี

 

ที่แสวงหาครูบาอาจารย์ก็เรื่องหนึ่ง ยากแบบหนึ่งแล้วนะ

แล้วมาแสวงหากรรมฐานที่เหมาะกับจริตตัวเอง

ที่จะเป็นพรสวรรค์ช่วยส่ง ช่วยหนุนให้เกิด passion

ยิ่งเป็นเรื่องที่ หาที่จบ ที่ยุติไม่ได้

เพราะบางทีไปรับฟังอะไรมา จากผู้ที่น่าเชื่อถือที่สุดแล้วก็ยังไม่ได้

 

อย่างบางคน อุตส่าห์ดั้นด้นไปพบครูบาอาจารย์ที่ตนเองเชื่อแล้วนะ

พอได้ฟังสั้นๆ แทนที่จะรู้สึกดี กลับนึกไม่ออก

ต้องไปถามคนอื่นต่ออีก เจอมาแล้ว

 

คนที่ไปรับฟังแนวทางสั้นๆ จากครูบาอาจารย์ที่บอกกันว่า

รู้ว่าจะแจกแจงทางให้ใคร ได้มากกว่าครูบาอาจารย์ท่านอื่น

มาบอกว่า ท่านแนะนำมาสั้นๆ ว่า

ให้ดูกายเป็นกระดูกหรือเป็นอสุภอะไรประมาณนี้

 

พอได้ยินมา แล้วจุกมาก แล้วก็วิ่งไปตามหารายละเอียดว่า

ที่ท่านแนะนำมาต้องทำอย่างไร จากครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ หรือสหธรรมิก

 

สรุปว่า ที่พูดมาจะบอกว่า การจะค้นหาตัวเองในทางธรรม

หรือที่บอกว่าเป็นกรรมฐานเก่าของตัวเอง

ที่จะขุดมาต่อยอดให้เกิดความคืบหน้า

ไปถามคนอื่น หรือสังเกตจากตัวเอง บางทีไม่ได้คำตอบทั้งชีวิต

 

แม้จะตั้งความเชื่อไว้อย่างไรก็ตาม แต่ถ้าความเชื่อนั้น

ไม่สามารถมาเชื่อมต่อได้ติดกับสิ่งที่กำลังรู้สึกจริงๆ

ทำแล้วไม่ได้ผล ทำแล้วไม่ได้อะไรเลย .. อย่างไรฉันทะก็ไม่เกิด

แม้เราจะเชื่อก็ตาม ว่าเราน่าจะมีดี น่าจะมีบุญ มีของเก่า

ไม่อย่างนั้นจะเกิดแรงผลักดันให้แสวงหาทาง

อยากได้มรรค อยากได้ผลขนาดนี้ได้อย่างไร

 

ตรงนี้ก็เหมือนกับว่า หากเราไม่เจอบุญเก่าของตัวเอง

จะต่อบุญใหม่ได้ยาก

เข้าเขตคนเอาจริงทางธรรมได้ยากเย็นเหลือเกิน

 

ทีนี้คนก็อาจอยากฟัง ..

ตัวผมเอง เกิดฉันทะ อยากเอาดีทางธรรมมาจากไหน แนวทางเป็นอย่างไร

 

พูดกันแบบมีชีวิต ไม่พูดแบบเป็นไกด์ไลน์

ไม่พูดเป็นวิชาการว่าต้องมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาอะไรอย่างนั้น

 

ผมพูดตรงๆ เมื่อเทียบฉันทะ

เมื่อเทียบความขยันของคนในห้องนี้ ผมเองเป็นแบบอย่างไม่ได้

ผมเองไม่ได้เติบโตทางธรรมมากับเหล่าสหธรรมิกที่ดี

หรือมีครูที่เป็นพี่เลี้ยง มาบอกเป็นวันๆ ว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้

 

แต่มาแบบมั่วๆ นี่พูดตรงไปตรงมา ไม่ได้ถ่อมตัว

ไม่ได้พยายามพูดให้เข้าใจ เกี่ยวกับภาพความจริงในตัวผมอย่างไรทั้งสิ้น

 

เล่าแบบตรงไปตรงมาว่า มาแบบเส้นทางมวยวัด

ครูพักลักจำบ้าง หรือวิ่งไปวัดโน้นวัดนี้บ้าง แต่ไม่ได้จริงจังสักสายเดียว

 

คือเริ่มต้นมา ตั้งใจฝึกเอาจริง จากคำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้

มีครูบาอาจารย์ อย่างเช่น ท่านอาจารย์ธรรมรักษา

หรืออาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ หลายท่านที่อ่านแล้ว

จับทางได้ว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างไร แล้วทำเอง

 

คือพยายามแสวงหานะ ไม่ใช่ไม่พยายาม

แต่แนวทางเริ่มต้นหลักๆ จริงๆ มาจากพระพุทธเจ้าจริงๆ

 

ทีนี้ ฉันทะ มาจากไหน มาจากการค่อยๆ อ่านสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

แล้วมีคนถอดมา อย่างเช่น พระไตรปิฎก

ฉบับประชาชนบ้าง ฉบับดับทุกข์บ้าง

หรืออะไรที่เกี่ยวกับพระไตรปิฎก สมัยนั้นชอบมาก

 

ถ้าจะมองว่าตัวเองมีบุญเก่า หรือพรสวรรค์อะไร

ก็คงเป็นทำนองที่ว่า อ่านธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว

เกิดความอิน ราวกับได้เข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์

 

ตอนเรียนอุดมศึกษา ไม่ค่อยสนใจการเรียน

แต่จะไปห้องสมุดเปิดหนังสือธรรมะอ่าน

มีความรู้สึกว่าได้ทีละเล็กทีละน้อย

ตัวฉันทะนี่ ได้จากการเก็บเล็กผสมน้อยวันต่อวัน

 

แล้วก็อาจเป็นบุญเก่าจริงๆ คือ

พอสงสัยอะไร หรือคิดติดใจ

เวลาไปเปิดมั่วๆ ก็จะได้คำตอบจากพระพุทธเจ้า

 

นี่เป็นที่มาว่า ทำไมผมถึงบูชาพระพุทธเจ้าจริงๆ

ไม่ใช่มาพูดแบบปากว่าตาขยิบ

ไม่มีการนำครูบาอาจารย์ท่านไหน มาเป็นตัวตั้ง

แล้วให้พระพุทธเจ้ามาสนับสนุน

 

แต่ตั้งต้นขึ้นมา มีคำจากพระพุทธเจ้าอยู่ในใจมาก่อน

แล้วคำของครูบาอาจารย์ร่วมสมัย ค่อยมาสนับสนุนว่าใช่หรือไม่ใช่

 

บางที เลยกล้าตัดสินว่าคำของครูบาอาจารย์บางคำ

ผมขอกรองออกไป ไม่ทรงจำไว้ในการปฏิบัติ ในการเอามาใช้ปฏิบัติจริง

เพราะไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส

 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้ลบหลู่ครูบาอาจารย์ร่วมสมัย

แต่ตรงข้าม กราบไหว้เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์

และบางท่านเอาแค่ศรัทธาในองค์ท่าน

คือ ใจนะ ตอนที่เคยไปกราบเหมือนกับคิดว่า ยอมตายแทนได้

มีศรัทธาขนาดนั้น

 

แต่ที่เทิดไว้เหนือเกล้าจริงๆ คือคำสอนในเชิงปฏิบัติ

ไม่มีอะไรเกินจากที่ได้อ่าน ได้ทรงจำ และปฏิบัติตามพระพุทธพจน์

 

สำหรับตัวผม ถ้าบอกว่ามีดีที่สุดคือ

เกิดมาพร้อมกับการไม่มีทางเลือกอื่น

 

คือต่อให้แสวงหาครูบาอาจารย์อย่างไร

บางที อุตส่าห์เดินทางข้ามจังหวัด เข้าป่าเขาคนเดียว

เพื่อที่จะไปพบครูบาอาจารย์บางท่าน สวนกับท่านแค่ห้านาที

เลยไม่ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ท่าน

คือไม่มีทางเลือกอื่น ต้องเลือกไว้แค่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียว

 

ทีนี้ ตัดกลับมาพูดถึงเรื่องจริง เกี่ยวกับพวกเราในห้องวิปัสสนานุบาล

อย่างคนในห้องที่เข้าท่ากันหลายคน มารวมกันในห้องนี้

โดยอาศัยเทคโนโลยีของปีนี้ พศ.นี้ มีข้อได้เปรียบ

 

เทียบกับตัวเองนี่ก็ง่ายหน่อย

คือสามารถมีแรงบันดาลใจให้กันและกันได้

 

อย่างบางที ถ้าเราจะเชื่อครูบาอาจารย์สักคน

เราต้องเห็นท่านก่อนใช่ไหม

แล้วค่อยเกิดความรู้สึกว่าใช่หรือไม่ใช่  ยอมรับหรือไม่ยอมรับ

แล้วส่วนใหญ่จะเป็นการยอมรับที่ต้องพบด้วยตา

สัมผัสด้วยใจในวาระแรก

 

ไม่ค่อยมีใครมาลงรายละเอียดกัน ไม่มีใครมีเวลาในชีวิตมากพอ

ที่จะไปลงรายละเอียดกับครูบาอาจารย์ทุกท่าน

 

แต่ว่าคนในห้องนี้ เอาจริงๆนะ พูดให้เคลียร์ ยังอยู่ในชุดฆราวาส

แต่มาดูกันและกันว่า ปฏิบัติใน format แบบนี้

รูปแบบอย่างนี้เหมือนๆ กันแล้ว เกิดอะไรขึ้น

 เป็นแรงบันดาลใจให้กันและกันได้

 

เพราะที่เราทำๆ กันอยู่ เป็น format ที่เห็นด้วยตาเปล่า

ไม่ว่าจะใช้มือไกด์ หรือหลับตาเดิน

อย่างคนที่หลับตาเดินเก่งๆ แล้ว ตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้นะ

ถ้าไม่มีสติจริง ไม่เห็นจริงๆ ว่ากำลังเดินไปถึงไหน

จะเป็นไปไม่ได้เลย

 

อย่างบางคนอายุยังน้อยอยู่ เดินได้เป๊ะเลย แทบจะชนผนัง

ห่างเหลือแค่ไม่กี่เซ็นต์ได้ทุกครั้ง

 

ถ้ามองจากคนนอก ประเภทที่เข้ามาในห้องนี้ เพื่อสังเกตการณ์

ก็ไม่รู้ว่า จะเดินจงกรมหลับตาไปเป๊ะๆไป เพื่ออะไร

เพราะไม่มีประสบการณ์ตาม

ไม่รู้ว่าเดินแบบนี้แล้ว ได้ดิบได้ดีทางธรรมอย่างไร

 

แต่ถ้าหากทำตามกัน จะมีพยานที่ชัดเจน คือตัวเอง

ใจตัวเองเกิดประสบการณ์ภายใน

รู้ และทราบความรู้สึกว่า ถ้าเดินเป็น ถ้าตั้งมุมมองจากภายในไว้ถูก

จะรู้สึกเหมือนกายนี้เป็นวัตถุ เทียบกับวัตถุอื่นรอบห้อง

 

ประสบการณ์ภายใน

ที่ทำให้มีความสุขในชีวิตมากขึ้นจากการมีตัวตนน้อยลง

เป็นประสบการณ์ที่หาอะไรเทียบเคียงไม่ได้

นอกจากพวกเดียวกันที่ทำกันในห้องนี้

 

ฉันทะ ที่เกิดกับคนกลุ่มที่เอาจริงแล้วทำได้ผล จะมีผลใหญ่

คือแม้คนจะยังอินทรีย์อ่อน รู้สึกว่าตัวเองขยันน้อย ไม่มี passion

ได้มาเห็น ก็เกิดความรู้สึกคึกคักตาม

รู้สึกว่า ถ้ามาทางนี้ ไม่ได้มาคนเดียว แต่มีเพื่อนร่วมทาง

เห็นแต่ละคนสติดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน เพ้อเจ้อเพ้อฝันน้อยลง

และเห็นว่า .. มรรคผล

เรานี่แหละ จะทำด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองให้ได้มา

 

แล้วในเรื่องความสุข

เส้นทางไหนที่ทำแล้วไม่ได้ความสุข รู้สึกตัวตนไม่ได้เบาบางลง

เส้นทางนั้นไม่ใช่ฉันทะที่แท้จริงทางธรรม

 

เส้นทางที่จะให้ฉันทะแท้จริงทางธรรม ต้องประจักษ์ด้วยใจตัวเอง

ไม่ใช่จากการเห็นครูบาอาจารย์

หรือ จากการเห็นว่าเหล่าสหธรรมิกกำลังทำอะไรกันอยู่

แต่รู้สึกด้วยใจของตัวเองว่า มันแชร์ความรู้สึกกันได้

แชร์ความเจริญก้าวหน้าทางธรรมที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า

แล้วสัมผัสได้ด้วยทางใจ ของตัวเองเป็นหลักเป็นพยาน

 

ทีนี้ ที่จะเข้าเขตคนเอาจริงแล้วมีประสบการณ์ สักแต่รู้ สักแต่ว่า

ตัวนี้ .. กำลังค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ เกิดขึ้นกับพวกเราทีละคนๆ

ซึ่งจะมีความหมายมาก ถ้าหากพวกเราหลายๆ คนได้ยืนยันว่า

ธรรมะของพระพุทธเจ้ายังทำกันได้อยู่

แล้วก็ไม่ต้องไปพึ่งพาแบบอ้อนวอนเทวดา

หรือครูบาอาจารย์ที่ไหนที่เราเชื่อว่าท่านสำเร็จแล้ว

 

เพราะถ้าท่านไปถึงตรงนั้น

ท่านไม่มีเวลามาให้ความสำคัญกับใครเป็นคนๆ

ที่จะมาบอก ที่จะมากล่าวกันเป็นวันๆ นี่ยากนะ

เพราะภารกิจของท่าน เมื่อไปถึงจุดนั้น

ก็จะไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่งแล้ว

 

ก็ต้องเข้าใจว่าที่เรามารวมกันอยู่ทุกวันนี้

ก็คือส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดฉันทะ เกิดแรงบันดาลใจจะเอาจริง

ขอแค่ว่าเราไม่อยู่ในทิศทางที่เทียบเขาเทียบเรา

ไม่มีการแก่งแย่งแข่งขัน เพื่อที่ใครจะได้หน้าได้ตาก่อน

 

ตอนนี้พอมีคนได้ขึ้นมาจริงๆ แผนในใจนี่เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ

 

คือรู้ขึ้นมาจากของจริงว่า แนวทางที่เราจะเป็นไปด้วยกัน

ในแบบที่ ไม่ใช่ว่าบรรลุมรรคผลขึ้นมา แล้วกลายเป็นเทวดาเหนือมนุษย์

แต่ตั้งธงไว้ว่า ทำอย่างไร ถ้าข้ามเส้นแล้ว

มาช่วยๆ กันทำประโยชน์เมื่อพร้อม.. เมื่อพร้อมจริงๆ

 

ไม่ใช่ว่าได้โสดาบันแล้ว จะพร้อมขึ้นมาทันที

โสดาบัน นี่ถ้าเราไปศึกษาดูตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส

ยังเป็นคนธรรมดาอยู่นะ มีราคะ โทสะ โมหะ ได้เท่าคนธรรมดา

อย่างน้อยได้เท่าตัวเองก่อนข้ามเส้น

อย่างนี้ยังไม่ประกันว่าจะไปช่วย หรือเป็นประโยชน์อะไรกับใครเขาได้

 

หรือแม้ช่วงหลังๆ อาจมีคุยกัน

เพราะจุดชนวนจากที่ผมคุยกับคุณตงว่า

ถ้าใครมาทำกับเรา นั่นบาปแล้วนะ

 

คือจะตั้งใจบอกว่าให้มองตัวเองว่า เราเป็นได้ทั้งคุณและโทษ

ถ้าเขาทำดีด้วยก็ได้บุญ แต่ถ้าทำไม่ดี

ก็ได้บาปมากกว่าคนทั่วไปที่ไม่ใส่ใจปฏิบัติ

 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่เพื่อมาคิดพะวงว่า กลัวคนนั้นคนนี้จะบาป

แล้วจะมาพอกอัตตาตัวเองว่า ตนกลายเป็นผู้วิเศษ

ใครมาทำไม่ดีจะเป็นบาปเป็นกรรม มีอันเป็นไป

 

คือแม้แต่ปุถุชนที่เป็นคนธรรมดา ไม่ได้มาทางนี้เลย

เขาก็มีบางคนที่รู้สึกว่าตัวเองมีของ

ใครทำอะไรกับตัวเอง แล้วตนแช่งไป ก็จะมีอันเป็นไปอะไรแบบนี้

 

เป็นธรรมชาติวิสัยของมนุษย์ ที่จะรู้สึกว่า

ตัวเองมีดี เหนือมนุษย์ เหมือนจะทำให้ใครเขามีอันเป็นไปได้

 

ไม่ต้องถึงขนาดนั้น ไม่ต้องไปพะวง

เพราะเอาง่ายๆ เลย พระพุทธเจ้าท่าน เป็นที่สุดในอนันตจักรวาลนี้

ทุกวันนี้ท่านก็เหมือนยังมีพระชนม์อยู่

ในความรู้สึกรับรู้ของชาวพุทธว่าท่านเป็นพระศาสดา

แล้วก็มีคนปรามาสท่านเยอะแยะ

มีคนประทุษร้ายท่านด้วย วิธีคิด วิธีพูด มีอีกเยอะ

 

ฉะนั้นไม่ต้องห่วง ไม่ต้องไปกังวลว่า ตัวเองปฏิบัติธรรมได้ดี

หรือข้ามเส้นได้แล้ว จะมีใครเดือดร้อนเพราะตนเอง

กลัวเขาไปไปตกนรกอะไรแบบนี้

 

ไม่ต้องกลัว มีที่ให้ทำได้ยิ่งกว่าพวกเราเยอะ

อย่างพระพุทธเจ้านี่ เอาไปทำเป็นเกมก็มี

เอาศาสดามาสู้กับศาสดา คือคิดกันไปได้

 

ความคิดนี่ถ้าจะหาเรื่องลงนรก มันดิ้นกันได้ไม่มีที่สิ้นสุด

ฉะนั้น อุเบกขา ไม่ต้องห่วงใครมาก

 

มาห่วงว่าเราจะเอาตัวเราเข้าเขตเอาจริง

แบบไม่ถอย ไม่ถอนออกมาได้อย่างไร เท่านั้นแหละ

_______________

วิปัสสนานุบาล EP 96

วันที่ 18 มีนาคม 2565

ถอดคำ : เอ้

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น