วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน อธิษฐานจิตร่วมกันคืนที่ ๕


Download ไฟล์เสียงสติ เพื่อใช้นั่งสมาธิได้ที่

ดังตฤณสวัสดีครับทุกท่าน คืนนี้เรามาอธิษฐานจิตร่วมกันเป็นคืนที่ ๕ นะครับ
อันดับแรก ก็มาเคลียร์คำถามที่เป็นคำถามเบสิคกันนิดหนึ่ง

ถาม : แผ่เมตตาไม่ออก ต้องทำอย่างไร?
ดังตฤณ : หลายคนบอกว่า แผ่เมตตาไม่ออก ทำอย่างไรดี
ตอนที่ฟังดนตรีไป แล้วเริ่มมี “เสียงสติ” หายใจโล่งอยู่
แต่ยังไม่ได้มีความรู้สึกปลอดโปร่ง มากพอ
ที่จะรู้สึกว่า แผ่เมตตา แผ่ความสุขออกไปได้

เป็นเรื่องธรรมดานะครับ เราออกจากจุด start ตามวันเวลาไม่เท่ากัน
คนที่เขาทำกันส่วนใหญ่ เขาทำกันมาเป็นเดือนแล้ว
ถ้าท่านเพิ่งมาเห็นเมื่อวาน หรือเมื่อวานซืน ก็อย่าตกใจ
ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกนะครับ
ก็ ต้องเอาลมหายใจเป็นความสำคัญอันดับแรก นะ

ถ้าไม่มีความปลอดโปร่ง ไม่ได้มีความสุขมากพอ
เอาแค่เรามีความรู้สึกว่า หายใจแล้วจมูกโล่ง ตัวโล่ง หัวโล่งนิดหนึ่ง นับเป็นความสุขอ่อนๆ แล้ว
แล้วเราก็แค่คิดว่า ขอให้ความสุขที่เกิดนี้
จงได้มีส่วนเข้ามาร่วม คิดแค่นี้ คิดในหัวก็ได้
คิดในหัวแล้ว ไม่รู้สึกถึงพื้นที่ว่างรอบตัว
หรือว่าไม่เกิดความรู้สึกปีติสุข แผ่ออกไปเหมือนคนอื่น
ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจ นี่เป็นเรื่องธรรมดานะครับ

หลายคนพยายามมาเป็นเดือน เพิ่งมามีความรู้สึกปีติโสมนัส
ก็เมื่อได้ร่วมแผ่เมตตาด้วยกันมาคืนที่ ๓ หรือคืนที่ ๔ ด้วยซ้ำ
สำคัญมาก ย้ำเลยว่า สิ่งที่เราต้องการอันดับหนึ่ง
ไม่ใช่ความสุข แต่เป็น สติ
ที่สามารถนึกถึงลมหายใจเข้าออกได้
สังเกตความต่างได้
ว่า ยาว หรือ สั้น
เวลาที่ถูกปรุงแต่งด้วย “เสียงสติ” เป็นเวลา เจ็ดนาทีนะครับ

ถ้าหากรู้สึกถึงลมหายใจที่ยาวขึ้นได้
ถ้ารู้สึกถึงลมหายใจที่กลับมาสั้น
มีบางครั้ง อึดอัด ไม่อยากนั่งต่อ
บางครั้งรู้สึกปลอดโปร่ง โล่ง หายใจได้ยาว สบายจัง
นี้เรียกว่าเป็นความต่าง ซึ่งน่าพอใจแล้ว ที่เรามีสติเห็นได้นะ
นั้นคือความน่าพอใจสูงสุดนะครับ
ไม่ใช่ว่า เราจะต้องมารีด ให้ความสุขแผ่ออกมาให้ได้มากๆ นะครับ (ความสุข) จะค่อยๆ มาเองตามวันเวลา
ตามคุณภาพของจิต ตามคุณภาพของการหายใจ
ที่ปรับปรุง พัฒนาขึ้น ด้วยความต่อเนื่องนะครับ
มี “เสียงสติ” มาช่วยเป็นเครื่องทุ่นแรง
เป็นเหมือนกับที่ดีดเท้าให้เราออกวิ่ง
โจนไปข้างหน้าได้อย่างง่ายๆ รวดเร็ว เพราะอะไร
เพราะว่าเสียงสติ จะช่วยทำให้คลื่นสมองของคุณ
เข้าที่ สมดุล ในแบบที่ความฟุ้งซ่านไม่มีที่ยืน
จะเหมือนกับเบาบางลงไป เหลือแต่การรับรู้
มีความรู้สึกว่า เราสงบ พร้อมรู้ลมหายใจ
!
.. .. .. .. .. ..
คำถามอีกคำถามคือ จะ download มาฟังเองให้ครบ ๗ วันได้ไหม

ในแง่ของพลังเมตตาร่วม อาจเบาบางกว่าตอนที่นั่งทำพร้อมๆ กัน
หรือหากย้อนกลับมาฟังคลิป คลิปก็จะบันทึกความสุข
ความมีสติของส่วนรวมไว้ ยังครบถ้วนอยู่

ถ้า
download มาฟังเอง อาจเบาบางกว่า
ความสุข หรือความเมตตา หรือความมีสติ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
... นี่ฟังจากฟีดแบคหลายๆ เสียง ไม่ได้พูดจากการนั่งเทียนเอานะ

เว้นแต่คุณทำสมาธิได้ดีอยู่ก่อนนะครับ
แล้วก็มีโครงสร้างทางจิตที่พร้อมจะมีความสงบ
มีความนิ่ง ตื่นรู้ รู้ความไม่เที่ยงของลมหายใจ
รู้ความไม่เที่ยงของสุขทุกข์ ของเนื้อตัวที่เกร็งบ้าง ผ่อนคลายบ้าง

ถ้าใครทำได้ดีอยู่แล้ว ก็จะมีความรู้สึกรื่นเริง
โดยเฉพาะพวกที่แผ่เมตตาเก่งอยู่ก่อน
ก็จะรู้จักความรู้สึกเป็นสุขราวกับมีงานเลี้ยง ที่เป็นบุญ

จริงๆ แล้ว พุทธศาสนาเรา สอนให้แผ่เมตตา
ก็คือ พร้อมจะสัมผัส อะไรที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่านะ
คนที่แผ่เมตตาเก่งๆ จะมีความรู้สึกราวกับว่า
มีงานเลี้ยง ที่เป็นงานเลี้ยงแห่งความสว่าง
งานเลี้ยงแห่งความเป็นกุศล ทีเกิดขึ้นรอบๆ ตัว

นั่นเป็นเรื่องปกตินะครับ เพราะอะไร
เพราะว่า มีทั้งสิ่งมีชีวิตชั้นสูง ที่มีความประณีต
และ สิ่งมีชีวิตที่อาจเดือดร้อน แล้วก็กระวนกระวาย
เรียกหาแสงสว่าง เรียกหาบุญอยู่
พอเราแผ่เมตตาออกไปดีๆ แล้วก็เจาะจง
คือไม่ได้เจาะจงให้คนใดคนหนึ่ง แต่ว่าแผ่ออกไปแบบไม่มีประมาณ
เขาชอบ ... เหมือนกับแสงสว่างมาฉาย
เป็นแสงเย็นๆ เวลาที่เขารู้สึกกันนะ
ยิ่งคุณมีเมตตา ที่เกิดจากใจที่สว่างเย็นมากขึ้นเท่าไหร่
เขาจะยิ่งรู้สึกสว่างเย็นมากขึ้นเท่านั้นตามไปด้วยนะครับ

แต่ถ้าหากว่า
download มาฟัง ในแง่ของการอธิษฐาน
ถ้าทำครบ ๗ วัน นั่นก็ได้เหมือนกัน

การที่เรา ตัวตนของเรา มีหลายตัว แต่ละวันไม่เหมือนกัน
บางวันขยัน บางวันขี้เกียจ บางวันกระตือรือล้น บางวันซึมเซา
อย่างนี้ ถ้าเรามาตั้งอธิษฐาน คือตั้งใจมั่นว่า
จะวันขี้เกียจ หรือวันขยันก็ตาม อย่างไรเราก็จะทำคุณงามความดี
ให้จิตใจของเราพัฒนา ให้มีความสว่าง
ให้มีความก้าวหน้า แล้วได้มั่นคงสม่ำเสมอ
ไปจนครบเจ็ดวัน จะเกิดความตั้งมั่นขึ้นมาแบบหนึ่ง
คือมีลักษณะของสติ ที่อยู่เหนือตัวตน ทั้งข้างขยัน ทั้งข้างขี้เกียจ

แล้วการที่เรามีสติ มีวินัย อยู่เหนือความขยัน ความขี้เกียจ
ตรงนั้นจะเป็นพลังใหญ่
จะมีอะไรขึ้นมาอีกแบบ
คือไม่ใช่ความรู้สึก ไม่จำเป็นต้องเป็นความรู้สึกในตัวตน
แต่เป็นความรู้สึกเข้มแข็งที่อยู่เหนือกว่าตัวตน

พูดง่ายๆ ว่า เอาชนะตัวเองได้
เอาชนะกิเลสของตัวเองได้ ตัวนี้ที่สำคัญ

คือถ้าถึงแม้คุณจะ download มาฟังเอง
แล้วทำได้ครบเจ็ดวัน ก็เป็นความตั้งใจที่เข้มแข็ง
เหมือนกับที่เรามาร่วมทำกันตรงนี้นั่นแหละ
.. .. .. .. .. ..
บางคนถามมา สงสัยว่า รู้สึกสุขจริงๆ
คล้ายๆ กับมีน้ำพุ ผุดขึ้นมาในตัว หรือรอบๆ ตัว
เป็นจิตวิทยาหรือเปล่า เป็นจิตวิทยาหมู่ สะกดจิตไหม
หรือว่าเป็นของจริง

เอาอย่างนี้ ถ้าคิดว่าเป็นจิตวิทยา
คุณลองคิดดูว่า ในโลกความเป็นจริง
มีไหม ที่ไหนที่ไม่มีพลังหมู่ ไม่มีการสัมผัสพลังหมู่

ในที่ประชุมก็ดี ในห้องเชียร์ก็ดี
อย่างเวลาคุณอยู่ในห้องเชียร์กีฬา เกิดความรู้สึกคึกคักจากเสียง
เสียงคนแผดกันดังๆ เวลามีคอนเสิร์ต ชื่นชมคนอยู่บนเวที เสียงกรีดร้อง
หรืออะไรต่างๆ ที่มากระทบหู ก็ก่อให้เกิดความคึกคักทางใจใช่ไหม

คำว่าจิตวิทยา ไม่ใช่อยู่ๆ มาพูด มาหลอกอะไรกัน
แล้วจะเกิดความรู้สึกขึ้นมาได้นะ ต้องมีองค์ประกอบอะไรบางอย่าง

อย่างในห้องประชุมที่ผมยกตัวอย่างเป็นห้องเชียร์
ถ้าไม่มีเสียงคึกคักของผู้คน
ต่อให้พยายามมีการปลุกพลัง ด้วยคนนำเชียร์ที่มีพลังมากมาย
แต่คนอื่นไม่เอาด้วย จะเกิดความคึกคักขึ้นได้ไหม

ตรงนี้จริงๆ แล้วอยากให้นึกถึงห้องประชุมสักห้องหนึ่ง
แต่ไม่ใช่ห้องประชุมที่มีขนาดจำกัด
เท่าเพดานห้องหรือผนังห้องที่เป็นห้องใหญ่ๆ

แต่ให้นึกถึงท้องฟ้า ที่ครอบเราอยู่
แล้วเพื่อนๆ ที่มานั่งประชุมกัน โดยเรียกว่า
มีความตั้งใจล่วงหน้า ว่าจะทำให้ครบเจ็ดวันเหมือนๆ กับเรา

ความรู้สึกตรงนั้น ถึงแม้ว่า สายตาเราจะไม่เห็นใบหน้าว่ามีใครอยู่บ้าง
แต่ความรู้สึกทางใจจะแตกต่าง
พอคุณตั้งใจว่าจะทำให้ครบเจ็ดวัน แล้วมาพร้อมกัน ณ เวลานัดหมาย
ตรงนี้ใจจะสัมผัสอะไรขึ้นมาบางอย่าง ซึ่งหลอกกันไม่ได้ ไม่ใช่จิตวิทยา

อย่างที่ฟังฟีดแบคจากหลายคน เริ่มรู้สึกสัมผัสได้
เริ่มแยกแยะออกว่า ความสุขของเราก็ฝั่งหนึ่ง
ความสุขที่อยู่นอกตัว ที่เหมือนทะเล ก็อีกอันหนึ่ง

ยิ่งฝั่งของเรา แผ่ออกไปได้กว้างขึ้นเท่าไหร่
ยิ่งสามารถสัมผัสได้ชัดขึ้นเท่านั้น

จริงๆ พระพุทธเจ้าสอนให้ดูทั้ง ฝั่งเราและฝั่งเขา
ดูฝั่งเราให้เป็นก่อน แล้วก็จะสัมผัสฝั่งเขา
ไม่ใช่เพื่อที่จะไปรู้วาระจิตคน
ไม่ใช่เพื่อที่จะไปล้วงความลับชาวบ้านเขา
แต่เพื่อที่จะให้เห็นว่า มีฝั่งนี้ อายตนะภายใน
มีฝั่งโน้น อายตนะภายนอก

อย่างรูป เป็นอายตนะภายนอก ตาเป็นอายตนะภายใน
แล้วใจเป็นอายตนะภายใน ส่วนใจของคนอื่น ก็เป็นอายตนะภายนอก

ถ้าหากว่าเราฝึกเจริญสติปัฏฐานไปตามลำดับขั้น
จะเห็นทุกขั้นเลยที่พระพุทธเจ้า ตรัสให้ดู
ทั้งอายตนะภายในคือฝั่งของเรา และ ฝั่งอายตนะภายนอก
ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจ ไม่ว่าจะเป็นสุขทุกข์
จิตสงบหรือฟุ้งซ่าน จิตที่ดีหรือไม่ดี
เราเห็นให้เสมอกันว่า สักแต่เป็นสภาวะทางธรรม
ที่ปรุงแต่งขึ้นมาด้วยเหตุอย่างหนึ่ง
เมื่อเหตุดับไป ภาวะตรงนั้นก็หายไปด้วย

อย่างเช่นความสุข เรามองเห็น วันนี้ สามทุ่ม
ตั้งใจจะมานั่งแผ่เมตตาร่วมกันปุ๊บ
เหมือนกับสัมผัสได้ถึงความสุขภายใน
อันเกิดจากเจตนา อันเป็นกุศล
เสร็จแล้วก็รับรู้ว่า มีเพื่อนๆ มาร่วมนั่งสมาธิและแผ่เมตตาด้วย
พร้อมๆ กัน คืนละพันคน

ความรู้สึกตรงนั้น ปรุงแต่งขึ้นมาก็จริง
แต่ว่าเราเริ่มเหมือนกับเปิดจิต ให้รับรู้ในทิศทางแบบนี้

ทีนี้พอเริ่มมีสมาธิ เริ่มรู้สึกถึงลมหายใจได้
เริ่มที่จะมีความสามารถรับรู้ เป็นอายตนะภายในที่เบ่งบานออกไป
มีความกว้างขวางขึ้น ถูกขยายขอบเขตการรับรู้ออกไป
ตรงนั้น พอเราแผ่ความสุขออกไป จะเหมือนกับเราไปเห็นอะไรบางอย่าง
ที่ไม่ใช่แค่ความสุขของเราอย่างเดียว มีความสุขรอบๆ ตัวด้วย

ซึ่งประโยชน์ตรงนี้หมายความว่า
เราสามารถที่จะเริ่มเชื่อจากสัมผัสประสบการณ์ตรงว่า
สิ่งที่เป็นนามธรรมภายนอก ถูกสัมผัสได้จริง
แล้วไม่ใช่เกี่ยวกับประสาทตา ไม่ได้เกี่ยวกับสมอง

เกี่ยวกับความรู้สึกตรงนี้ ที่บอกตัวเองว่า
เป็นการ
reset วิธีรับรู้ใหม่ มาเข้าโหมดอีกโหมดหนึ่ง
ไม่ใช้ประสาทตา ไม่ใช้ประสาทหู
แต่ใช้อายตนะทางใจไปรับรู้แทนนะครับ
!


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น