วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วิธีสู้โมหะที่ใหญ่เกินกำลังสติ

ถาม : ในกรณีที่เราต้องทำงานอยู่ในพื้นที่ที่มันมีพลังโมหะเยอะๆ หรือบางทีอยู่ในที่ที่คนที่มีพลังแปลกๆ หรือพลังที่มันมืดเข้ามา เราจะมีวิธีช่วยให้ตัวเองอย่างไรให้สามารถภาวนาได้

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/IWMAL0O1pmE
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๑๖
๑๒ ต.ค. ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก 

ดังตฤณ: 
เวลาที่เห็นความมืดภายนอก หรือว่าความสะเทือนที่มันเป็นลบ ที่มันแผ่ออกจากภายนอกมากดดันเรา จริงๆแล้วถ้ามองในแง่ของการเจริญสติเนี่ย เราได้เครื่องฝึกให้จิตมีความเข้มแข็ง ให้สติมันมีความแก่กล้า..มันยาก เหมือนกับอยู่ๆให้คนที่ยังไม่มีกำลังเลย ให้ไปฝึกกับนักมวยปล้ำที่มันมีกำลังมากกว่า อย่างนี้ยาก.. แต่ของเราก็ฝึกมาหลายปี บอกตัวเองว่า ไม่ใช่ขี้ไก่เหมือนกันนะ ไม่ใช่ไก่กา เราก็ได้บ่มเพาะ ได้มีกล้ามเนื้อ ได้มีพลังของนักสู้มาพอสมควรแล้ว ต้องบอกกับตัวเอง ต้องให้กำลังใจตัวเองนิดหนึ่ง

ถ้าหากว่าคู่ต่อสู้จะมีกำลังมากกว่า ก็หมายความว่า เราได้โอกาสที่จะฝึก เราได้มีจุดที่จะเพิ่มความเข้มแข็งให้ตัวเอง โดยการมีใจคิดสู้  

คำว่าสู้ของนักเจริญสติ ก็คือ
ไม่ถอยไปจากอารมณ์
ที่มันเข้ามากระทำย่ำยี
อารมณ์ลบ หรือว่าพลังลบ
พลังมืด พลังโมหะ
ที่มันพยายามจะเข้ามากดดัน
ทำให้เราพลอยมีโมหะตามไปด้วย
เราเห็นเป็นคู่ต่อสู้และก็เห็นเป็นเครื่องฝึกจิต
ให้มีกำลังกล้าแข็งมากขึ้น
ตรงนี้มันก็จะเกิดกำลังใจ

และก็เกิดความมีแก่ใจว่า เวลาที่โดนกดดันมา เราเห็นความกดดันหรือเปล่า หรือว่ายอมรับ เปิดประตูให้ความกดดันเข้ามากระทำตรงๆ สังเกตจิตสังเกตใจตัวเอง  ส่วนใหญ่นะ
..เวลาที่ไปเจอโลภะ โทสะ โมหะแรงๆของคนอื่น เข้ามากระแทก มากระทบ  ใจเรามันจะเปิดประตูรับ มันจะเหมือนกับรู้สึกว่าหนีไปไหนไม่ได้

ทีนี้ถ้าหากว่าเรามีใจแบบนักสู้ คือบอกว่าโอเค เข้ามาเนี่ยมันไม่มีทางที่จะหนีไปไหนแล้ว  โจทย์คือว่า เราจะตั้งป้อมสู้อย่างไร? คนส่วนใหญ่ตั้งป้อมสู้ด้วยอาการเกร็งกำลังภายใน  มันฮึด..เหมือนกับในหนังจีนกำลังภายในที่เบ่งกล้ามเนื้อออกมาให้เค้าทุบตี  ซึ่งอาการแบบนั้นมันไม่ใช่การสู้แบบนักเจริญสติที่ฉลาด สิบวินาทีแรก ถ้าหากว่าเป็นแบบนั้นไม่เป็นไร แต่ถ้าเกินสิบวินาที เกินนาทีขึ้นไปเนี่ย ถือว่าไม่ฉลาดแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น เวลามีใครมาพูด ทั้งๆที่มันไม่ได้มีเรื่องด่วน เรื่องร้าย แต่คำพูดของเค้ามันร้อน มันกระแทกและทำให้เราเกิดโทสะ มันมีอาการน้ำเสียงแข็งๆ ห้วนๆ หรือว่าจะมาสั่ง เหมือนกับเจ้านายจิกหัวใช้ข้าทาสอะไรแบบนั้น  สิบวินาทีแรก มันไม่มีใครไม่โกรธหรอก มันต้องเกิดความรู้สึกที่มันรุนแรง สวนกลับไปเป็นกิริยา อันนั้นเป็นธรรมดา ถ้าเราอดกลั้นไว้ไม่มีอาการสะบัด ไม่มีอาการฟึดฟัด อันนั้นเรียกว่าโอเค แต่ถ้าเกินสิบวินาที แล้วเรายังมีอาการฟึดฟัดๆอยู่ ฮึดฮัดอยู่ข้างใน อันนี้เรียกว่า ไม่ฉลาดแล้ว

สิบวินาทีแรก
ถ้ามันฮึดฮัดฟึดฟัด เป็นเรื่องธรรมดา

แต่ถัดจากนั้นไป ถ้าเราเจริญสติมาจริง
มันต้องเริ่มมีอาการสังเกตเข้ามาข้างในแล้ว


ว่า เออนี่ ลักษณะฟึดฟัดมันไปถึงไหนแล้ว มันลามมาถึงร่างกาย หรือว่ามีอาการมืดทั่วทั้งใบหน้าหรือเปล่า มีอาการร้อนทั่วทั้งตัวหรือเปล่า และในอาการรู้สึกถึงภาวะทางกาย เรามีอาการสังเกตอยู่ด้วยไหมว่า อาการดังกล่าวเนี่ย มันลดระดับลง หรือว่าเพิ่มระดับขึ้นมา หรือว่าเท่าเดิม ถ้าหากว่าสังเกตอยู่ถึงความไม่เที่ยง ถึงความไม่เท่าเดิม นี่เรียกว่าฉลาด นี่เรียกว่าแม่นในหลักการ นี่เรียกว่าสติของเรา อย่างน้อยนะ..มันเจริญขึ้น

ทุกครั้งที่โกรธนะ
ถ้าดูเข้ามาในความไม่เท่าเดิม
นั่นคือความก้าวหน้าขึ้นแล้ว
นั่นคือความเจริญงอกงามขึ้นแล้วของสติ  

แต่ถ้าหากว่า มีอาการกระทบกระทั่งขึ้นมา
แล้วเราดูอยู่นั่นแหละ เฝ้าดูอยู่นั่นแหละ
จดจ้องอยู่นั่นแหละ รู้นะว่าโกรธ รู้นะว่าโกรธ
นี่มันไม่ฉลาดแล้ว มันจะไม่เห็นอะไรเลย!


โดยอาการที่ถูกต้องของจิตเนี่ย จริงๆแล้วมันต้องสักแต่รู้แหละ แต่ว่าโดยในทางการปฏิบัติจริงของคนทั่วไป มันมีแต่อาการท่อง..ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองว่ารู้ รู้ไปเฉยๆ แต่อาการของจิตมันไม่ใช่รู้ มันมีแต่อาการท่องจำเอา! มันมีแต่อาการบริกรรมเอา! ฉะนั้นดูตัวนี้แหละ ไม่ว่ามันจะมีพลังกระทบกระแทกเข้ามา กี่ครั้งกี่หนก็แล้วแต่ ถ้าหากเรารู้ว่า เออ จิตของเรามันสะเทือนตามไปด้วยอย่างไร เค้ามืดมา เรามืดตาม

แน่นอนมันยังไม่แข็งแกร่งพอ
มันยังไม่ได้มีจิตที่กว้างใหญ่มากพอ
ที่จะมีอิทธิพลต่อจิตภายนอก
จิตภายนอก
ยังมีอิทธิพลต่อจิตของเรามากกว่า!

..เราก็เห็นไป ด้วยอาการยอมรับตามจริง’ 
ด้วยอาการสังเกตเห็นว่า
สิ่งที่เป็นปฏิกิริยาทางใจของเราเนี่ย

มันเป็นลบตามเค้า
และอาการลบนั้น
แสดงความไม่เที่ยงอยู่ 
ตรงนี้แหละ ที่มันจะแก้ครอบจักรวาล!




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น