วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ๗ วันอธิษฐานจิตเปลี่ยนชีวิต


ดังตฤณ : ที่เราทำตรงนี้กันขึ้นมา และจะทำเจ็ดวัน เพราะที่ได้ยินบ่อยที่สุด สำหรับคนตั้งใจทำสมาธิ คนตั้งใจเจริญสติ จะบอกว่า ขอวิธีที่ทำให้ตัวเองมีจิตใจเข้มแข็ง มากพอที่จะทำอย่างต่อเนื่อง เพราะทำแล้วแพ้กิเลสทุกที 
ไม่ได้ขี้เกียจ แต่เจออุปสรรคอะไรนิดๆ หน่อยๆ แล้วเกิดความรู้สึกว่า ลืมความตั้งใจที่จะทำให้ต่อเนื่อง แล้วก็เลยเกิดความรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้มแข็ง และไม่สามารถที่ทำอะไรได้สำเร็จในทางธรรม

พอทำอะไรไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ในเรื่องการทำสมาธิ การเจริญสติ คนไม่ตระหนักว่าตนเองทำความอ่อนแอให้ตัวเองในทางโลกด้วย เพราะจิตใจของมนุษย์ ของสิ่งมีชีวิตชั้นสูง ถูกปรุงแต่งขึ้นด้วยกุศล คือเกิดมา ตอนเกิด มาเกิดในท้องแม่ ไม่ได้มาด้วยบาป แต่มาด้วยบุญเสมอ ต่อให้เป็นมหาโจรอำมหิต ที่คุณคิดว่าชั่วช้าที่สุดในโลก ตอนมาเกิด ก็มาเกิดด้วยบุญ ไม่มีทางที่จะมาเกิดด้วยอกุศลจิตเด็ดขาด

ฉะนั้นดั้งเดิมเลย ตัวที่เป็นพื้นของภาวะ หรือของภพ หรือสภาพความเป็นมนุษย์ วัดกันที่ความเข้มแข็งของกุศลจิต ยิ่งกุศลจิตมีความเข้มแข็งมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งมีความสว่างของกรรมมาตบแต่งสภาพชีวิตมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดูมีความเข้มแข็ง ดูมีความพรักพร้อม บางคน ดูมีทุกอย่าง ดูมีสง่าราศี ดูมีความคิดความอ่าน ตลอดจนดูมีชะตาที่เหมือนกับเปิดอ้าไว้ ต้อนรับให้มีความสุข มีความสบายใจ อันนั้นก็เป็นเครื่องส่องว่า สิ่งปรุงแต่งแต่ดั้งเดิม มีความสว่างที่แข็งแรง

นี้ก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าตั้งใจทำสมาธิ หรือว่าเจริญสติ ซึ่งเป็นความสว่างอย่างใหญ่  เป็นบุญขั้นสูงสุด แล้วเราสามารถทำให้มีความต่อเนื่องได้ คุณจะเห็นผลในชาตินี้เลย ในเจ็ดวันด้วย ในเวลาไม่ช้า ในเวลาที่ทันใจ ว่าหน้าตา ความรู้สึกทางใจ รวมทั้งความสามารถทางจิตที่จะพิชิตปัญหา หรือว่าที่จะแก้ไขอุปสรรคอะไรต่างๆ ในชีวิต จะชัดเจน เพราะเรามาเริ่มตั้งหลักกับสมาธิ

บางคนตรงกันข้าม ชีวิตเหมือนกับดีๆ อยู่ แต่พอมาตั้งใจทำสมาธิ แล้วล้มเหลว คือตั้งใจจะถือศีลแปด วันนั้นวันนี้ แล้วทำไม่ได้ กลายเป็นว่าที่ดีๆ อยู่ก่อน เหมือนกับมีความรู้สึกผิด มีความรู้สึกคาใจ แล้วก็เหมือนกับตัวเองอ่อนแอลง
จะเห็นได้เลยว่า เรื่องการทำสมาธิ เรื่องการเจริญสติ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ของชีวิต

เรามาตั้งโจทย์ว่า ทำอย่างไร หลายๆ คนถึงจะทำตามความตั้งใจได้ตลอดรอดฝั่ง อย่างน้อยก็ช่วงเวลาหนึ่ง

ผมจะเปรียบเทียบกับการออกกำลังกาย ถ้าคนว่ายน้ำ คนเล่นเทนนิส มีเพื่อน จะรู้สึกว่าไปได้เรื่อยๆ อย่างคนเข้าฟิตเนสจะพูดเป็นประจำว่า เครื่องออกกำลังกายนี้ผมก็มีที่บ้านแต่ขี้เกียจเล่นคนเดียว จะรู้สึกคึกคักกว่าเวลามาเจอเพื่อนๆ ในฟิตเนส ได้ทำความรู้จัก ได้พูดคุย และรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เหนื่อยคนเดียว ไม่ได้บ้าไปคนเดียว มีคนอื่นเป็นพยานยืนยันว่า ใครๆ ก็ทำกัน แล้วพอทำแล้วก็มาอวดกล้ามกันเป็นมัดๆ ว่า วันนี้เชพ (
Shape - หุ่น) ดีขึ้นยังไง มีการปรุงแต่งทางจิตที่รู้สึกว่า ได้สมัครพรรคพวก ได้กำลังใจ ได้ความพร้อมเพรียงอะไรแบบนี้ ทำให้จิตใจมีความคึกคัก เข้มแข็งกว่าทำคนเดียว

ก็เลยเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราถึงมาประชุมกันเป็นเวลาเจ็ดวัน เพื่อที่จะช่วยกันและกัน ส่งเสริมให้รู้จักที่จะนั่งสมาธิทุกวัน และผมใช้เวลาไม่นาน แค่เจ็ดนาที เป็น เจ็ดนาที ที่หลายๆ คนก็คงจะบอกตัวเองได้ว่า แป๊บเดียว เวลามีความสุข เวลาที่จิตนิ่ง เวลาที่มีสติ พร้อมที่จะเห็นลมหายใจ พร้อมที่จะรู้กายใจ แป๊บเดียวจริงๆ ราวกับว่าเพิ่งผ่านไปนาทีเดียว แต่ที่ไหนได้ เจ็ดนาทีผ่านไปแล้ว

อย่างที่จั่วหัวไว้ จุดมุ่งหมายปลายทางคือ จะสะสมอธิษฐานบารมี ไปจนถึงปลายทางที่เราจะรู้สึกว่า มีความสว่างอย่างใหญ่ อันเกิดจากความสำเร็จในการทำสมาธิ มาเป็นตัวตั้ง ให้เราสามารถที่จะอธิษฐาน
ทีนี้ตกลงกันไว้ก่อน ที่เรามาทำสมาธิ เจริญสติกัน ไม่เหมือนกับ ไปไหว้ศาลเจ้าที่ต่างประเทศ ขออะไรที่ทันอกทันใจ ขอฐานะ ขออะไรแบบนั้น ไม่ใช่นะ เพราะถ้าตั้งใจแบบนั้น จะจูนจิตไม่ตรงกัน

ที่เรามาทำกันตรงนี้ แล้วอธิษฐาน เป็นการอธิษฐานขอเปลี่ยนแปลงตัวเอง อย่างเช่น มีจุดบอดอะไรที่รู้อยู่เต็มอกว่าไม่ดี แต่ก็ยังขืนทำ แล้วรู้สึกทรมานใจตัวเอง ว่าทำไมเลิกไม่ได้เสียที ทั้งๆที่ว่าตัวเองก็แล้ว คนอื่นว่าก็แล้ว ยังไม่สามารถที่จะเข้มแข็งพอ
เราก็ มาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ด้วยการสะสมความสว่างอย่างใหญ่ร่วมกัน แล้วก็อธิษฐานจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราร่วมกันสร้างขึ้นมา นั่นแหละ

พอมีความสว่างอย่างใหญ่ ที่เป็นที่ตั้งของการอธิษฐาน คุณจะพบว่าตัวเองมีจิตใจที่เข้มแข็งขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ แล้วจะเกิดความรู้สึกว่า มีความรู้ขึ้นมาเอง มีสัญชาติญาณทางจิต ที่บอกตัวเองว่า อธิษฐานครั้งนี้จะสำเร็จ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงในแบบที่ตัวเองก็ เหมือนกับไม่ได้ออกแรงมาก เพราะเราร่วมกันหลายร้อยคน เป็นการส่งเสริมกัน แล้วก็ช่วยกันสร้างพลังอันเป็นกองกลาง เป็นสาธารณะขึ้นมากองหนึ่ง ที่ผมเปรียบเทียบว่า เหมือนกับเราสร้างดวงอาทิตย์ขึ้นมาร่วมกัน และดวงอาทิตย์จะส่องสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่เราทำสมาธิและแผ่เมตตาร่วมกัน

การทำสมาธิและแผ่เมตตาร่วมกันไม่ได้มีอะไรที่ลึกลับ หรือเป็นสิ่งมหัศจรรย์เกินกว่าจะอธิบายนะ ก็คือการสะสมกองกุศล ยิ่งสะสมนานขึ้นเท่าไหร่ จำนวนคนมากขึ้นเท่าไหร่ ตรงนั้นก็จะมีพลังที่จะบันดาลความจริงดีๆ ขึ้นมาในชีวิตของคนที่เข้ามาร่วม เปรียบเหมือนกับ คนที่มาอยู่ในโลกเดียวกัน แล้วก็ได้รับแสงสว่าง ความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันนั่นเอง นะครับ

ไม่ใช่เรื่องที่จะเหมือนกับไสยศาสตร์ หรือใช้พิธีกรรมอะไรทั้งสิ้น รายการนี้ก็ไม่เคยชวนมาสวดมนต์ร่วมกันอยู่แล้ว ไม่มีบทอะไรเป็นพิเศษ แต่ว่า เราอาศัยจิตที่มุ่งมั่น แล้วก็สะสมต่อเนื่อง หลายวันพอสมควร จนกระทั่งพอกพูนขึ้นมา แล้วจะเห็นผลชัดในวันสุดท้ายนะ ว่าพอทำสำเร็จ ยิ่งกว่าไชโยนะ ยิ่งกว่าเราเข้าเส้นชัย จะได้อะไรใหม่ๆ ผุดขึ้นมาจากใจกลางชีวิตนะครับ

ทำไมต้องเจ็ดวัน?
เจ็ดวัน ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ไม่มากเกินกว่าที่หลายๆ คนมีความรู้สึกว่าตัวเองพอจะเข้ามาร่วมโปรแกรมได้ และไม่น้อยเกินไปจนเหมือนกับ ไม่ต้องอาศัยความเพียร ไม่ต้องอาศัยความสม่ำเสมอเลย ความเสมอต้น เสมอปลาย ความมีวินัย

ความมีวินัยนี่สำคัญ ถ้าเราทำทุกวัน จะเกิดความเคยชิน และถ้าเกิดความเคยชิน จะกลายเป็นนิสัยใหม่

เจ็ดวัน ยืมตัวเลขมาจากพระพุทธเจ้าด้วย ท่านตรัสไว้ว่า ถ้าหากใครก็ตามเจริญสติปัฏฐานสี่ ถ้ามีอินทรีย์แก่กล้า อย่างเร็วเจ็ดวัน ได้บรรลุถึงความเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหันต์ ไม่ใช่แค่โสดาบัน ไม่ใช่แค่ สกทาคามีนะ ถ้ามีอินทรีย์แก่กล้าจริง ไปถึงได้ตรงนั้น

ถ้ามีอินทรีย์อย่างกลาง ก็เจ็ดเดือน และถ้าอินทรีย์อ่อน ความเพียรอ่อน สติปัญญาอ่อน อย่างช้าเจ็ดปี ทำตามแบบที่พระพุทธเจ้าประทานแนวทางไว้ในสติปัฏฐาน 4 จริงๆ อย่างน้อยที่สุด 7 ปี ต้องได้อนาคามิผล หรือถ้าใครไม่มีอุปสรรคติดขัด ก็ถึงอรหัตผลได้

นี่ไม่ได้จะมาบอกว่า เราทำสมาธิกันแค่นี้แล้วจะบรรลุมรรคผลในเจ็ดวัน แต่ยืมตัวเลขมา ให้เป็นที่รับรู้ว่า ถ้าตั้งใจทำให้เกิดสมาธิ แล้วประสบความสำเร็จ เจ็ดวัน เป็นตัวเลขที่เลียนแบบพระอริยเจ้าที่ท่านบรรลุมรรคผลในเจ็ดวันได้

ถ้าเราบรรลุความตั้งใจ ความมุ่งมั่นที่จะทำสมาธิ ให้ได้ต่อเนื่องครบเจ็ดวันนะครับ เดี๋ยวดูกันว่า รางวัลใหญ่ที่จะเกิดขึ้นหลังวันที่เจ็ด จะเป็นอย่างไร อยู่ในจิตเรานี่แหละ แล้วคุณก็จะรู้นะ จะเกิดสัญชาติญาณรู้เลยว่า เราสามารถขอพรจากตัวเองได้

จิตที่มีพลังกุศลแรงๆ จะมีสติรู้ว่า ไม่ควรอธิษฐานซี้ซั้วพร่ำเพรื่ออย่างจิตที่ขาดความรู้ความเข้าใจ หรือขาดกุศลในตัวเองมากพอ ซึ่งจะมืดบอดแล้วก็ไปตามแรงฉุดของกิเลส อย่างเช่น อยากได้รางวัลที่หนึ่ง หรือ อยากให้มีส้มหล่นจากฟ้า ได้เลื่อนฐานะ เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนยศ หรือได้สิ่งที่ต้องการเป็นบุคคล ลักษณะของจิตที่เป็นอกุศล จะอยากในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

แต่ถ้าหากคุณสะสมความสว่างในตัวไว้มากพอ ร่วมกับคนอื่นๆ ในสหธรรมิก (หมายเหตุผู้ถอดความ
: ผู้มีธรรมร่วมกัน, ผู้ประพฤติธรรมร่วมกัน) ร่วมกันในแฟนเพจดังตฤณ แล้วเกิดความมีสติขึ้นมา คุณจะรู้เองว่า อะไรที่ควรจะเป็นเป้าหมายของการอธิษฐาน

การอธิษฐานนั้น ยิ่งคุณมีสติมากขึ้นเท่าไหร่ คุณจะยิ่งเห็นว่าควรอธิษฐานเข้ามาที่จิตใจตัวเอง นิสัยตัวเอง หรือว่าพฤติกรรมของตัวเอง หรือว่าวิธีคิดของตัวเอง อธิษฐานขอเปลี่ยนวิธีคิด เพราะว่าปกติ ไม่สามารถเปลี่ยนวิธีคิดได้ด้วยการสั่งตัวเอง มันมีอัตตากั้นอยู่ มีกำแพงทิฐิ มีกำแพงความขี้เกียจกั้นอยู่

แต่พอมีความสว่าง มีสติอย่างใหญ่ขึ้นมาปุ๊บ มองเข้ามา โอ นี่จุดบอดตรงนี้ ขอลบ อธิษฐานไป จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าเป็นไปได้ แล้วคุณก็จะมีความสุขกับตัวเองในชีวิตที่เหลือ

การทำสมาธินี้ ควรจะทำในสภาพพร้อมหน่อยก็ดี ไปทำเวลาไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำสามทุ่มเสมอไป ผมจะเปิดเสียงสติให้ฟัง ทุกคืน สามทุ่มก็จริง แต่ถ้าสามทุ่มคุณรู้สึกกระปลกกระเปลี้ย ไปทำเวลาอื่นก็ได้ หรือจะกลับมาทำซ้ำก็ได้ถ้ารู้สึกไม่ดีพอ

บางคนรู้สึกว่า ตื่นเช้า แล้วถึงจะทำได้ดี บางคนรู้สึกว่า ถ้าทำช่วงเที่ยงคืน ตีหนึ่ง เงียบๆ หน่อยไม่มีใครกวนก็ทำได้ อะไรแบบนั้น ไม่ว่ากัน ไม่มีการมาจำกัดเวลาว่า จะต้องเวลาสามทุ่มตรงเท่านั้น จริงๆ แล้ว นี่เป็นเหมือนกับเราสร้างเครือข่ายขึ้นมาให้กำลังใจกันและกัน ซึ่งเครือข่ายนี่ผูกกับสัญญาขันธ์ หรือความหมายรู้

อย่างตอนนี้เรารู้ว่ามีคนมาร่วมฟัง หรือว่าเตรียมพร้อมที่จะทำสมาธิด้วยกันเยอะๆ ความรู้ตรงนี้ก็จะไปตกแต่งให้จิตเกิดความรู้สึกกว้างขึ้น เริ่มต้นมีความรู้สึกแล้วว่า เรากำลังจะทำสมาธิพร้อมกับคนอีกจำนวนมาก แค่นี้จิตเปิดแล้ว แค่นี้จิตเป็นกุศลขึ้นมาแล้ว ถูกตกแต่งให้พร้อมจะเป็นสมาธิขึ้นมาแล้ว รู้สึกใช่ไหม?

ถ้าเราเข้าใจจุดนี้จริงๆ ว่าผูกอยู่กับสัญญาขันธ์ด้วย ไม่ใช่แค่ความจริงตรงหน้าอย่างเดียว ต่อไปถึงแม้ว่าอีกหนึ่งปี เพิ่งมีใครแนะนำมา แล้วก็มาดูคลิปนี้ ก็เกิดความปรุงแต่งแบบเดียวกันว่า มีคนเคยได้มาทำสมาธิด้วยกันมากๆ และแผ่เมตตาร่วมกันมากๆ แสงสว่างอันเกิดจากการทำสมาธิและแผ่เมตตาร่วมกัน ก็ยังอยู่ตรงนั้น อยู่ตรงความจริงที่เคยเกิดขึ้น

พลังไม่ได้แฝงอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ได้มีตำแหน่งนะ ผมจะเปรียบเทียบของใหญ่เลย อย่างพระพุทธคุณ แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะสิ้นพระชนม์ ดับขันธปรินิพพานไปนานแล้ว สองพันกว่าปี แต่พอเรายังระลึกถึงว่า พระพุทธเจ้าท่านมีคุณลักษณะอย่างไรบ้าง ท่านตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นความสว่างอย่างใหญ่แก่โลก และสวรรค์ ท่านเทศน์ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นพรหม เทวดา หรือมนุษย์ แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ท่านยังปราบได้ แม้แต่ช้างตกมัน

ความรู้สึกตอนที่เรานึกถึงความเป็นพระพุทธคุณที่ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง เป็นพระพุทธเจ้า จะเกิดมีภาพทางใจขึ้นมาภาพหนึ่งว่า มีบุคคลหนึ่งในอดีตเมื่อสองพันปีที่แล้ว สามารถที่จะบรรลุธรรมด้วยพระองค์เองนะครับ ภาพในใจที่เกิดขึ้นทันที ที่ปรุงแต่งจิตเราทันที คือความสว่างอย่างใหญ่แก่โลก พอเราเปิดใจ อยู่กับความสว่างตรงนั้นนิ่งๆ แป๊บหนึ่ง จะเกิดความรู้สึกชุ่มชื่น ยิ่งใหญ่ จะเกิดความรู้สึกถึงพลัง ตรงนั้นคือพลังพุทธคุณที่ยังอยู่

อยู่ตรงไหน อยู่ตรงที่เคยเกิดขึ้นจริงในโลกนี้ ไม่ใช่อยู่ตรงหน้าเรา ไม่ใช่อยู่ข้างซ้าย ข้างขวา อยู่ตรงความจริง ณ จุดที่เกิดขึ้น ณ เวลาที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น แค่เราระลึกถึง พลังที่มีอยู่จริงในจักรวาลนี้ เกิดขึ้นแล้วในจักรวาล ก็เข้าสู่ใจเรา แล้วก็เกิดความรู้สึกอบอุ่น รู้สึกราวกับว่าเราอยู่ใกล้พระนิพพานนิดเดียว

นี่ก็เหมือนกัน เราทำความสว่างอย่างใหญ่ให้เกิดขึ้นร่วมกัน ไม่ว่าจะนานต่อไปแค่ไหน ถ้าใครมาดูคลิปนี้ (พลัง) ก็จะอยู่ที่เดิม อยู่ตรงที่ (พลัง) เคยเกิดขึ้นจากการนั่งสมาธิร่วมกันหลายๆ ร้อยคน แล้วก็มีการจูนจิต ให้เสมอกัน หรือว่าอย่างน้อยใกล้เคียงกัน การฟังเสียงสติด้วยกัน ด้วยหลักการเดียวกัน ก็คือการทำให้จิต มีความสว่างในทิศทางเดียวกัน

สำหรับคนที่มาใหม่ ขอย้ำอีกครั้งว่า ต้องใช้หูฟังนะครับ เพราะเป็นวิทยาศาสตร์ทางเสียง ไม่ใช่เสียงฟังเล่นๆ ต้องมีข้างซ้ายข้างขวา เพราะมีความสำคัญในการปรุงแต่งคลื่นสมอง

เราจะเข้าสู่สมาธิเพื่อแผ่เมตตานะครับ เจ็ดวัน เจ็ดครั้ง เพื่อให้ความสว่างอย่างใหญ่ พลังอย่างใหญ่เกิดขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา

แค่รู้ลมหายใจไปอย่างเดียวนะครับไม่จำเป็นที่จะต้องพยายามสงบ เพราะวิทยาศาสตร์ทางเสียงตรงนี้จะช่วยอยู่แล้ว แค่รู้เพื่อที่จะสังเกตความต่างระหว่างลมหายใจ เดี๋ยวสั้น เดี๋ยวยาวแค่ไหน แล้วความรู้นี่จะเข้าที่ เกิดสมาธิ เกิดสภาพจิตที่พร้อมเจริญสติต่อไปเท่านั้นเอง

นี่เป็นคืนแรกที่เราได้ทำสมาธิแผ่เมตตาร่วมกัน พอมีความสุขที่แผ่ออกไปแค่มองไปตรงๆ แล้วนึกว่า ขอให้ความสุขนี้ได้กับสิ่งมีชีวิต มองเห็นด้วยตาก็ตาม หรือไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าก็ตาม เอาง่ายๆ เลย พอหมดคืนนี้ไป พรุ่งนี้ ลองนึกถึง แค่นึกนะว่า เมื่อคืนเรานั่งสมาธิร่วมกัน หนึ่งพันคน นึกแล้วเกิดความรู้สึกถึงแสงสว่างไหม ถ้าหากว่า เราเห็นเหมือนกับการนั่งสมาธิที่ผ่านไปในคืนนี้ จะเป็นแสงสว่างที่เรืองขึ้นมาในใจ นั่นแหละ คือดวงอาทิตย์ที่เราช่วยกันสร้าง แล้วก็พอยิ่งเรานั่งด้วยกัน ทุกคืน ไปจนครบเจ็ดวัน คุณจะยิ่งเกิดความรู้สึกเลยว่า ดวงอาทิตย์นั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เป็นดวงอาทิตย์ในใจ เป็นดวงอาทิตย์แห่งบุญกุศลที่เราสร้างร่วมกัน ไม่มีใครเป็นเจ้าของนะครับ ถ้าไม่ได้ประกอบขึ้นจากคนจำนวนมากๆ ดวงอาทิตย์ดวงนั้นไม่มีทางเกิด
!


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น