วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

ทำกรรมอย่างไรช่วยให้พบเนื้อคู่

ถาม : ทุกคนมีเนื้อคู่หรือเปล่าคะ? และ ทำกรรมวิบากอะไรมาชาตินี้ถึงไม่มีเนื้อคู่ ?
รับฟังทางยูทูป : http://youtu.be/ZGkRmJeII3o

ดังตฤณ:  คนเราไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีคู่หรือไม่มีคู่ หรืออาจจะพลัดกับคู่ตัวเองไปแล้วด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์  มันไม่สามารถรู้ได้ เพราะคนปกติไม่มีอภิญญาไม่มีความหยั่งรู้

ผมตอบกว้างๆอย่างนี้
การที่เราจะมีคู่หรือไม่มีคู่
มันไม่ใช่อยู่ที่ว่าโชคชะตาจะพามาเจอหรือไม่เจออย่างเดียว


แต่มันอยู่ที่คุณสำรวจตัวเองด้วยหรือเปล่า  ว่าตัวคุณเอง
.. อันนี้ไม่ได้พูดเจาะจง อันนี้พูดตามหลักกว้างๆคือ เวลาที่คนถามว่า เค้ามีสิทธิ์จะพบรักแท้หรือว่าคู่ครองที่อยู่ด้วยกันตลอดรอดฝั่ง มีสิทธิ์ไหม ผมมักตอบว่า

คุณมีสิทธิ์จะรู้ครึ่งทาง
มีสิทธิ์ที่จะรู้เหตุปัจจัยครึ่งนึง
!
นั่นคือถ้าคุณสำรวจตัวเองแล้วพบว่า
พ่อแม่ของคุณ คนในบ้านของคุณ หรือเพื่อนสนิทของคุณ
อยากอยู่กับคุณไปเรื่อยๆ อยากเจอคุณเรื่อยๆ
มีความรู้สึกเมื่อเจอคุณแล้วรู้สึกดี  รู้สึกสบายใจ
คุณอยู่กับใครๆ ก็มีคนบอกคุณว่า
อยากอยู่ด้วยจังเลย อยากอยู่ไปตลอด
ไม่อยากที่จะขับไล่ไส่ส่งไปไหน ไม่อยากจะแยกบ้านไปไหน
นั่นแหละปัจจัยขั้นพื้นฐาน
ที่จะทำให้คุณเจอคนที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ตลอดไป
!
มันครึ่งนึงไง มันเป็นเหตุปัจจัยครึ่งนึง

ถ้าคุณเป็นคนที่มีแต่ใครต่อใครอยากอยู่ด้วย
อยากเจอหน้า คิดถึง เมื่อไหร่จะมาหา เมื่อไหร่จะได้เจอกัน
อยากนัดเจออะไรต่างๆ นั่นนะเป็นปัจจัยครึ่งนึง
ครึ่งทางที่จะทำให้คุณพบรัก พบเนื้อคู่ที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไป
!

แต่ถ้าหากในทางตรงข้าม
มีแต่คนบอกว่าทำไมฉันอยู่กับคุณแล้วอึดอัดจัง
เมื่อไหร่แกจะออกจากบ้านไปซะที  อะไรทำนองนี้
มันก็เป็นลาง เป็นลางบอกเหตุได้ว่า
คุณมีโอกาสที่จะได้อยู่คนเดียวตลอดไป

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ถ้าหากคุณมีปัจจัยที่มีเสน่ห์ มีเสน่ห์ของตัวเอง
มีความน่าพบ มีความน่าอยู่ใกล้
ถ้ากระแสความคิดคุณ
มันออกมาแบบเมื่อครู่นี้ที่คุณนั่งแผ่เมตตาร่วมๆกัน

ถ้าเอาแค่ตรงนั้น จับเป็นประเด็นที่พูดกันให้เข้าใจง่ายๆที่สุด
ถ้า กระแสของจิตคุณมันออกมาแบบเมื่อครู่นี้  
มีแต่ความสว่าง
มีแต่ความโล่ง
มีแต่ความเปิด
มีแต่ความกว้าง
มีแต่ความสบาย
ไม่มีกระแสของความคิดเบียดเบียน

เวลาคนอยู่ใกล้คุณ
เค้าจะมีความรู้สึกดึงดูด รู้สึกถึงแรงดึงดูด
ไม่ว่าคุณจะหน้าตาเป็นยังไง
ไม่ว่าคนจะรู้สึกว่าตัวเองมีคู่ หรือไม่มีคู่ หรืออะไรก็แล้วแต่
จะมีคนที่อยากอยู่ใกล้คุณเสมอ !

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ถ้าหากมีจำนวนคนที่อยากอยู่ใกล้คุณมากขึ้นๆ
คุณจะมีตัวเลือก คุณจะมีความรู้สึกอยากเลือกใครดี
อนุญาตให้ใครมาอยู่ใกล้  ไม่อนุญาตให้ใครมาวันนี้อะไรต่างๆ 

แต่ถ้าคุณไม่มีกระแสดึงดูด ไม่มีเสน่ห์ 
มีแต่คนเค้าจะเป็นฝ่ายเลือกคุณ
เค้าจะเป็นคนอนุญาตให้อยู่ใกล้เค้าวันไหน
นี่คือความจริงของโลก
!
ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องหน้าตา
ไม่พูดถึงเรื่องฐานะ
ไม่พูดถึงเรื่องเสน่ห์อย่างอื่นที่เป็นของหยาบกาย 
แต่พูดถึง
เสน่ห์ทางใจ !

ถ้าหากว่าคุณยิ่งมาทางสว่าง ยิ่งมาทางธรรมะมากขึ้นเท่าไหร่
คุณยิ่งมีแรงดึงดูดมากขึ้นเท่านั้น 
ไม่ต้องไปศัลยกรรมทางกาย
แต่ ศัลยกรรมทางจิตนั่นแหละ
!

การศัลยกรรมทางจิต เป็นสิ่งที่ลงทุนน้อยที่สุด
แต่ได้ผลจริงมากที่สุด 

ไม่บอกว่าได้ผลดีที่สุด แต่ได้ผลจริงๆมากที่สุด !

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ที่นี้ในคำตอบต่อมา คือไปทำกรรมอะไรมาถึงไม่เจอเนื้อคู่?

ผมอยากให้มองอย่างนี้ก็แล้วกัน
ในเรื่องของคู่
เป็นการตกลงร่วมกัน เป็นความพอใจร่วมกันก่อน
ว่าสิ่งที่มันผูกพันกันไว้
สิ่งที่มันผูกมัดให้ใจสามารถ
มีความเสน่หากันได้ข้ามภพข้ามชาติ

พระพุทธเจ้าตรัสไว้
มีคู่สามีภรรยาคู่นึงถามพระองค์ อยากเจอกันตลอดไปทำอย่างไรดี
ทำอย่างไรดีจะให้อยู่ด้วยกันตลอดรอดฝั่งไปทั้งชาติ
ให้มีความมั่นใจ มีความอบอุ่นใจว่าตายไปแล้วไปเจอกันอีก
ทรงตรัสตอบว่า ถ้าอยากจะให้เป็นอย่างนั้นมีทางเดียว
คือสั่งสม ศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา ให้เสมอกัน
อยู่ร่วมกันแล้วจะได้เจอกันอีก

"ศรัทธา"
ก็เอาง่ายๆเชื่อในสิ่งที่ดีร่วมกัน
อย่างเช่น ยึดมั่นถือมั่นในศาสนาพุทธ
หรือว่าจะศาสนาไหนก็แล้วแต่
ถ้าศาสนาไหนก็เป็นตัวชี้ว่าเป็นความเชื่อแบบไหน
เชื่อแบบพระเจ้า เชื่อแบบเหตุผล
เชื่อแบบธรรมชาติ เชื่อในสิ่งที่มีผู้บันดาล
แต่อย่างน้อยก็ขอให้เชื่อในความดีเถอะ
เชื่อในทางที่เป็นกุศลเถอะ
อันนั้น ถือว่าเสมอกันได้และเป็นแรงผูกพันต่อกันได้

ในเรื่องของ
"
ศีล" เป็นความสะอาด
คือศรัทธาไปทิศทางเดียวกันแล้ว
แต่ถ้าศีลที่ไม่เสมอกัน
ก็เหมือนกับจิตที่สกปรกดวงนึงอีกดวงนึงสะอาด
มันก็เปรียบเทียบได้กับคนที่รักสะอาดกับคนที่รักสกปรกอยู่ร่วมกันไม่ได้

ในเรื่องของ
"จาคะ" ก็คือเรื่องของน้ำใจ
ถ้าหากว่ามีน้ำใจที่ไม่เสมอกัน 
จะคอยจ้องเอารัดเอาเปรียบอีกฝ่ายนึง
มันก็อยู่ด้วยกันไปด้วยความรู้สึกไม่เป็นสุข ไม่เกิดความผูกพัน

ในสุดท้ายก็คือเรื่องของ
"ปัญญา"
คุยกันรู้เรื่องคิดอะไรตรงกัน
เข้าใจเหตุผลแบบเดียวกัน
และในที่สุดก็คือ มีความสว่างทางปัญญาเสมอกัน

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

พอเชื่อพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ต้องเข้ามาฝึกมองด้วย
เรื่องกายใจนี่มันไม่เที่ยง
ไม่มีอะไรที่น่ายืดมั่นถือมั่น
ไม่มีอะไรที่มันเป็นตัวเป็นตน
นี่ฝึกมาด้วยกัน

ถ้าหากว่าเกิดกระแส เกิดสายใยอะไรที่เป็นไปในทางเดียวกัน
แบบนี้ เสมอกัน
ก็เกิดการผูกมัดกันแน่น
ก็สามารถเจอกันได้
ก็สามารถอยู่รอดตลอดรอดฝั่ง ทั้งปัจจุบันและอนาคต
ทำให้มาเจอกันอีก จะมีแรงเหวี่ยงให้มาเจอกัน

สรุปคือ ถ้าหากว่าสมมติว่าคุณมีเสน่ห์แล้ว
คนพูดอาจจะสวย อาจจะดูน่ารัก
อาจจะมีคนมาห้อมล้อมอะไรต่างๆมากมาย
แต่ไม่เจอใครที่คุณถูกใจสักที
ก็เป็นไปได้ว่าบุญที่ทำร่วมกันมามันไม่เสมอกัน
หรือคุณอาจจะสวยเกินไป เลยไม่มีใครเข้ามา
เลยต้องอยู่กับตัวเองก็เป็นไปได้

เรื่องที่พูดนี่จะไปสรุปแค่จุดใดจุดนึงมันไม่ถูก

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

วิธีเจริญสติ - หงุดหงิดแล้วอยากพูด อยากด่า

ถาม :  ถามเรื่องการดำเนินชีวิต ปกติเรื่องของอารมณ์นี่ คือเป็นคนที่ขี้หงุดหงิดง่ายมาก อารมณ์ปรี้ดขึ้นเร็ว ขี้โมโหแล้วก็วีนง่ายๆเลย อย่างคนเดินตัดหน้า คนเดินเบียด เดินแทรก รถตัดหน้า อ้นนี้จะมีวิธีแก้ไขยังไงคะ

รับฟังทางยูทูป : http://www.youtube.com/watch?v=OUJRiQ-sZ0Q

ดังตฤณ:  โอ้โหอย่างนี้ถ้าโดนแย่งคิวนี่ ยิ่ง... คงจะ... บางคน ผู้หญิงนะ ไปกระชากคอเสื้อเขาออกจากแถวเลย บางที เรื่องของอารมณ์หุนหันพลันแล่นหรืออารมณ์หงุดหงิดนี่ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า มันไม่ใช่สิ่งที่จะต้องติดตัวเราไปตลอดนะ แต่มันเป็นความเคยชินที่สะสมมาด้วยใจ

อาการหงุดหงิดของคนนี่ ผมอยากจะบอกเป็นสามระดับ :
๑.หงุดหงิดในแบบที่ทำให้ ‘กระวนกระวายอยู่ข้างใน’ คิดมาก รู้สึกรำคาญอยู่ข้างใน 
๒. หงุดหงิดในแบบที่ ‘อยากพูด อยากด่า
๓. หงุดหงิดในแบบที่ ‘อยากจะลงมือ’ ทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเลยเป็นการโต้ตอบ

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ถ้าสำรวจตัวเองแล้วพบว่า
สำหรับคนโดยมากมันจะอยู่วนเวียนอยู่ 2 ระดับ คือ
หงุดหงิดแล้วรำคาญใจตัวเอง กับ
หงุดหงิดแล้วอยากที่จะพูดให้คนรู้สึกตัว หรือให้เขารู้สึกว่าละอายเสียบ้าง

ถ้าวนเวียนอยู่ในสองข้อนี้ ยังแก้ไขได้

เพราะว่าถ้าไปถึงขั้นที่สาม
หงุดหงิดแล้วอยากลงมือตุ้บตั้บ อยากลงมือลงไม้นี่นะ
อันนี้แก้ไขยาก เพราะมันจะเป็นสันดาน !

คืออย่างที่คุณคงเคยได้ยินมาบ้างนะ ถ้าหากว่าแต่งงานแล้วอยู่บ้านเดียวกันแล้ว เป็นผัวเป็นเมียกันแล้ว ฝ่ายชายไม่ยับยั้งชั่งใจ ลงมือซ้อมเมียแค่ครั้งแรก มันจะหยุดไม่ได้เลย มันจะเป็นสันดานติดตัวไป เอะอะขึ้นมาจะต้องลงไม้ลงมือ ห้ามมือห้ามเท้าไม่อยู่ แล้วกลายเป็นคนเลวไป ทั้งที่จุดเริ่มต้นมา แค่ทนเสียงบ่นไม่ได้เท่านั้นเอง !

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ถ้าหากว่าเราอยู่ในขั้นที่หงุดหงิด เจ้าโทสะ แล้วมีความรำคาญใจหรือว่าชอบพูด ของคุณนี่คือไม่พูดแว้ดๆออกมาหรอก แต่จะพูดในแบบที่เลือกคำในแบบที่จะทำให้เขาละอาย หรือว่า พูดหนักๆให้เขารู้สึกตัว จับตรงนี้ก่อน ถ้ามีความอยากคือถ้ามีโทสะใน ระดับที่อยากพูด’ :

คุณ ‘ดูแรงดัน มันมากจนเราอยากจะขยับปาก
มันจะมีมโนภาพขึ้นอย่างหนึ่ง ก่อนหน้าที่คุณจะด่าเขา
คือนึกออกว่าจะพูดอะไร
ตรงที่เราสามารถนึกออกว่ากำลังจะพูดอะไร
ตรงนั้นคำพูดจะไม่ออกมา !

แต่ถ้าคำพูดออกมาก่อนแล้วค่อยรู้สึกตัว อ้นนี้เรียกว่าห้ามไม่ทันแล้ว สติไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว มันพูดออกมาก่อนแล้วสติค่อยเกิดตามมาภายหลัง ให้สังเกตว่าเวลาที่คุณระบายออกไป อาการทางใจมันเป็นยังไง มันจะเหมือนมีอะไรที่เป็นแรงดันเยอะๆแล้วมันโพล่งออกไป นึกออกใช่ไหม

แต่ถ้าหากว่าคุณมีสตินะ
ตอนที่มีความอึดอัด มีความกดดันอยู่ข้างใน
แล้วมันอยากจะพูดแต่ยังไม่ทันพูด
ตรงนั้นคุณจะรู้สึกถึงก้อนอะไรก้อนหนึ่ง
ที่มันแข็งๆ ที่มันแน่นๆ ที่มันมีแรงกดดัน
แล้วถ้าไม่พูด มันเหมือนจะจุกอกตาย
ความรู้สึกมันจะเป็นแบบนั้น

ถ้าคุณเจริญสติจริงๆ
ตรงนั้นเป็นตัวตั้งที่ดีที่สุดเลย
เป็นทรัพยากรในการเจริญสติที่ดีที่สุดเลย !


เพราะแรงดันตรงนั้นนะ มันจะชัดเจนโดยไม่ต้องตั้งใจดู มันรู้สึกอยู่เองว่าอึดอัด เหมือนตอนคุณอยากจะอ้วกออกมาแล้วไม่ได้อ้วกน่ะ มันจะรู้สึกเหมือนอัดอั้น รู้สึกเหมือน ถูกอุดปากอุดจมูก

แต่พ้อยท์ก็คือเมื่อคุณใส่ใจดูจริงๆว่า
หน้าตาความอึดอัดมันเป็นแบบนี้
ยอมรับตามจริงว่าแรงดันของความอึดอัดมันมีประมาณแค่นี้
ในสองสามวินาทีต่อมา มันจะไม่เหมือนอ้วกนะ
คือมันจะค่อยๆหายไป

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

อาการทางใจมันไม่เหมือนอาการทางกาย อาการทางกายนี่ถ้าขืนคุณไปฝืนไว้มันแทบเหมือนจะตายเลยถ้าไม่ยอมอ้วกออกมา แต่อาการทางใจที่มันอยากจะพูด อยากจะระเบิดออกมาเป็นคำพูด ถ้าเราดูไปตอนแรก มันจะอึดอัด เหมือนตอนอยากจะอ้วก แต่เมื่อดูไปมันจะค่อยๆคลายค่อยๆแผ่วลง

พอมันแผ่วลง คุณจะรู้สึก เอ้ะมันหายไปได้นี่ !


มันไม่เหมือนตอนแรกที่คุณรู้สึกว่าจะต้องออกไปให้ได้ มันไม่เหมือนตอนที่คุณรู้สึกว่าฉันจะต้องนับ๑-๑๐ แล้วก็จะต้องไปอดกลั้นไว้ ต้องไปข่มไว้

ยิ่งคุณไปข่มมันไว้ คุณยิ่งอึดอัด
แต่ถ้าคุณแค่ยอมรับตามจริงว่า
มันมีแรงดันแค่นี้ แล้วแรงดันนั้น
ภายในสองสามอึดใจต่อมามันค่อยๆคลายตัวลง
ผลมันจะต่างกันหน้ามือเป็นหลังมือ

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

และครั้งแรกคุณจะยังไม่เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของคุณ แต่ถ้าทำไปสัก
10-20ครั้ง อาศัยเวลาพูดง่ายๆแค่ไม่เกินหนึ่งเดือน ที่คุณเกิดประสบการณ์แบบนี้ขึ้นมา

สิ่งที่จะเห็น ภายในเดือนเดียว
ก็คือว่า คุณรู้สึกถึงคำว่า
อนิจจังของโทสะอย่างชัดเจน !

เริ่มต้นขึ้นมาคุณยอมรับว่ามีโทสะ
สองอึดใจต่อมา
คุณรู้สึกว่าโทสะมันคลายลงได้โดยไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน

นี่เขาเรียกว่า คุณค่าของโทสะ
มันทำให้คุณ  เกิดปัญญา
มันทำให้คุณ  เกิดสติอันเป็นไปเอง

พูดง่ายๆว่า สติอันเป็นอัตโนมัติ  ภายในเวลาไม่เกิน ๑ เดือน

ยิ่งกิเลสแรงเท่าไร
ยิ่งสามารถเห็นได้ชัดและได้ผลเร็วมากขึ้นเท่านั้น
!

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ทำงานไปด้วย เจริญสติไปด้วยได้ไหม?

ถาม :  ทำงานไปด้วย เจริญสติไปด้วยได้ไหม? ต้องทำอย่างไร? ตอนนี้ทำงานเกี่ยวกับครีเอทีฟ ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และศิลปะ

รับฟังทางยูทูป : http://youtu.be/G4CTbTAPu-8

ดังตฤณ:  ก่อนอื่นต้องตั้งมุมมองที่ถูกต้องไว้เสียก่อนว่า
ขณะทำงาน ไม่ใช่ว่าเราจะเจริญสติได้ตลอดเวลา
อันนี้ข้อแรกนะ

คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า
เราทำงานไปด้วยแล้วก็มีการเจริญสติไปด้วยได้
ไม่ใช่นะครับ
มันเป็นความคิดและมุมมองที่ผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้นเลยนะ
!

เมื่อเรามีความจงใจทำงานอยู่
ขณะนั้นมีการปรุงแต่งขึ้นในหัว
ในแบบที่เรียกว่าเราคิดในเรื่องงาน
มันไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่า ตอนนี้เรากำลังอยู่ในภาวะฟุ้งซ่าน
อยู่ในภาวะขยับ อยู่ในภาวะหยุดนิ่งอะไรต่างๆ
เพราะว่าโหมดของการปรุงแต่ง
มันปรุงจิตไปแล้วให้ยึดอยู่กับตัวงาน
ไม่สามารถที่จะมาจับเข้ากับภาวะทางกายทางใจอันเกิดขึ้นในปัจจุบันนะ

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

พอตั้งมุมมองไว้อย่างนี้ถูกต้องแล้วนะ ขั้นต่อไปก็คือว่า
เราสามารถที่จะ  สอดแทรกสติ’  ให้มันเจริญขึ้นระหว่างทำงานได้อย่างไรบ้าง ?
อันนี้คือคำถามที่ถูกต้อง
!

สรุปคือ คีย์เวิร์ดสั้นๆ นะ


ข้อแรก อย่าเข้าใจว่าคุณจะเจริญสติไปด้วยได้ตลอดเวลาที่ทำงาน

ข้อสอง  คือถามตัวเองว่า ในช่วงที่ความคิดไม่ต้องแล่นไปในงาน
มีจังหวะไหนบ้างที่เราสามารถเจริญสติได้

ข้อสองนี่แหละที่เป็นประเด็นสำคัญ !

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

เวลาที่ทำงาน อย่างของคุณทำงานเกี่ยวกับครีเอทีฟ
มันจะมีจังหวะที่ตัน และจังหวะที่รู้สึกปลอดโปร่ง

ตอนที่ปลอดโปร่ง
ก็คือจังหวะที่คิดออก และมันมีจุดยืนอยู่แล้ว
ว่า เออ นี่มันมีเซ็นเตอร์อยู่แล้ว ว่าเราจะเริ่มต้นจากจุดนี้
และก็ขยายแตกกิ่งก้านสาขาออกไป
เป็น หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก
พอมีเซ็นเตอร์ปุ๊บ มีจุดยืนอยู่ในใจปุ๊บ
คุณจะรู้สึกเลยว่าปลอดโปร่ง ใจคุณปลอดโปร่ง

แต่ถ้าเมื่อไหร่รู้สึกว่าคิดไม่ออก ตัน
หรือว่าไปติดอยู่กับจุดใดจุดหนึ่ง
แล้วไม่สามารถที่จะหลุดออกจากจุดนั้นได้
ใจมันจะปิด ใจมันจะรู้สึกแข็งๆ ใจมันจะรู้สึกทึบๆนะ

เห็นแค่นั้นน่ะ เห็นแค่ตรงนั้น
แล้วเปรียบเทียบว่าใจกำลังปลอดโปร่งอยู่ หรือว่ากำลังทึบอยู่
นั่นก็เรียกว่ามีสติแล้ว มีสติในขณะที่กำลังทำงานอยู่นั่นแหละ
เห็นไหมคุณไม่ได้ไปเบียดเบียนเวลาการทำงาน
คุณคิดตามปกติ
แต่สังเกตผลทางใจที่มันเกิดขึ้นจากการทำงานในแต่ละขณะ

เราเริ่มเห็นว่า
บางทีจิตมันก็ปลอดโปร่ง บางทีจิตมันก็ทึบนะ


.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ตอนที่ทึบนี่ พูดง่ายๆเกิดความรู้สึกอึดอัด
เกิดความรู้สึกเหมือนกับว่า
จะเอาอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี แล้วมันคิดวนอยู่

หากอยู่ในอาการแบบนั้นนะ
ลองไปเปิดหัว ลองไปดูเรื่องอื่น ไปคิดถึงเรื่องอื่น
พอมันออกจากอาการจงใจว่าจะต้องเอาคำตอบให้ได้เดี๋ยวนั้น
ใจมันจะเกิดความรู้สึกโล่งขึ้น นึกออกไหม

นี่กำลังทำงานอยู่นะ
แต่เราก็สามารถดูลักษณะทางใจของตัวเองไปได้ด้วย

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..


เทคนิคหรืออุบายของพวกนักคิด พวกครีเอทีฟ
มันก็จะง่ายๆแบบนี้
กำลังติดอยู่กับอะไร
อย่าพยายามไปเพ่ง อย่าพยายามไปเล็ง
อย่าไปพยายามเอาคำตอบให้ได้เดี๋ยวนั้น
แต่ให้เปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนสถานที่ หรือว่าเปลี่ยนมุมมองให้มันไหลลื่นซะ

นั่นก็คือว่า ถ้ามองมาเป็นการเจริญสติ ดูจิตเนี่ย
ก็คือเปลี่ยนจิตที่มันทึบให้เป็นจิตที่โล่งนั่นเอง !

.. .. .. .. .. .. .. .. ..
เห็นไหม เอามาประยุกต์กับงานได้ด้วย
ใช้ประโยชน์กับงานได้ด้วยนะ

ถ้าเห็นว่ามันทึบมากๆ ตันมากๆ
อย่าไปจี้อยู่ตรงนั้น อย่าไปคิดเรื่องเดิมอยู่ตรงนั้น
พอคิดเรื่องอื่นปุ๊บ สังเกตใจตัวเอง
เออมันโล่งขึ้น มันสบายขึ้น
แล้วคุณก็สังเกตต่อได้ด้วยว่า
ใจที่สบายนี่แหละ
อยู่ๆเดี๋ยวความคิด หรือว่าไอเดียมันผุดขึ้นมาได้เอง
เพราะมันไม่มีสิ่งปิดบัง ไม่มีกำแพงขวางกั้นไอเดีย !

เห็นไหม
ตรงนี้มันก็คือธรรมชาติที่เกิดขึ้นอยู่กับชีวิตประจำวัน
อยู่กับการทำงานของคุณอยู่แล้ว แต่ว่าเราไม่ได้สังเกต
ถ้าหากว่าเราสังเกตเป็นอาการทางใจแบบนี้
เดี๋ยวมันมีทึบ เดี๋ยวมันมีโปร่ง
เดี๋ยวมันมีสบายพร้อมที่จะเกิดไอเดีย
เดี๋ยวมันมีความฝืด ไม่พร้อมที่จะคิดอะไรต่อทั้งสิ้น

แค่นี้ก็เรียกว่าเป็นการเจริญสติในระหว่างทำงานแบบคุณแล้วนะครับ !

.. .. .. .. .. .. .. .. ..
ต่อมาคุณยังสามารถที่จะเจริญสติด้วยการที่ว่า
เออ งานเราจะต้องไปคุยกับผู้คน
คุยมาบางทีเขาก็พูดในสิ่งที่เราไม่ชอบ หรือไม่เห็นด้วย

พอไม่เห็นด้วยปุ๊บมันจะมีอาการขัดเคือง
มันจะมีอาการจุกแน่นขึ้นมา
ก็แค่ยอมรับตามจริง ว่าตอนนี้มันมีอาการจุกแน่น
มันมีอาการขัดเคือง มันมีอาการไม่พอใจ
มันมีอาการไม่ได้อย่างใจ มันมีอาการอยากเถียงนะ

อาการต่างๆทั้งหลายนี่ มันไม่ได้อยู่ในส่วนของงานแล้ว
แต่มันเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากการทำงานตามปกติ
อันนั้นแหละที่คุณสามารถดูได้
อันนั้นแหละที่คุณสามารถเจริญสติได้

.. .. .. .. .. .. .. .. ..

มันมียิ่งกว่านั้นอีก ระหว่างที่คุณทำงานไป
บางทีมันถึงจังหวะพักนะ
ไม่มีใครหรอกทำงานได้ทุกวินาทีตลอด 24 ชั่วโมง
มันต้องมีช่วงพักบ้าง มันต้องมีช่วงที่ไม่มีคนมาติดต่อกับคุณ
หรือว่ามันต้องมีช่วงที่คุณรู้สึกล้า

คุณนั่งอยู่ คุณก็ เออ ดูตอนนี้มันฟุ้งมากหรือฟุ้งน้อยนะ
สภาวะทางใจเนี่ยมันกระเจิดกระเจิง
กระจัดกระจายออกไปนู่นไปนี่หรือเปล่านะ
ดูลักษณะทางใจไป

อย่างของคุณ เวลาที่ทำงานเกี่ยวกับครีเอทีฟ
มันจะมีลักษณะกระจัดกระจายได้ง่าย
มันจะมีลักษณะกระเจิดกระเจิงได้ง่าย
เพราะว่าเราต้องคิดอะไรหลากหลาย
และถูกเทรนมาไม่ให้ตีกรอบอยู่นิ่งๆ อยู่ในกล่องแคบๆ

ไอ้อาการที่ถูกเทรนมาให้เปิดใจกว้าง
บางทีมันเป็นต้นเหตุของการกระจัดกระจายทางจิตได้
เราก็ดูไป เออ ตอนนี้มันกระจัดกระจายมาก
แค่ยอมรับตามจริงไป
หน้าตาการกระจัดกระจายมาก
มันไม่มีหรอกว่า เป็นสีนั้น สีนี้
หรือว่าเป็นรูปทรงเหมือนพายุอะไร
แต่เรารู้สีกได้ว่ามันกระจัดกระจาย คุมไม่อยู่
เราแค่ยอมรับไปตามจริงตรงนั้นน่ะคือเห็นจิตแล้ว จิตที่กระจัดกระจายนะ
.. .. .. .. .. .. .. .. ..
ต่อมาพอรู้สึกว่าประสบความสำเร็จ หรือว่าได้รับคำชม
เราเกิดความรู้สึกมั่นใจในตัวเองขึ้นมา
มันเกิดความรู้สึกนิ่งๆขึ้นมา
หรือเกิดความรู้สึกสบายใจขึ้นมา
ก็รู้นะ เปรียบเทียบ

ภาวะทางใจมันเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในระหว่างการทำงานนะครับ
_______________
คุณดังตฤณ ตอบคำถามในการบรรยายธรรมที่ กฟผ
วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๒

วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ฝันถึงคุณดังตฤณ คุณดังตฤณมาเข้าฝันหรือเปล่า?

ถาม : ฝันว่าคุณดังตฤณมาถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ เป็นฝันที่แจ่มชัดมาก อยากทราบว่าที่เห็นนั้นเป็นคุณดังตฤณ หรือภาคหนึ่งของจิตคุณดังตฤณจริงๆหรือเปล่า?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๙

ดังตฤณ: 
ดังตฤณ: ยิ่งผมเขียนหนังสือและบทความมากขึ้น ช่วงหลังก็ยิ่งได้รับคำถามทำนองนี้จากคุณๆมากขึ้นเช่นกัน ก็ขอให้คำตอบพร้อมข้อเท็จจริงไว้ ณ ที่นี้ในคราวเดียวนะครับ

ปรากฏการณ์ทางฝันนับเป็นเรื่องลึกลับชนิดหนึ่ง ที่พวกเราเผชิญกันอยู่ทุกคืน ประสบการณ์ ‘ฝันทั่วไป’ที่เกิดจากการก้าวลงสู่ความหลับแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้น ทำให้คนส่วนใหญ่ตัดสินว่าความฝันเป็นคลื่นลมในหัวที่เหลวไหลไร้สาระ ไม่แตกต่างจากความฟุ้งซ่านไร้สติทั่วไป ขณะที่ยังมีคนอีกส่วนหนึ่งเห็นความฝันเป็นช่องทางเชื่อมต่อกับต่างมิติ เช่น ขอดูเลขหวยงวดที่กำลังจะออก หรือติดต่อกับญาติที่เพิ่งตาย

แต่บางคนก็มีความสามารถพิเศษยิ่งกว่านั้น เช่น นักพยากรณ์ระดับโลกอย่างเอ็ดการ์ เคย์ (Edcar Cayce) ฝึกหลับเพื่อรู้นิมิตเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งหลายคำทำนายของเขาก็ถูกต้องตรงจริง มิฉะนั้นคงไม่ได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักประมาณน้องๆนอสตราดามุส

นอกจากนั้น ความฝันเป็นทางมาของผลงานแปลกใหม่ เช่น นักประพันธ์ขายดีข้ามชาติอย่างสตีเฟ่น คิง (Stephen King) ได้พล็อตเรื่องจากฝันระทึกในบางคืนของเขา คีตกวีนามอุโฆษอย่างนิโคโล แพกานีนี่ (Nicolo Paganini) ก็ได้งานเพลงชิ้นสำคัญมาจากการฝันว่าปีศาจสีไวโอลินให้ฟัง

ทุกวันนี้ฝรั่งนักเล่นฝันก็มีเทคนิควิธีใหม่ๆในการใช้ฝันให้เป็นประโยชน์ตามประสงค์ เช่น การฝึกมีสติรู้ตัวในฝันที่สมจริง (Lucid Dreaming) การฝันร่วมกัน (Mutual Dreaming) การใช้ฝันเพื่อเยียวยารักษา (Healing Dreaming) ฯลฯ จริงจังขนาดตั้งเป็นสถาบันวิจัยพัฒนากันใหญ่โตทีเดียว

สรุปว่าความฝันก็สำคัญไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ไม่ต้องเอาอะไรที่กล่าวมาข้างต้นเลยก็ได้ อย่างน้อยคุณคงเคยได้ยินข่าวโจรกลับใจมอบตัว เพียงเพราะฝันร้ายเห็นผีเหยื่อมาทวงแค้นทุกคืน หรือคุณอาจเจอมากับตัวเอง ประเภทต้องย้อนกลับไปหาคนรักเก่า เพียงเพราะทนอารมณ์พิศวาสแทบขาดใจในฝันหวานไม่ไหว หลายครั้งความฝันอาจเปลี่ยนวิธีที่คุณใช้ชีวิต หรือเปลี่ยนการตัดสินใจของคุณได้ จึงไม่ควรดูแคลน หรือมองว่าเป็นเรื่องเล็กที่สักแต่ผ่านไปชั่วคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝันเดิมๆที่เกิดขึ้นบ่อยๆ และจูงจิตให้ปักใจเชื่อว่านั่นเป็นโลกที่สองของคุณ

ยิ่งถ้าเป็นความฝันที่เกี่ยวกับการพัฒนาจิตวิญญาณ อันนั้นยิ่งต้องถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เพราะหมายถึงว่าคุณจะได้ใช้ชีวิตนี้เป็นประตูสู่ความพ้นทุกข์ หรือหลงวนติดกับอยู่กับวงจรลวงใจเดิมๆ เท่าที่ผมฟังมา นักปฏิบัติธรรมมากรายเล่าว่าตนเองได้วิธีฝึกจิตมาจากพระพุทธองค์หรือเทพพรหมที่มาสอนในฝัน ชาวบ้านธรรมดาหลายรายเปลี่ยนเป็นคนทรงเจ้าเพียงชั่วข้ามคืน โดยอ้างว่า ‘นายเก่า’ มาตามตัว และขอใช้ร่างเพื่อเป็นช่องทางให้ช่วยเหลือมนุษย์เพิ่มบารมี (หรือแปลอีกทีคือหาบริวารเพิ่ม)

ฟันธงกันแบบตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ของพวกนี้มีครับ ที่เป็นเรื่องจริง ไม่ได้อุปาทานไปเอง แต่ส่วนใหญ่โดนสะกดจิตหมู่ ช่วยกันสร้างอาณาจักรในฝันตามรูปแบบที่พากันปักใจเชื่อ แล้วก็เลยพากันฝันเห็นอะไรเหมือนๆกัน หรือคล้ายๆกัน หรือกระทั่งเหมือนได้ไปเจอและพูดคุยกันในอีกโลกหนึ่ง ทั้งที่จริงเป็นโทรจิตผ่านฝัน หรือผ่านภาวะสมาธิที่เชื่อมถึงกัน ซึ่งล้ำสมัยเหนือเทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไร้สายที่ว่าเร็วสุดขีดในปัจจุบัน เพราะในการสื่อสารทางจิตขณะฝันนั้นคุณจะเห็นภาพและเสียงเป็นสามมิติคมชัดไร้ที่ติ ในขณะที่เทคโนโลยีโลกเสมือนผ่านการสื่อสารไร้สาย ยังห่างไกลจาก พ.ศ. ๒๕๔๙ ไปหลายสิบปี

ฝันอันน่าติดใจบางเรื่องอาจดึงดูดให้หลายคนติดอยู่ใน ‘โลกใบที่สอง’ ซึ่งจิตสร้างขึ้นมาเองขณะหลับ พวกนี้อาจเกิดขึ้นได้น้อย เพราะอย่างที่บอกว่าคนเราไม่ค่อยเชื่อความฝันชั่วครู่ชั่วคราว แต่บางคนบทจะเชื่อขึ้นมาก็ถึงขั้นที่จิตสร้างฝันแบบเดิมให้เสพได้เกือบทุกคืนเลยทีเดียว พวกอารมณ์รุนแรง ความตั้งใจเด็ดเดี่ยวมากๆมักทำกันได้ครับ

เกริ่นเสียยาว ไม่ใช่อะไร อยากปูพื้นเสียก่อนว่าจิตขณะฝันไม่ใช่เรื่องเหลวไหลอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นจนเกินเลย เอาล่ะ! วกกลับมาตอบให้ตรงคำถามเสียที ขอแจงเป็นข้อๆนะครับ

๑) ความแจ่มชัดสมจริงของฝันไม่ได้แปลว่าฝันเป็นความจริงเสมอไป มันอาจหมายความว่าจิตของคุณนิ่ง มีคุณภาพ มีความสว่างเป็นกุศล เช่นบางคนอ่านหนังสือธรรมะเสร็จแล้วหลับทันที ก็อาจเกิดปรากฏการณ์ทางจิตได้หลากหลาย ขอให้ทำความเข้าใจว่า ‘เรื่องจริง’ ที่เกิดขึ้นแน่ๆคือจิตดีๆนั่นเอง ส่วนเหตุการณ์ในฝันไม่ต้องไปนับก็ได้ว่าจริงเท็จอย่างไร เพราะแก่นสารของชีวิตคุณอยู่ที่จิตเป็นกุศลหรืออกุศล เมื่อหลับด้วยกุศลจิตได้ก็น่าดีใจเหนือสิ่งอื่นใดแล้ว

๒) คำแนะนำดีๆ ถ้าดีจริงและสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้มาจากฝันก็หาใช่ข้อน่ารังเกียจแต่อย่างใด หากเป็นกำลังใจให้คุณอยากบำเพ็ญทานบารมี ศีลบารมี หรือกระทั่งภาวนาบารมี ก็ถือว่าเป็นนิมิตมงคลอันประเสริฐสำหรับตัวคุณเอง ต่อให้คุณฝันว่าคุยกับม้าพูดได้ แล้วม้าให้ข้อคิดอันวิเศษ นำไปใช้ได้จริง เชื่อม้ามันเสียหน่อยก็ไม่เสียหายหรอก ยิ่งถ้าฝันว่าคุยกับคน ก็คงไม่น่าประดักประเดิดที่จะนำมาพิจารณาบ้าง

๓) ผมไม่เคยส่งตัวเองเข้าไปในฝันของคนที่ไม่เคยพบหน้ากัน ฉะนั้นสิ่งที่คุณเห็นในฝันไม่ใช่ ‘ตัว’ ของผม ในขณะที่คุณเห็นผมคุยด้วย ผมอาจกำลังนอนหลับสนิท อาจกำลังนั่งสมาธิเพลินๆ หรืออาจกำลังยืนบิดเอวแก้เมื่อยจากการทำงานหลังขดหลังแข็งอยู่ก็ได้

๔) หากพบว่าสิ่งที่ผมพูด ไม่ใช่อะไรที่คุณเคยได้ยินจากใคร ไม่ใช่กระทั่งข้อเขียนต่างๆของผมในโลกความจริง อันนี้มีความเป็นไปได้หลากหลายครับ แต่ที่น่าจะเป็นมากกว่าอย่างอื่น คือจิตของคุณเองคุยกับตัวเอง โดยเอาผมไปเป็นหุ่นแทนอีกภาคหนึ่งของคุณ

ข้อสุดท้ายนี้ต้องขยายความ และถ้าจะจาระไนกันจริงๆก็คงได้เนื้อความหลายสิบหน้า เอาเป็นว่า ณ ที่นี้พูดแค่สั้นๆว่า เนื้อความทั้งหมดที่คุณอ่านจากหนังสือหรือข้อเขียนใดๆของดังตฤณ ล้วนแล้วแต่ไหลมาจากจิตของผม เมื่ออ่านบ่อยหน่อยถึงจุดหนึ่ง ก็อาจกล่าวว่าคุณสัมผัส ‘กระแสจิตของผม’ ได้

หลายคนอาจรู้สึกเหมือนคุยกับผมต่อหน้าต่อตากันมานาน สะสมแนวคิดและมุมมองของผมไว้ไม่น้อย อันนั้นก็เข้าไปเป็นข้อมูลที่จิตของคุณหยิบจับมาปรุงต่อได้พิสดารสารพัด บางคนเห็นผมตอบคำถามไขข้อข้องใจในฝันได้เป็นฉากๆ ตื่นขึ้นมายังจำได้สนิท นั่นก็เป็นความฉลาดทางจิตของคุณเอง เป็นปัญญาที่เกิดจากการสั่งสมความสว่างและแง่คิดตามจริง

เมื่อใดจิตมีคุณภาพ พร้อมจะมีเหตุผล พร้อมจะรู้เห็นโลกตามจริง เมื่อนั้นจิตย่อมมีคำตอบแก้ข้อสงสัยให้ตัวเองได้เสมอ อาจด้วยการหยั่งรู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลกันตลอดสาย

ความฉลาดขณะหลับฝันนั้น เป็นสิ่งที่ยังไม่มีใครค้นคว้าวิจัยกัน แต่บอกได้อย่างหนึ่ง คือถ้าก่อนหลับคุณสั่งสมกุศลอันเป็นธรรมชาติสว่างไว้มาก ฝึกที่จะมองและยอมรับชีวิตตัวเองตามหลักกรรมวิบาก ตลอดจนฝึกที่จะมองและรู้เห็นกายใจตนเองโดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น เมื่อลงสู่ความหลับอย่างมีสติ คุณอาจพบขุมทรัพย์ทางวิญญาณอันล้ำค่า

ในอีกทางหนึ่ง เพื่อให้คำตอบครอบคลุมความจริงทั้งหมด ผมอยากช่วยยืนยันว่าบางกรณี มีครูบาอาจารย์ หรือมีเทพมาเข้าฝันได้จริงๆ กลทางจิตไม่ใช่เรื่องยากนักสำหรับผู้ทรงฌาน คือแค่กำหนดดูวาระจิตอันเป็นปัจจุบันขณะของคนที่ต้องการติดต่อ และรู้ว่าเขากำลังอยู่ในสภาพ ‘พร้อมจะเห็นนิมิต’ อย่างเช่นกำลังหลับไหล หรืออย่างเช่นกำลังเข้าสมาธิได้สว่างนิ่ง ผู้ทรงฌานก็เพียง ‘เชื่อมต่อ’ จากจิตถึงจิตด้วยการนึกว่าจะให้เขาเห็น คงคล้ายกับที่คุณแอบย่องมาข้างหลังใครแล้วเพ่งนึก เหมือนสะกิดให้เขารู้สึกถึงการมาของคุณ หันมาเห็นคุณนั่นแหละ เพียงแต่อำนาจจิตขั้นสูงจะทำได้ยิ่งกว่า ‘สะกิดให้รู้สึก’ เยอะ

เมื่อกล่าวว่าเป็นไปได้จริง ก็ขอกล่าวในอีกทางหนึ่ง คือกรณีของเรียนรู้วิธีฝึกจิตหรือปฏิบัติธรรมจากในฝัน เช่นเห็นพระพุทธเจ้าหรือพระชื่อดังรูปใดมาสอน อันนั้นผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องปลอดภัยนัก เพราะโอกาสเสี่ยงไปเข้าทางมิจฉาทิฏฐิ มีสูงกว่าเข้าทางสัมมาทิฏฐิ จากที่ฟังคำให้การของผู้เรียนกรรมฐานจากครูบาอาจารย์ในฝัน ปรากฏว่า ๙ ใน ๑๐ เป็นอุปาทานเข้าข้างตัวเองที่ไม่รู้ตัว หรือแม้จะเจอ ‘ของสูงมาจริง’ ก็หาใช่นำไปสู่ความพ้นทุกข์เด็ดขาด แต่จะมาชวนให้ไปเป็นบริวารของท่านเสียมากกว่า

ยกตัวอย่างเช่นครูบาอาจารย์ในฝันมักเริ่มต้นด้วยการแนะนำให้รู้จักกับนิพพาน ส่วนใหญ่จะเห็นเหมือนแดนสุขาวดี มีปราสาทวิมานแก้ว มีดอกบัวสะพรั่ง มีบรรยากาศสงบเยือกเย็นน่าเป็นสุขเหลือประมาณ หรืออีกทีก็เห็นว่านิพพานเป็นอวกาศ มีตัวเองลอยเท้งเต้งอยู่อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ตื่นขึ้นมาแล้วบ่นอุบว่านิพพานไม่เห็นมีอะไร น่าเบื่อจะตาย ผมฟังแล้วก็ได้แต่ถอนใจครับ พวกที่เชื่อว่าตนมีเทพพรหมมาโปรดถึงในฝันนั้น พูดบอกหรือชี้แจงให้เข้าใจยาก เนื่องจากหลงนึกว่าตัวเองมีดีเหนือมนุษย์เสียแล้ว

ถ้าจะเรียนกรรมฐาน ขอแนะนำให้เรียนกับครูบาอาจารย์ที่มีชีวิต มีความสามารถแสดงเหตุผล และคุณสามารถนำไปสอบเทียบกับพระไตรปิฎกได้ ว่าถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนเพียงใด วันหนึ่งเมื่อคุณรู้จักนิพพาน คุณจะรู้ว่าไม่มีรสอะไรเหนือกว่านั้นอีกแล้วจริงๆ และนิพพานก็เป็นสิ่งที่สัมผัสรู้ได้ด้วยจิตขณะตื่นเต็ม ไม่ใช่ต้องหลับฝันหรือพึ่งบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนเสียก่อน จิตอันบำเพ็ญบารมีครบพร้อมแล้วนั่นแหละ ที่จะพบว่านิพพานอยู่ใกล้แค่เอื้อม ขอแค่มองชีวิตจริงให้ถูก มองชีวิตจริงให้เป็นเท่านั้น

หลังจากอ่านคำตอบจบ คืนนี้คุณอาจฝันเห็นอะไรต่ออะไร ก็ขอแนะนำไว้ล่วงหน้า ว่าให้ถือเป็นกำลังใจ แต่อย่ายึดไว้เป็นอุปาทานนะครับ

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

บทสวดอิติปิโส คำแปล และเสียงสวดคุณดังตฤณ


ที่มา : หนังสือ "วิปัสสนานุบาล"
เขียนโดย : ดังตฤณ

ดาวน์โหลดอีบุ๊กฟรี: http://www.dungtrin.com/resources/vipassana.pdf
สั่งซื้อออนไลน์: เล่มละ ๒๙ บาท http://bit.ly/1hgV5Ti
ดูวิธีสั่งซื้ออย่างละเอียดได้ที่ http://bit.ly/1iISnJz

บทสวดอิติปิโส




คำแปลอิติปิโส

พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น
เป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง 
เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ 
เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
เป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบานด้วยธรรม
เป็นผู้มีความเจริญ สามารถจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์
เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ไม่มีใครยิ่งไปกว่า

พระธรรม
เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงตรัสไว้ดีแล้ว
เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง
เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริงไม่จำกัดกาล
เป็นสิ่งที่ควรกล่าวแก่ใครๆว่า ท่านจงมาดูเถิด 
นี่คือสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตน
เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน

พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ปฏิบัติดีแล้ว
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ปฏิบัติตรงแล้ว
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรม
อันเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ปฏิบัติสมควรแล้ว
ได้แก่ อริยบุคคล ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ
พระสงฆ์เหล่านั้นแหละ 
เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา 
เป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ 
เป็นผู้ควรแก่ทักษิณา
เป็นผู้ควรแก่การทำอัญชลี
เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า



เสียงสวดอิติปิโส

เชิญรับฟังเสียงสวดคุณดังตฤณ ได้ที่ :
(เสียงสวดเริ่มต้นนาทีที่ ๕.๒๑)



วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

อาชีพค้าขายสุรา มีวิบากกรรมอย่างไร?

ถาม : ผู้ที่ทำอาชีพค้าขายสุราจะได้รับวิบากกรรมในด้านใด? อย่างไรบ้าง? และจะมีอกุศลวิบากที่ส่งผลเฉพาะต่อการปฏิบัติธรรม หรือเข้าถึงธรรมอย่างไรบ้าง?
 
ดังตฤณ: 
อันดับแรกเลยก็อยากจะบอกว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็น "มิจฉาวณิชชา" หรือว่าการค้าขายที่ผิดที่ไม่ดี ก็มีสุรารวมอยู่ในนั้นอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการขายเนื้อ เป็นการค้ามนุษย์ เป็นการขายยาพิษ เป็นการขายสุรา เป็นการขายอาวุธ เหล่านี้พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นมิจฉาวณิชชาทั้งสิ้น

มิจฉาวณิชชาคือ พูดง่ายๆว่า
ค้าขายไปแล้ว มันได้กำไรทางโลกแต่ขาดทุนทางธรรม !

คิดง่ายๆเลย ทีนี้ผมก็อยากจะให้มองอย่างนี้ด้วยว่า การขายเหล้ามันมีหลายระดับ บางคนเนี่ยตั้งใจเปิดร้านเหล้าเลย ชัดๆเลย ไม่ใช่แค่ให้คนมีการกินเหล้าย้อมใจ แต่เอาผู้หญิง เอาบรรยากาศมาย้อมใจให้มึนเมา มัวเมา ลุ่มหลงไปในทางที่ต่ำ ในทางที่มืดชัดๆด้วย

แต่บางคนก็เปิดร้านเล็กๆ เป็นร้านชำแล้วขายเหล้าด้วย ตัวการคัดกรองเหล้าเข้ามาเป็นสินค้าเนี่ย ใจมันก็ค่อนข้างจะยึดพอสมควรว่า ร้านเราขายเหล้า ร้านเราทำกำไรด้วยการขายเหล้า อันนี้ก็เป็นอีกระดับหนึ่งนะ คือเบาลงมากว่าการที่ไปสร้างบรรยากาศย้อมใจเหมือนข้อแรก แต่ว่ามันก็ยังหนักอยู่ เพราะว่าจิตมันยังเล็งไปที่เหล้าอยู่ เห็นเหล้าเป็นสินค้าเด่นๆชัดๆอยู่ และเป็นตัวทำกำไรอยู่

ยกขึ้นมาอีกระดับหนึ่งอย่างพวกโรงแรม หรือว่าสถานบริการที่มีความหลากหลายอย่างเนี่ย เขาก็ให้การขายเหล้าเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ใจมันจะไม่เข้าไปเกาะอยู่มากกับกิจการค้าเหล้า คือจะดูแลให้สถานพัก สถานบริการ มันเป็นไปตามธรรมชาติของสถานที่ประเภทนั้นๆ มากกว่าที่จะคิดว่าจะให้ของๆเรามันเป็นร้านขายเหล้า นี่ก็จะเบาลงมาอีกระดับหนึ่ง

ผมอยากจะบอกว่าคือ ขายเหล้าเนี่ยยังไม่ได้ตัดสินว่าจะไปดีหรือไปไม่ดี มันขึ้นอยู่กับว่าเราเน้นแค่ไหนกับการขายเหล้า อีกอย่างหนึ่งคือ เราขายเหล้ามีการชักชวนหรือเปล่า มีการโน้มน้าวหรือเปล่าด้วย ถ้ามีการโน้มน้าวอย่างเช่นทุกวันนี้ ก็จะเห็นขบวนการเชียร์เบียร์ คนไม่อยากกินก็ไปทำให้เขาอยากกินขึ้นมา ด้วยการเอาขาอ่อนไปล่อ หรือว่าไปทำตาหวานๆ แล้วก็กินไหมคะ ถ้าไม่กินก็ทำคล้ายๆปากเบะนิดนึง ไม่กินเหรออะไรแบบนั้น ก็เป็นอะไรที่อยากจะให้เข้าใจว่า มันมีระดับของการขายเหล้าแตกต่างกัน

แล้วทีนี้เรามาเล็งว่า ผลกับผู้ที่กินเหล้าคืออะไร?

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้ากินเหล้ามากๆ ระดับที่เป็นขี้เมานะ คือแอลกอฮอล์เข้าไปในสายเลือด ขนาดว่าได้กลิ่นแอลกอฮอล์มาจากลมหายใจเลย ระดับนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า คงไม่พ้นนรก เพราะว่าจิตใจมันถูกย้อมให้ลงสู่ที่ต่ำ คนที่เป็นขี้เมาดูง่ายๆเลย พูดจามันออกทางต่ำหมดแหละ มันไม่ค่อยจะพูดจากันเรื่องสูงๆหรอก พูดกันเรื่องต่ำๆ แล้วก็ด่ากันหยาบๆคายๆ แล้วก็มีชัดเจนเลยคือว่า โมโหร้าย โมโหอาละวาดอะไรแบบนี้

พระพุทธเจ้าตรัสว่า โทษสถานเบาของการเคยเป็นนักเลงสุรา ร่ำสุราไว้มากๆ โทษสถานเบาก็คือว่า ถ้ากลับมาเกิดในมนุษยโลกอีกครั้งจะเป็นบ้า คือจิตใจจะฟุ้งซ่านจัดมาก คิดอะไรมันเหมือนกับคิดไม่ออกบอกไม่ถูก พูดง่ายๆว่า โง่เพราะพิษสุราข้ามชาติ นี่ตรงนี้นะเป็นสิ่งที่นักเลงสุราเขาจะได้รับกัน

แล้วคิดดูก็แล้วกันว่า คนที่ยุยงส่งเสริม หรือว่าเอาสุรามาทำให้เขาต้องเป็นบ้า มันจะเป็นอย่างไร มันก็ออกแนวเดียวกันแหละ วันหนึ่งมันก็ต้องมีคนมายุให้เราเป็นบ้า วันหนึ่งมันก็ต้องมีคนมายุให้เราทำลายสติตัวเอง จะโดยทางใดทางหนึ่งก็ตาม วันหนึ่งก็คงมามีใครทำให้เราลุ่มหลงมัวเมา มันมาด้วยกันเลยเห็นไหม



คือเหล้ามันทำให้สติขาด แล้วก็ทำให้เกิดความมัวเมา ทำให้เกิดความมัวหมอง แล้วไอ้อะไรที่มันเป็นเครื่องประกอบของความมัวเมา ความมัวหมอง ไม่ว่าจะเป็นขาอ่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทะเลาะวิวาท มองหน้ากันนิดเดียวในร้านเหล้าสามารถฆ่ากันได้ จิ้มกันได้ ทั้งหลายทั้งปวงแล้วก็คือว่า อะไรที่มันเกี่ยวข้องกับทางต่ำ มันก็ดึงลงต่ำได้หมดแหละ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะทำหนักทำเบาแค่ไหน

________________

คลิกที่บทความเพื่ออ่านต่อ :