วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2562

ขับรถชนคนตายบาปหรือเปล่า? (ดังตฤณ)


ถาม – ขับรถชนคนตายบาปหรือเปล่า?

ดังตฤณ : 


จะดูว่ากรรมใดเป็นบาปหรือเป็นบุญ พระพุทธเจ้าชี้ให้มองที่ประธานของกรรมคือเจตนา ซึ่งก็เหมือนกับกฎหมายที่ตราโดยผู้ทรงความเป็นธรรมทั่วโลก คือจะมองว่าใครผิดใครถูก หรือมีน้ำหนักควรลงโทษลงทัณฑ์อย่างไร ก็ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับเจตนาทั้งสิ้น

ทว่าผู้นั่งบัลลังก์พิพากษาซึ่งถือกฎหมายไว้ในมือนั้น บางทีตัดสินว่าผู้ต้องหากระทำผิด เช่นสืบพยานประกอบหลักฐานแล้วส่อว่ามีเจตนาร้าย พอลงโทษผู้ต้องหาไปหลายปี จึงค่อยพบหลักฐานใหม่ รื้อคดีใหม่ ถึงทราบว่าผู้ต้องหาบริสุทธิ์ นี่แสดงให้เห็นว่าแม้กฎหมายให้ดูเจตนาเป็นหลัก แต่ผู้ทำหน้าที่พิพากษาก็อาจมีข้อมูลไม่เพียงพอจะล่วงรู้ลึกซึ้งไปถึงเจตนาที่แท้จริงของผู้ต้องหาได้ และอาจตัดสินเจตนาของผู้ต้องหากันผิดๆถูกๆได้

ส่วนกฎแห่งกรรมซึ่งทำงานอยู่ทุกวินาทีในธรรมชาตินั้น ตัดสินสัตว์ทุกรูปนามอย่างเที่ยงตรงแม่นยำเสมอ และจะไม่กลับกลอกเป็นอื่นในภายหลังด้วย เนื่องจากเจตนาขณะก่อกรรมเป็นจริงได้เพียงหนึ่งเดียว หนเดียว เจตนาเกิดขึ้นอย่างไร ก็ปรากฏโดยความเป็นสัจจะอย่างนั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วยวิธีบิดเบือนล่อหลอกใดๆ กรรมที่เกิดขึ้นโดยเจตนาอันเป็นบุญหรือเป็นบาป ย่อมนับถอยหลังรอการออกดอกออกผลดีร้ายตรงตามเจตนานั้นๆอย่างแน่นอน โดยไม่ต้องสืบพยาน ไม่ต้องผ่านการพิจารณาตรวจสอบหลักฐานจากใคร เนื่องจากเจตนาของเจ้าตัวนั่นเอง พิพากษาตนเองว่าเป็นบุญหรือเป็นบาปตั้งแต่ตอนลงมือทำไปแล้ว

ฉะนั้นถามว่าขับรถชนคนตายบาปไหม… ต้องดูกันในขณะแห่งการเกิดเหตุว่าคุณมีเจตนาอย่างไร เจตนาในขณะนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครตรวจสอบได้อย่างถ่องแท้เท่าตัวคุณเอง

ถาม – วันที่เกิดเหตุได้ขับรถกลับบ้านหลังจากเลิกงาน ฝนกำลังตก วิ่งประมาณ ๘๐ มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่กลางถนนจึงเบรกไม่ทัน ชนเธอจนเธอกระเด็นไป พอดีมีรถอีกคันหนึ่งมาทับเธอและหนีไป ผมจอดรถและเรียกตำรวจ เรียกสามีเธอมา สามีเธอเมามากพูดจาไม่รู้เรื่อง แต่ทราบในภายหลังว่าก่อนเกิดเหตุเธอทะเลาะวิวาทกับสามี

แยกแยะเป็นรายละเอียดได้ตามนี้ครับ

๑) ขับ ๘๐ ขณะฝนตกถือว่าไม่ได้ประมาท เพราะฉะนั้นกรรมที่เกิดจากการขับรถโดยประมาทในสถานการณ์คับขันนั้นตัดทิ้งไปได้ (สำหรับข้อนี้ ขอบอกไว้คลุมๆสำหรับทุกท่านว่ากินเหล้าเมาแล้วยังฝืนขับรถ ถือเป็นโทษหนักซ้อนกันสองข้อ ข้อแรกคือทำบาปด้วยการย้อมกายย้อมใจให้สติพร่าเลือนด้วยน้ำเมา ข้อสองคือทำบาปด้วยการขับรถโดยประมาททั้งรู้ว่าไม่มีความสามารถรับผิดชอบเพียงพอ แต่สำหรับคุณผู้ถามคงไม่มีประเด็นนี้นะครับ เท่าที่ทราบคือถ้าขับรถชนคนตายขณะเมาก็ต้องติดคุกสถานเดียว หลีกเลี่ยงยากแม้มีเงินมากขนาดไหนก็ตาม)

๒) ผู้หญิงนั่งกลางถนนถือเป็นเรื่องเกินความคาดหมายของผู้ขับขี่ยวดยานทั่วไป จากที่คุณทราบว่าเธอทะเลาะกับสามีในภายหลัง ก็พอสันนิษฐานได้ว่าเธอเจตนามานั่งอยู่ตรงนั้นเพื่อฆ่าตัวตาย นับเป็นกรรมหนักของเธอ ทั้งในแง่คิดทำลายชีวิตตัวเองขณะจิตใจเศร้าหมอง กับทั้งในแง่ที่พลอยทำให้ผู้อื่นต้องพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย เธอตายเพราะเจตนาของตัวเอง ไม่ใช่ตายเพราะเจตนาวางแผนฆ่าหรือแม้แต่เจตนาขับรถด้วยความประมาทของคุณ และแม้แต่รถอีกคันที่มาชนซ้ำ ก็ไม่ได้มีเจตนาฆ่าแกงใครเลย

๓) คุณจอดรถเรียกตำรวจ อันนี้น่าสรรเสริญ ถือว่าเจตนาหลังเกิดเหตุเป็นกุศล ไม่หนีเอาตัวรอดอย่างขาดเมตตาเหมือนเจ้าของรถอีกคัน สำหรับเจ้าของรถที่หนีไป แม้ไม่มีเจตนาฆ่าคนตายเป็นประธานในการก่อกรรม แต่ก็มีเจตนาหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อชีวิตคน อันนี้ก็กลายเป็นกตัตตากรรมได้ คือเป็นกรรมที่ทำโดยไม่ได้เจตนาให้เป็นไปเช่นนั้น แม้มิได้จงใจฆ่า แต่จงใจหลบหนีไม่ไยดี ซึ่งอาจมีผลให้ผู้อื่นเสียชีวิตโดยหมดโอกาสรอด ถือว่าเฉี่ยวกันกับการก่อกรรมข้อปาณาติบาต (แต่เขาเห็นคุณเป็นคนชนก่อน และเห็นคุณหยุดรับผิดชอบไปแล้ว ก็อาจยกประโยชน์ให้ว่าโทษคงเบาลงอีกหน่อย)

รวมทั้ง ๓ ข้อนี้แล้วก็พอสรุปได้ว่า คุณไม่ได้ทำบาปไปเลยแม้แต่น้อย เพราะไม่มีเจตนาร้ายทั้งก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ ฉะนั้นขอให้สบายใจได้ว่าในทางธรรม ในการตัดสินของกฎแห่งกรรม คุณไม่มีความผิดที่ต้องชดใช้แต่ประการใด และวิญญาณก็ไม่น่าตามมาหลอกหลอน เพราะคนฆ่าตัวตายต้องการยืมดาบในมือคุณมาแทงเขา จึงปราศจากจิตคิดแค้นเคืองอาฆาตเอากับคุณ เว้นแต่จิตคุณจะหลอกหลอนตัวเองเพราะความคิดมากไปเอง

อย่างไรก็ตาม ในทางโลกคุณอาจต้องวุ่นวาย ถูกสอบปากคำ ถูกเรียกค่าช่วยเหลือ หรือถูกตัดสินอะไรแบบที่ต้องให้เกิดความเดือดเนื้อร้อนใจไปอีกพัก ตรงนี้ชี้ได้ว่าเป็นวิบากของกรรมในอดีตอย่างแน่นอน เพราะเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นแล้วมีผลกระทบอย่างใหญ่ ย่อมไม่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ต้องมีสาเหตุอยู่เบื้องหลังเสมอ

ผมรู้สึกเห็นใจคุณมากนะครับ เคราะห์ร้ายที่มาถึงตัวโดยไม่เคาะประตูเรียกหรือส่งสัญญาณเตือนนั้น ขอภาวนาอย่าให้เกิดขึ้นกับคุณและผู้อ่านทุกคนอีกเลย เรื่องอัปมงคลทำนองนี้บั่นทอนสุขภาพจิตได้มากถึงมากที่สุดสำหรับผู้ยังมีจิตสำนึกดีๆทั้งหลาย

ถาม – กรรมใดชักนำให้ต้องมาเจอเหตุการแบบนี้ และจะทำอย่างไรต่อไปดี? (ขอทำแบบไม่ต้องใช้เงินมากเพราะเงินไม่ค่อยจะมี)

ขอให้มองว่าวิบากที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้คุณต้องเดือดเนื้อร้อนใจ เป็นการรับเคราะห์ หรือกลายเป็นคนผิดทั้งที่ไม่ได้เจตนาทำผิด อีกประการหนึ่งคือคุณกับผู้ตายไม่รู้จักกันมาก่อน ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน เธอเอาตัวเองเข้ามาวางไว้ในตำแหน่งที่จะถูกยวดยานคันไหนชนก็ได้ ครั้งนี้ต่างฝ่ายต่างเป็นตัวเลือกสุ่มของกันและกัน จึงไม่ใช่การผูกเวรแบบจำเพาะเจาะจง วิบากประเภทนี้เกิดจากกรรมประเภทหนึ่งที่สั่งสมมา หรือทบๆกันมาจากอดีต คือไปยัดเยียดความรู้สึกผิดและความเดือดร้อนให้คนอื่นโดยเขาไม่มีสิทธิ์ป้องกันตัว

กรรมของคุณเป็นผู้เลือกให้รถคุณเป็นอาวุธฆ่าตัวตายของเธอ ผู้คนส่วนใหญ่ก็ทำกรรมทำนองนี้มา เพียงแต่วันเกิดเหตุนั้นถึงตาคุณกับเจ้าของรถอีกคัน ด้วยความประจวบเหมาะของตำแหน่งสถานที่ กำหนดเวลา และตัวบุคคล เช่นหากวันนั้นเธอไม่ถึงฆาต วิบากจะเลือกเจ้าของรถอื่นที่เห็นเธอก่อนและมีสิทธิ์เบรกทัน เป็นต้น

ส่วนที่ว่าควรทำอย่างไรต่อไป ทางคดีโลกผมคงให้คำแนะนำไม่ได้ แต่สำหรับคดีธรรม ก็อยากให้คุณทำเป็นข้อๆดังนี้

๑) ตระหนักว่านี่ไม่ใช่บาปกรรมอันเป็นของใหม่ของคุณ เพราะฉะนั้นสบายใจเสีย อย่ารู้สึกผิด อย่าคิดมาก อย่ากลัดกลุ้มกังวลเฝ้าคอยนึกถึงภาพหลอนในวันนั้น

๒) ตระหนักว่าเป็นวิบากเก่ามาทวงหนี้ ขอให้ยอมรับด้วยหน้าชื่น ไม่คิดร้ายกับใครให้เกิดการผูกเวรกันต่อ การยอมเป็นผู้เสียหายที่ไม่ผูกเวรจะทำให้วงจรแห่งความเคราะห์ร้ายทำนองเดียวกันนี้หายไป หรือลดลงได้อย่างมาก

๓) ทำบุญในทุกๆทาง ทั้งกาย วาจา ใจ เช่นกำหนดว่าจะถือศีลรักษาสัตย์ อาจจะสักอาทิตย์หนึ่ง หรือจนกว่าจะรู้สึกสว่าง อบอุ่น มีจิตที่สะอาดปลอดโปร่ง แล้วตั้งใจอุทิศส่วนกุศลที่คุณได้ใช้เลือดเนื้อแห่งความเป็นมนุษย์สร้างศีลสร้างธรรมขึ้นมานั้นให้กับเธอ คือคุณสว่างอบอุ่นอย่างไร ขอให้เธอรู้สึกถึงความสว่างอบอุ่นอย่างนั้นด้วย กระแสจิตของคุณจะได้เบี่ยงเบนจากความกังวลรู้สึกผิดให้เป็นสบายใจยิ่งๆขึ้น

๔) สำรวจการกระทำของตนเองอย่างละเอียด เมื่อพบว่ากรรมใดของคุณมีเค้าของการยัดเยียดความรู้สึกผิดและความเดือดร้อนให้คนอื่น ก็อธิษฐานไปเลยว่าจะงดเว้นกรรมนั้นๆอย่างเด็ดขาดเสีย หรือถ้าสำรวจไปแล้วไม่พบว่าชาตินี้คุณทำอะไรเช่นนั้นเลย ก็ขอให้ตั้งใจว่าจะไม่ให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2562

ขายของปรุงแต่งความงาม จะทำให้เข้าถึงธรรมยากหรือไม่


ดังตฤณ : ผมไม่แน่ใจว่ามีมาในพระไตรปิฎก หรือว่าชั้นอรรถกถานะ 
แต่มีพระโสดาบันอยู่คนหนึ่ง ในสมัยพุทธกาล หรืออย่างน้อยใกล้กับสมัยพุทธกาล
ท่านบรรลุธรรมแล้ว เห็นกายใจไม่ใช่ตัวตน เห็นนิพพานแล้ว
รู้ว่าความเป็นจริงขั้นสูงสุดที่อริยเจ้าสนใจ มีอยู่จริง
ที่ทะลุออกไปจากความเป็นมิติหยาบๆ แบบนี้ ท่านรู้แล้ว
แต่ท่านไม่เลือกที่จะบวช ท่านยังอยู่ในฆราวาสวิสัย
ท่านยังประกอบอาชีพทำมาหากินอยู่ โดยท่านขายน้ำหอม
ซึ่งเป็นเครื่องปรุงแต่งให้เกิดความชื่นใจ รื่นรมย์ หรือหลงใหล

พระโสดาบันยังทำได้ แล้วในอรรถกถา ก็เคยมีบอกไว้
บอกว่า ถ้าจะดูตัวอย่าง ว่าอันไหนทำได้ ไหนทำไม่ได้ในแบบพุทธ
ก็ดูพระพุทธเจ้าก่อนเลยเป็นอันดับแรก
ถ้าพระพุทธเจ้าไม่อยู่ในวิสัยที่จะให้ตัวอย่าง ก็ดูชั้นรองๆ ลงมา
พระอรหันต์ท่านทำอะไรได้บ้าง พระอนาคามีท่านให้คำแนะนำอะไรบ้าง
พระสกทาคามี ทำตัวอย่างไร พระโสดาบันยังเป็นแบบไหนได้อยู่

อย่างนางวิสาขา ก็เคยมีชุดเครื่องประดับ เครื่องทรง
ที่แพงที่สุดในชมพูทวีป ณ เวลานั้น
ท่านก็แต่งตัว แต่งงามเหมือนกัน ทั้งที่เป็นโสดาบันตั้งแต่เจ็ดขวบ

ฉะนั้นอะไรแบบโลกๆ อะไรที่เป็นเครื่องปรุงแต่ง
ที่ทำให้เกิดความหลงเพลิน หรือว่ายินดี ก็ไม่ได้เป็นสิ่งผิดเสมอไป
อย่างในเรื่องของเครื่องประดับ เครื่องตกแต่ง
ถ้าหากว่าเรามองในแง่ที่ว่าเป็นธรรมดาของผู้หญิง
“นารีมีรูปเป็นทรัพย์” พุทธพจน์ ท่านตรัสไว้
ถ้าหากว่าทรัพย์ถูกตกแต่งให้ดูสวย ดูงาม ตามนิยมของชาวโลก
ก็ไม่ได้ไปทำให้จิตใจของเราตกต่ำกว่าที่ควร

แต่ถ้าหากถึงขั้นล่อตาล่อใจ จูงใจให้จิต พุ่งไปติดอยู่กับเรื่องทางเพศ
อันนี้มีผลนะ จะทำให้ภาวนายาก
เพราะว่าพอไปชักชวน หรือว่าให้คนมาหมกมุ่นอะไรที่เป็นราคะอย่างแรง
ใจของเราจะพลอยมีเครื่องกั้น ไม่ให้เห็นอะไรแบบที่เบาสบาย
ไม่สามารถที่จะเห็นอะไรตามจริงตามไปด้วยนะ

ขอให้คิดง่ายๆ เลยว่า
ที่เราเจริญสติกัน ก็เพื่อให้พ้นแรงดึงดูดของความยึดติด
ถ้าหากว่าเราอยู่ใกล้การส่งแรงดึงดูด ส่งแรงยึดติด
ให้คนอื่นๆ มาหลง มายึดติดมากขึ้นเท่าไหร่
ก็ยิ่งทำให้ตัวเราเองถอนใจออกจากความยึดติดยากขึ้นเท่านั้น
ง่ายๆ มีอยู่แค่นี้

โลกนี้มีแรงดึงดูดอยู่ สังสารวัฏมีแรงดึงดูดอยู่
เรากระทำตนในแบบที่จะทำให้ความยึดติดนั้นเหนียวแน่นยิ่งขึ้น
หรือว่าถอนออกห่างมา หลักการง่ายๆ มีอยู่แค่ตรงนี้แหละ
!

https://www.youtube.com/watch?v=zlSIWfb_gzo

ถาม : ขายของปรุงแต่งให้สวยๆงามๆ เช่น ครีม เครื่องประดับ จะทำให้เข้าถึงธรรมยาก เพราะทำให้คนอื่นหลงไหมคะ
ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน สติในการรู้โลกตามจริง

9.2.2019





เลิกกับแฟนเก่ามาหลายปี เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหาย ... อยากให้อภัย


ดังตฤณ : นอกจากโกรธแฟนเก่า ยังแอบโกรธตัวเองที่คิดแบบนี้ขึ้นมาซ้ำๆ 
การคิดหรือความจำ ตราบใดที่เรายังยึดอยู่ว่าเป็นความคิดของเรา ยังเป็นความทรงจำของเรา
ตราบนั้น จะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ โดยไม่สามารถพยากรณ์

เอ้า คิดตอนนี้เลยว่าจริงไหม
นาทีนี้ตั้งใจฟังได้อยู่ แล้วกำหนดได้ไหมว่า
นาทีไหนสติถึงจะขาดหายไป หรือเลือนไป
หรือเราทำได้ไหม ที่จะกำหนดความฟุ้งซ่าน
บอกว่าจงเกิดขึ้นนาทีนี้ แล้วอีกห้านาทีต่อมาจงดับไป อย่าได้เกิดขึ้น

ถ้าใครทำได้ ตั้งได้ว่านาทีไหนจะให้คิด นาทีไหนจะไม่ให้คิด
คนนั้นเป็นหลักฐานของการมีอยู่ของ อัตตา แล้ว
แสดงว่า อัตตามีอยู่จริง สามารถที่จะสั่งได้ดังใจ
มีเหตุปัจจัยเดียวคือ ตัวเรา ผู้สั่งการ ที่ทำให้มันเกิดขึ้น หรือทำให้มันหายไป

แต่ถ้าหากว่า
ไม่มีใครสามารถที่จะบงการความคิดของตัวเองได้แบบนั้น
(ไม่มีใคร)สั่งความคิดของตัวเองให้เกิดขึ้นนาทีนั้น ไม่ให้เกิดขึ้นนาทีนี้
นี่คือหลักฐานของ
อนัตตา

คำว่า อนัตตา ก็คือว่า ของจริง
ทั้งหมดที่มีอยู่นี่ ไม่ใช่อัตตานะ เป็นอนัตตาล้วนๆ เลย
แล้วอนัตตากำลังแสดงให้เห็นว่า เราบังคับที่นาทีนี้ไม่ได้
ว่าจะให้เกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้น วันสองวันต่อมา สองปีต่อมา
เราสั่งไว้ล่วงหน้าไม่ได้ ตอนเลิกกับแฟนว่า จงอย่าคิดถึงเขาในปีที่สอง

เรื่องจริงที่เกิดขึ้นก็คือ อนัตตาแสดงตัว ว่าตั้งแต่วันแรกที่เลิกกัน จนถึงวันนี้
ไม่มีวันไหนสักวันเดียว ที่เราบังคับได้ว่าจะให้คิด หรือไม่คิดถึง
จะให้โกรธ หรือว่าจะให้อภัย จะให้เมตตา หรือจะให้คิดล้างแค้นเอาคืน
เราบังคับไม่ได้สักอย่าง
แต่เราสามารถเห็นได้ ว่ามันไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็มา เดี๋ยวมันก็ไป
เดี๋ยวมันก็เกิด เดี๋ยวมันก็ไม่เกิด
เรามีความสามารถแค่ใส่เหตุปัจจัยดีๆ เข้าไป ทุกครั้งที่เกิดความโกรธขึ้นมา

คือทุกครั้งที่เรามีสติ จะเห็นว่า เอาละ อนัตตากำลังแสดงตัวแล้ว
บอกตัวเองสั้นๆ แค่นี้ก็ได้ อนัตตามาแล้ว
แล้วถ้ารู้สึกว่าความโกรธเกิดขึ้นในนาทีนี้ เห็นว่า
อนัตตามาแล้ว แล้วผ่านไปจริงๆด้วย ในนาทีหน้า
เห็นความสุขที่เกิดขึ้นจากการวางความแค้นได้
แล้วดำรงอยู่ในความสุขนั้นได้นานระดับหนึ่ง
อย่างนี้เรียกว่าเป็นวิธีแผ่เมตตาของพระพุทธเจ้า

คือเจริญสติ เพื่อที่จะแผ่เมตตา แล้วจะหายโกรธ ในแบบที่เด็ดขาด ได้ในที่สุดนะครับ
เพราะว่าเห็นชัดว่าตัวที่กลับมาโกรธ ไม่ใช่ตัวเรา แต่เป็นอนัตตา ที่มันกลับมาโกรธ
แล้วก็ตัวที่ให้อภัย มันให้อภัยได้วันหนึ่ง เดี๋ยวมันก็ย้อนกลับมาให้อภัยไม่ได้อีก
นี่ก็เป็นอนัตตาเช่นกัน เป็นหลักฐานของอนัตตาทั้งสิ้น ไม่มีหลักฐานของอัตตาสักอย่างเดียว

ถ้าเราทำความเข้าใจอยู่อย่างนี้ เราจะรู้สึกว่า ... เออ ขอบคุณนะ ที่เป็นอนัตตา
ที่แสดงความกลับไปกลับมาในใจเรา ได้เป็นปีๆ
ให้เรามีโอกาสดูอนัตตา แล้วก็ซึ้งเข้าไปในธรรมะของพระพุทธเจ้าได้เป็นปีๆ
จะมีใครสักกี่คนในชีวิตของเราที่จะทำให้เราเห็นอนัตตาได้แรมเดือนแรมปี
ยาวนานต่อเนื่องขนาดนี้

ก็ขอให้มองแล้วกันว่า สิ่งที่ย้อนกลับมาโดยที่เราบังคับควบคุมไม่ได้
คีย์เวิร์ดนะ “อนัตตา”
!

https://www.youtube.com/watch?v=ox6u2meDV1o
ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ระงับความฟุ้งซ่านก่อนนอน

วันที่ 16.2.2019


วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2562

ก่อนนอนไม่คิดอะไรเลย พอหัวถึงหมอนก็หลับเลย แบบนี้มีสติหรือเปล่า


ดังตฤณ : จริงๆ ก็เป็นสติแบบหนึ่ง เป็นความเคยชิน 
สมองนี่ถูกเทรน (Train : ฝึกฝน) ไว้ยังไง
สร้างความเคยชิน สะสมนิสัยก่อนหลับไว้อย่างไร ก็จะทำงานอัตโนมัติ

อย่างกรณีนี้ ถ้าเป็นประเภทที่ทำงานมาทั้งวัน
เหนื่อยแล้ว ไม่คิดอะไรมากดีกว่า พอรู้สึกร่างกายอ่อนเพลีย
คือร่างกายของคนที่พร้อมจะหลับ เวลาที่อ่อนเพลีย
จะไม่อนุญาตให้เราฟุ้งซ่านอะไรมาก คิดอะไรต่อ
แต่จะเหมือนกับดับสวิตช์ แล้วก็หายไปเลย
ซึ่งหลายคนจะติดใจ กับภาวะแบบนั้น เพราะว่าทำให้รู้สึกว่า
ได้เข้าสู่ภาวะอะไรอย่างหนึ่งของชีวิต ที่ดีกว่าตอนตื่น
ที่ฟุ้งซ่านวุ่นวาย ต้องแบกภาระอะไรต่างๆ

ทีนี้ผมอยากให้สังเกตด้วย ตั้งข้อสังเกต
ตอนที่เราหัวถึงหมอนแล้ว หลับทันทีนี่ มีอยู่สองอย่าง
คือหลับลงไปในแบบที่รู้สึกว่าง สบาย
แล้วก็มีความรู้สึกว่าเป็นการหลับ พัก ที่เต็มอิ่ม
กับอีกอย่าง คือ หลับไปแล้ว ฝันมั่วเลย ฝันมั่วทันที
มีอะไรก็ไม่รู้ขึ้นมาดักอยู่เต็มหัวเลย

ถ้าเราสามารถที่จะอ่านตัวเองออกว่า
การหลับของเราเป็นการหลับแบบดี จิตพร้อมที่จะมีความนิ่งสบาย
หรือหลับแบบพร้อมที่จะว้าวุ่น เหมือนเข้ารกเข้าพง
เราก็จะสามารถที่จะตื่นขึ้นมาแล้วบอกตัวเองได้ว่า
ก่อนหลับเรายังหลับแบบไม่มีคุณภาพ หรือว่า หลับแบบมีคุณภาพแล้ว
อันนี้ก็ไปเทียบเคียงกันได้ แค่เทียบเคียงนะ ไม่ใช่เหมือนเสียทีเดียวนะ

เทียบเคียงกันได้กับช่วงที่จะตายไปนั่นแหละ
ถ้าตายไปในแบบที่ว้าวุ่น เหมือนเข้ารกเข้าป่า
กรณีนี้เสี่ยงมากๆ เลย ที่จะไปไม่ดี เพราะอะไร
เพราะว่าภาวะของสมองที่ว้าวุ่นก่อนตาย มักจะคัดเลือก
หยิบเอาแบบสุ่ม ความทรงจำแบบไม่ค่อยจะดี หรือว่าเลอะเลือน
มาทำให้เราเกิดความรู้สึกไม่ดีกับตัวเองได้
เพราะวันๆ คนเราไม่ค่อยเจอเรื่องดีกันเท่าไหร่
ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตแบบพาสซีฟ (
Passive : อยู่เฉยๆ, ไม่ดิ้นรน)
พาสซีฟทางธรรม คือเดินออกไปแล้วเจออะไรก็เกิดปฏิกิริยาตามนั้น
นี่คนส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ แล้วโลกนี้ ถามจริงๆ
มีอะไรที่ดี หรือไม่ดีมากกว่ากันที่จะเข้ามากระทบเรา แบบที่เราพาสซีฟอยู่

แต่ถ้าเราเป็นพวกที่แอคทีฟ
(active : กระตือรือล้น)
คือ ตั้งใจทำอะไรดีๆ ให้เกิดขึ้นในโลกนี้ ไม่ได้เห็นแก่ใครเฉพาะคนใดคนหนึ่งนะ
แต่เรามีความปรารถนาเลยว่า ตื่นขึ้นมาเราจะไม่ให้โลกเหมือนเดิม
จะต้องดีขึ้นเพราะเรา ถ้าเป็นแบบนี้ จะไม่พาสซีฟ แต่จะแอคทีฟ
คือ ไปเห็นอะไรไม่ดี อยากจะเปลี่ยนให้เป็นดี
เห็นคนเดือดร้อน อยากจะช่วยให้เขาหายเดือดร้อน
หรือว่าเห็นคนที่เขาหน้าตาถมึงทึง โกรธขึ้งมา
เราอยากจะเปลี่ยนให้หน้าตาเขายิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น
ด้วยจิตใจของเราที่ดีกว่าเขา เหมือนคนอยู่บนฝั่ง
อยากจะฉุดคนที่อยู่ในน้ำ คนที่ตกน้ำอยู่ ขึ้นมาบนฝั่งให้แห้งตาม อะไรแบบนี้

ถ้าหากว่า เราเป็นพวกที่แอคทีฟ ในทางที่จะทำให้โลกนี้ดีขึ้น
สังเกตเลยว่า กลับมาแล้วถ้าเหนื่อย นอนหลับไปเลย
หัวถึงหมอน นอนหลับเลยนี่ มันจะหลับไปพร้อมกับความรู้สึกสดชื่น
ถึงแม้จะมีความฟุ้งซ่านอยู่ ก็จะเป็นความฟุ้งซ่านแบบสดชื่น
หรือที่เรียกว่า ฝันดี เห็นแต่ภาพอะไรดีๆ ที่คมชัด
เห็นแต่เรื่องราวอะไรที่ ชวนให้เกิดความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ
ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกสบาย รู้สึกว่าอารมณ์ดี มีความสุข
ก็ขอให้สังเกตตรงนี้ด้วยก็แล้วกัน
อย่าไปสังเกตแค่ว่าหัวถึงหมอนปุ๊บ หลับไปเลย
ตัดสินได้หรือยังว่ามีสติหรือไม่มีสตินะครับ

พระพุทธเจ้า โดยหลักการ ท่านให้ตัดสินว่า
จิตที่เป็นกุศลโดยมากคือ มีความเป็นกุศลมากกว่าความเป็นอกุศลนี่
ใกล้เคียง หรือว่า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับตัวสติ
พูดง่ายๆ ว่า ถ้าจิตเรามีกุศลมาก
มีแนวโน้มที่จะเกิดสติ เกิดความรู้สึกตัว
เกิดความรู้เท่าถึงการณ์ทางจิตวิญญาณ
ว่าจิตวิญญาณแบบนี้กำลังอยู่ในภาวะเป๋
กำลังอยู่ในภาวะย่ำแย่ กำลังอยู่ในภาวะยู่ยี่
กำลังอยู่ในภาวะมืดบอด
สติตัวนั้นนี่ก็จะ ไม่ยอมให้แล่นไปเรื่อยๆ ถลาไปเรื่อยๆ
ไม่ยอมให้จิตของตัวเองหน้าคว่ำไป
จะพลิกขึ้นมา แล้วก็บอก ไม่เอา ของเมื่อกี้มันน้ำครำ เรามาลงน้ำใสดีกว่า
จะมีสติแบบนี้ขึ้นมาถ้าจิตของเราเป็นกุศลโดยมากระหว่างวันนะครับ!

https://www.youtube.com/watch?v=s5FGxioLtUA
ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน พลิกสติก่อนตายทันไหม?
17.3.2019

มีแต่ความคิดอกุศล ความคิดที่ไม่ดี ความคิดลบๆอยู่เต็มไปหมด ควรทำอย่างไร


ดังตฤณ : ก็เอาความคิดดีๆ เข้าไปแทนที่ อย่างเช่น การสวดมนต์ 
สวดมนต์นี่ แน่นอนเราไปนั่งอยู่หน้าพระพุทธรูป นึกถึงพระพุทธเจ้า
จิตตั้งอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็สวดแบบถวายแก้วเสียง
สวดแบบถวายความสุขแด่พระพุทธรูปไป จิตก็ถูกแทนที่ด้วยสิ่งที่เป็นกุศลแล้ว

หรือระหว่างวันเราไปนั่งสวดมนต์ทั้งวันไม่ได้
ก็อาจท่องพุทโธๆ ไป หรือว่า สวดนโมตัสสะ
ก็จะช่วยเห็นชัดๆ เป็นสิ่งที่จับต้องได้เลยว่า
เราเปลี่ยนความคิดไม่ดี ด้วยความคิดดีๆ ที่เรามีเป็นทุนอยู่แล้ว

บางทีโลกปัจจุบัน ก็ต้องยอมรับว่า
ไม่ค่อยมีปัจจัยมาปรุงแต่งให้อยากคิดอะไรดีๆ สักเท่าไหร่
มองไปทางไหนมีแต่คนด่ากัน
มองไปทางไหนมีแต่ภาพวาบหวิว ชวนให้คิดในเรื่องต่ำใต้สะดือ
หรือมองไปทางไหนมีแต่คนคิดหักหลังกัน คิดแทงกันข้างหลัง
ความรู้สึกอยากจะดี เป็นคนดี ก็น้อยลงไปเรื่อยๆ

แต่ทีนี้ถ้า ... (ผู้ถาม) ใช้คำถูกแล้ว ...
คือว่าเรามองเข้ามา แล้วรู้ตัวว่าจิตเป็นอกุศลโดยมาก
เราก็อาจได้รู้ตัวเช่นกันว่าควรจะเอาสิ่งที่ปรุงแต่งจิตให้เป็นกุศล
มาประดิษฐานไว้ในใจแทนนะครับ
อย่างเช่นบทสวด หรือว่าเอาแค่ คำว่าพุทโธนี่แหละ
!


ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน บทสวดมนต์ที่ช่วยให้เป็นสมาธิง่าย
▶▶ คำถามช่วง – ถามตอบ ◀◀
วันที่ มี.ค. 2562

พอเราตายจากชาตินี้ ความทรงจำทุกอย่างตอนเป็นมนุษย์ยังอยู่เหมือนเดิมไหม


ดังตฤณ : มีอยู่หลายแบบนะ จะยกตัวอย่างให้ชัดเจนที่สุดก็แล้วกัน
อย่างคนฆ่าตัวตาย ก่อนที่จะลงมือฆ่าตัวตาย
มักจะคิดอะไรสั้นๆ มักจะคิดอะไรได้แค่แคบๆ จำอะไรได้ไม่กี่อย่าง
จำความรู้สึกน้อยใจ จำความรู้สึกเครียด จำความรู้สึก ทนไม่ไหวแล้ว
มีแต่เสียงก้องหัว ทนไม่ไหวแล้ว จะต้องดิ้นรนหนีออกไปให้ได้
ความจำได้ไม่กี่อย่างนั้น พอฆ่าตัวตายไปก็อยู่อย่างนั้นแหละ
คือไปเสวยภพตรงนั้นแหละ ฆ่าตัวตายตรงไหน ก็ผูกใจแน่นอยู่ตรงนั้น

การฆ่าตัวตายซ้ำๆ นี้เรื่องจริงนะ ที่เห็นในหนังหรืออะไร
เขาเอามาจาก บางทีครูบาอาจารย์เล่าให้ฟัง บางทีพวกหมอผีมาบอก
ประเภทที่วิญญาณเฮี้ยนมาปรากฏตัว แสดงอาการฆ่าตัวตายให้ดู
คือมันวนเวียนอยู่กับความจำ อย่างที่อธิบายตอนต้นรายการ
บอกว่าถ้าเวทนาเข้มข้น สัญญาก็เข้มข้นเช่นกัน
เรื่องนี้ก็ด้วยนะ คือถ้าเวทนาสุดท้ายมีความเข้มข้นแบบไหนมาก
ความจำที่ผูกติดอยู่กับเวทนานั้น หรือสัญญาที่ผูกติดอยู่กับเวทนานั้น
ก็แจ่มชัดตามไปด้วย แล้วก็ไปปรุงแต่งให้เกิดร่างใหม่ ร่างของเปรตที่เสวยเวทนา แล้วก็สัญญาแบบเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา ตราบเท่าที่ยังไม่หมดอายุของความเป็นเปรตแบบนั้น

พูดง่ายๆ ว่าฆ่าตัวตายแบบที่กำลังคิดสั้น
ก็ได้เสวยอารมณ์ก่อนฆ่าตัวตายไปเรื่อยๆ ก็จำได้อยู่แค่นั้น
แต่ไม่รู้ว่าตัวเองน่ะ ตายแล้ว
บางคนก็รู้ รู้แล้วก็เสียใจ แล้วก็แก้ไขอะไรไม่ได้
นี้เป็นตัวอย่างว่า ถ้าตายจากมนุษย์ไปสู่ความเป็นเปรต มักจะจำได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเภทที่ตายไปแบบยังมีความยึดมั่นถือมั่นแบบมนุษย์อยู่สูง
ความทรงจำ แล้วก็ความรู้สึกแบบมนุษย์ก็จะยังติดตัวตามไป

แต่ถ้าหล่นลงไปไกล ลงไปลึกมากๆ ไปเป็นสัตว์นรก
จะมีเวทนาที่แตกต่างจากความเป็นมนุษย์มาก
คือพอไปอยู่ในนรกที่มันเผ็ดร้อน ที่แสบร้อนมากๆ ... หมดกัน ...
คือจิตที่เสวยอารมณ์ทุกข์แก่กล้ามากๆ มากกว่าตอนเป็นมนุษย์
จะทำให้ความจำแบบมนุษย์ค่อยๆ หายไปอย่างรวดเร็ว
ลองนึกดูถึงความฝัน ตอนคุณฝันร้ายมากๆ จะจำไม่ได้นะว่าคุณเป็นใคร
จำได้แต่มีอาการวิ่งหนี จำได้แต่มีอาการ หน้าตื่น กลัว
เกิดความรู้สึกว่าลนลาน หาที่พึ่งอะไรแบบนั้น

จะจำไม่ได้แล้วว่าตัวเราชื่ออะไร มีแต่ความรู้สึกอยู่ในขณะนั้นว่าต้องวิ่งหนี
หรือว่าต้องทรมาน ปวดแสบปวดร้อน หรือว่าร้องโอดโอย
แต่ก็จะมีสัตว์นรกบางประเภทที่ ก่อนที่จะเสวยโทษทัณฑ์ก็จะมีนิมิตปรากฏขึ้นมา
ว่าเมื่อครั้งเป็นมนุษย์เคยไปทำอะไรถึงได้มารับผลแบบนั้น

มีแยกย่อยไปอีกเยอะ
อย่างถ้าตายจากความเป็นมนุษย์ไปสู่ความเป็นสัตว์
ถ้าไปเป็นหมาทันที ไปเป็นแมวทันที หรือไปเป็นลิง
ที่มีความผูกพัน หรือว่ามีความใกล้เคียงกับมนุษย์
สามารถที่จะกลับมาข้องเกี่ยวกับมนุษย์ได้อีก บางทีจำได้นะ

ผมเห็นสัตว์หลายตัว พวกหมา พวกแมว คุยกับมนุษย์รู้เรื่องนะ
ฟังรู้เรื่องทุกคำ แล้วก็คิดได้แบบมนุษย์ด้วย แต่ไม่สามารถพูด ไม่สามารถสื่อสารได้
สัตว์บางตัวจิตแรงมาก สามารถมาเข้าฝันมนุษย์ได้
แล้วก็พอไม่มีกำแพงกั้นเกี่ยวกับเรื่องภาษา สื่อจิตถึงจิตได้
สัตว์บางตัวมาบอกมนุษย์ได้นะว่าต้องการอะไร รู้สึกอย่างไร

หลายๆคนที่รักสัตว์มากๆ เลี้ยงราวกับเป็นลูก บางทีก็เลยฝันถึง
แล้วก็รับรู้อารมณ์ของสัตว์ที่ตัวเองรักมากๆ ราวกับว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
ฉะนั้น อันนี้ก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมบางทีถึงเกิดความรู้สึกผูกพันกันเหลือเกิน
ราวกับว่าเป็นมนุษย์ด้วยกัน

อย่างสมัยพุทธกาล ก็มีกรณีที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอง
ว่ามีเศรษฐีคนหนึ่ง ตอนมีชีวิตอยู่ฝังเงินใส่ตุ่ม
คือ งกมาก มีเงินไม่ได้เอาไปใช้ ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์
ไม่ได้ทำบุญทำกุศลอะไร ไปฝังตุ่มเสียอย่างนั้น แล้วก็ไม่ให้ลูกให้หลานด้วย
เดี๋ยวนี้ก็มีแบบนั้น คือ รวยจนโง่ รวยจนแบบว่าใช้เงินไม่เป็น
รวยแบบไม่หัดให้ทาน สมบัติก็ไม่ได้เอาไปไหน ฝังไว้ตามพื้นบ้าน
เสร็จแล้วตายไป ด้วยความที่มีความตระหนี่จัดก็เลยเป็นเหตุให้ไปเป็นหมา
ทีนี้เป็นหมาที่เกิดใกล้บ้านเก่าตัวเอง แล้วมาเจอลูกหลาน
ก็มาเห่าอยู่ ลูกหลานก็ไล่ตะเพิด ไม่ดูดำดูดี เพราะจำไม่ได้
ว่านี่พ่อตัวเอง ปู่ตัวเอง ตาของตัวเอง กลับมาเกิดเป็นหมา

พระพุทธเจ้าท่านเห็นประโยชน์ ท่านก็เลยสงเคราะห์บอกว่า
นี่คือพ่อของเธอในชาติก่อน นี่คือตาของเธอ นี่คือปู่ของเธอมาเกิดเป็นแบบนี้
พอคนฟังก็ไม่เชื่อ พระพุทธเจ้าก็เลยบอกให้มันนำไป
หาสมบัติที่ฝังอยู่ตามจุดไหนของบ้าน บอกได้ถูกหมดเลย
พวกนั้นเลยเชื่อ ว่านี่เป็นผู้ใหญ่ในบ้านที่เคยเป็นท่านเศรษฐีจริงๆ
แต่ก็มาปรากฏในรูป ของสุนัขเสียแล้ว

นี่ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า
ถ้าเพิ่งไปจากความเป็นมนุษย์ สู่ความเป็นสัตว์เดรัจฉาน
แล้วก็อยู่ในละแวกสถานที่แบบเดิมๆ ที่กระตุ้นให้เกิดความจำได้ ก็จะยังจำได้อยู่
แต่ถ้าไปเกิดเป็นสัตว์นานแล้วหลายภพหลายชาติ ไม่ออกจากความเป็นสัตว์ซะที
อย่างครูบาอาจารย์ที่เคารพของเรา บางท่านก็มาเล่าให้ฟังเป็นอุทธาหรณ์
บอกว่าพอท่านพลัดพลาดลงไป เกิดเป็นสุนัข ท่านอยู่อย่างนั้นหมื่นชาติ
เพราะว่าติดใจกามแบบสุนัข หรือว่าภาวะแบบสุนัข
ท่านระลึกชาติได้ ท่านก็ร้องไห้สงสารตัวเองนะ
บอกว่าโอ้โห สังสารวัฏนี่น่ากลัวจริงๆ พลาดลงไปทีเดียว
บางทีไม่รู้เลยนะว่านานเท่าไหร่กว่าจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

ถ้าพูดถึงเรื่องความจำหลังความตาย เอาง่ายๆว่า
หากกลับมาเกิดในโลกนี้ จะในสภาพของมนุษย์หรือในสภาพของสัตว์ก็แล้วแต่
ถ้ามาอยู่ในละแวกเดิม ส่วนใหญ่จะระลึกชาติได้
อย่างเด็กระลึกชาติได้กันเยอะ
เพราะว่าหลายคนกลับมาเกิดในที่ที่จะเห็นหน้าคนเก่าๆ
เห็นสิ่งแวดล้อมแบบเดิมๆ ก็เลยกระตุ้นความทรงจำกลับมานะครับ

แต่อย่างถ้าไปเกิดเป็นสัตว์ประเภทมด หนู ตัวเล็กๆ สมองเล็กๆ
สัตว์นี่นะ หู ตา จมูก เวลาที่รับประสบการณ์โลกภายนอกเข้ามา ไม่เหมือนกับมนุษย์
ยิ่งสัตว์ตัวเล็กลงเท่าไหร่ ยิ่งมีประสาทสมองน้อยลงเท่าไหร่
ยิ่งมีความมัว มีความพร่าเลือน มีความไม่ชัดเจน แล้วก็จำอะไรไม่ได้
ต่อให้มาเกิดในบ้านตัวเองแต่เป็นหนู สภาพที่มันใหญ่ขึ้น
สภาพที่บ้านไม่ปรากฏเป็นบ้านแบบเดิม ก็ทำให้จำอะไรไม่ได้
ขึ้นกับสภาพแวดล้อมที่ไปเกิดด้วยนะครับ

ถ้าไปเกิดเป็นเทวดา หรือพรหม
คิดว่าน่าจะเกือบร้อยทั้งร้อย จะระลึกได้ว่าตัวเองมาจากไหน
ที่จำไม่ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ

พวกที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ใช่ไปนรกอย่างเดียว ไปเป็นเทวดาได้ด้วย
เพราะคำว่ามิจฉาทิฏฐิคือ การตั้งความเห็นไว้ไม่ถูก การตั้งความเห็นไว้ไม่ตรง
คือแค่ถ้าไม่เชื่อว่า นรกสวรรค์มี หรือว่าวิบากกรรมมี
ถ้าไม่เชื่อส่วนตัวนะยังไม่เป็นไรเท่าไหร่
เพราะหลายคน ถึงแม้ว่าจะไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด
แต่ก็ไม่ทำบาปทำกรรม แล้วก็ยังทำบุญทำกุศล
ด้วยใจชอบให้ตัวเองเป็นอย่างนั้นนะครับ
ตายไปก็มีสิทธิ์ได้ไปสวรรค์อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส
“ถึงแม้จะไม่ปรารถนาไปสวรรค์ แต่ถ้าทำถูกเหตุถูกผลที่จะได้ไปสวรรค์ ก็ได้ไปสวรรค์อยู่ดี”

แต่ถ้าหากว่าเป็นพวกที่ ไม่แค่มีความไม่เชื่อไว้เป็นส่วนตัว
แต่ไปเผยแพร่แล้วก็พยายามทำให้คนอื่นเชื่อว่า
... ไม่มีหรอก นรก สวรรค์ รับประกันได้ เป็นเรื่องหลอกเด็ก นิทาน จนป่านนี้ยังมาเชื่ออะไรอีก ...
เหล่านี้ จะก่อมโนกรรม วจีกรรม แล้วก็กายกรรมที่ห่อหุ้ม
ให้บางทีต่อให้ได้ดิบได้ดี ไปเกิดเป็นเทวดา ก็ลืม ลืมว่าตัวเองเคยเป็นใครมา
เหมือนกับว่าวิบากที่เคยไปพยายามเค้นคอให้คนอื่นไม่เชื่อ
เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด หรือว่าเรื่องการมีวิบากของกรรม
ทำให้ไปเกิดใหม่ แล้วก็ถูกบล็อคความจำ คือนึกว่าตัวเองเกิดมาก็เป็นเทวดาอย่างนี้เลย

หรือแม้แต่พระพรหม ต่อให้เป็นพระพรหมที่รู้แจ้งจักรวาล
บางทีรู้ภพภูมิอะไรอื่นหมด เห็นคนอื่นเกิดตายอะไรหมด
แต่ไม่เห็นตัวเองเกิดตายเลย ก็หลงยึดว่าตัวเองเป็นต้นกำเนิดจักรวาล
เป็นผู้สร้างภพภูมิ นี่ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิได้หลายแบบนะครับ
มิจฉาทิฏฐิก็ทำให้ ต่อให้เป็นเทพเจ้า
ก็ไม่สามารถที่จะจำได้ว่าตัวเองเคยทำอะไรมา ถึงได้มาสู่ความเป็นแบบนี้
!



ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ผิดศีลในฝันบาปไหม?
▶▶ คำถามช่วง – ถามตอบ ◀◀

นั่งสมาธิแล้วคอยจะหลับอยู่เรื่อย เรียกว่าเข้าภวังค์หรือเปล่า?


ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน พลิกสติก่อนตายทันไหม?
17.3.2019

ดังตฤณ : ความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่สามารถที่จะรู้ตามปกติทางตา รู้ตามปกติทางหู แล้วจิตใจมีลักษณะบิดเบี้ยว มีลักษณะที่เหมือนกับ เลือนราง พร่าเลือน หรือว่าจะรู้ก็ไม่ใช่ จะไม่รู้ก็ไม่เชิง นั่นก็นับเป็นภวังค์อ่อนๆ แล้ว

แต่ภวังค์ ที่เป็นภวังค์สมบูรณ์แบบจริงๆ ที่เป็นภวังค์ร้อยเปอร์เซ็นต์ตามนิยามนี่นะ
หมายความว่า จิตไม่ยกขึ้นสู่วิถีทางการเสพอารมณ์ใดๆ เลย
ทั้งทางหู ทางตา หรือแม้กระทั่งว่าความคิดทางใจอะไรต่างๆ
ที่จะทำให้รู้สึกว่าเรากำลังเป็นผู้คิด จะดับหมดเลย
เหลือแต่ความรู้สึกคล้ายๆ คนสลบ คือ สลบจริงๆ
ไม่มีอาการแบบว่าคิดอ่าน หรือว่านึกอะไรเองได้ นั่นแหละ ตัวนี้ที่เรียกว่าภวังค์

ทีนี้ตัวที่เป็นอาการหลับ ในขณะนั่งสมาธิ ก็เป็นภวังค์ชนิดหนึ่ง
ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ใช่ภวังค์แบบดับหาย แต่จะเป็นหายไปบางส่วน
คือจะไม่ตรงกับนิยามของภวังค์ที่แท้จริง แต่มักจะใช้คำนี้กัน
เช่น ภวังค์สมาธิ ภวังค์หลับ หรือว่าเข้าภวังค์ จ้องเหม่อ
เห็นคนสวยแล้วตกภวังค์ชั่วขณะ เหมือนตกหลุมอากาศทางสติ
นี่ก็มาใช้กันโดยนิยามของคนทั่วไปที่เข้าใจว่า การไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็คือภวังค์นั่นเอง

ถ้าคอยจะหลับอยู่ เพื่อที่จะออกจากภวังค์ได้ง่ายๆเลย ก็คือ
เตรียมใจไว้ก่อนว่า เราจะรู้ว่าอาการที่เหมือนกับโงกเงกที่เกิดขึ้น
เกิดที่ลมหายใจไหน มีแรงกด ให้อยากจะมุดหน้าลงสู่พื้น ไปนอน
ถ้าหากว่าเรารู้ว่ามันเกิดภาวะที่มีแรงกดให้ก้มหน้า ก้มตา
หรือว่าตัวคอยจะม้วนลงพื้น ลงไปนอน
แล้วเราสามารถเห็นได้ว่า อาการจะม้วนแบบนี้
สามารถดีขึ้นได้ไหม ในลมหายใจต่อมา

ถ้าหากตั้งใจไว้ล่วงหน้า เตรียมไว้ล่วงหน้าว่าเราจะดูอย่างนี้
ว่าความง่วง หรือว่าอาการที่เหมือนจะเข้าภวังค์ไม่รู้เนื้อรู้ตัว สามารถเปลี่ยนได้
อันนี้แสดงว่าไม่ภวังค์จริง ยังมีสติหลงเหลืออยู่มาก
แล้วถ้าเตรียมใจไว้ล่วงหน้า จะเป็นตัวกำหนด
เป็นทิศทางให้ใจเกิดการสังเกตว่า
ความง่วงของเรา อาการเข้าใกล้ลงสู่ภวังค์ของเรา เที่ยงหรือไม่เที่ยง
ในแต่ละลมหายใจมันเหมือนกันหรือเปล่า ต่างกันแค่ไหน

ส่วนใหญ่คนที่สามารถเห็นความไม่เที่ยงของอาการโงกง่วงได้ หลายๆครั้ง สักสามสี่รอบ
บางทีจะมีบางรอบที่ยาว เหมือนกับจะไม่รู้เนื้อรู้ตัว
แต่พอสติ ถูกสะกิดขึ้นมานิดหนึ่งว่า
แต่ละลมหายใจนี้มีความโงกง่วงแค่ไหน เหมือนจะไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เหลืออยู่แค่นิดเดียว กำลังจะหลับอยู่แล้วนะ
แล้วพอได้หายใจยาวๆ ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเหมือนกับถูกสะกิดว่า
เออ สำรวจดูนะ ว่าต่างไปจากเมื่อกี้หรือยัง
ถึงจุดหนึ่งจิตจะเปลี่ยนจากภวังค์หลับ เป็นภาวะรวมขึ้นมาได้แบบง่ายๆ
โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากนะครับ
อาศัยแค่ธรรมชาติของจิตที่ พอมีภวังค์ ใกล้ภวังค์แล้วนี่
ถ้าไม่คว่ำเป็นหลับ จะหงายเป็นตื่น
และเป็นตื่นอีกแบบหนึ่งที่ดีกว่าภาวะสมาธิแบบอ่อนๆ ปกตินะ
จะเป็นสมาธิแบบรวม

พราะว่าคำว่าภวังค์นี่ คืออาการที่จิตไม่ออกรับรู้ แส่ส่ายไปตามอายตนะต่างๆ แบบมั่วๆ .
แล้วจะพร้อมที่จะเข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียว
ซึ่งถ้าตรงนั้นมีอาการรวม แล้วก็แผ่ออก ก็จะเกิดเป็นสมาธิขึ้นมา
แทนที่จะเป็นอาการฟุ้งซ่านแส่ส่ายตามปกตินะครับ
!

https://www.youtube.com/watch?v=60ZYHv0-Y2g

ให้เพื่อนยืมเงินแต่เพื่อนไม่คืน จะตัดใจยังไง เพื่อที่จะไม่เป็นการผูกกรรมต่อกัน


ดังตฤณ: ก็คิดว่าการให้เงินยืม เป็นการให้ทรัพยทานนะครับ
เราให้อภัยทานซ้ำเข้าไปอีกทบหนึ่ง จะได้มั้ย
ให้ทั้งทรัพยทาน ให้ทั้งอภัยทาน
คือทานอันยิ่งใหญ่ ยากที่ใครจะทำได้นะครับ

แต่ทีนี้ถ้าจำเป็นจริงๆ เป็นเงินก้อนที่เดือดร้อนจริงๆ ถ้าไม่ได้กลับคืนมา
อย่างนี้ก็คือไม่ใช่นิ่งดูดายนะ ก็อาจจะหาทางพยายามอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง
แต่ในทางปฏิบัตินี่ คน เวลาให้ยืมเงินมักจะไม่ได้ทำสัญญากันไว้
ซึ่งในทางกฎหมายนี่ถือว่า ให้โดยสิเน่หา ไม่มีหลักฐานอะไรไปเอาผิดเขาได้
ทีนี้เราก็อาจบอกว่า เหตุการณ์นี้เราได้บทเรียนมาก็แล้วกัน
บทเรียนที่ว่า ถ้าไม่อยากเสียเพื่อน อย่าให้ใครยืมเงิน
แล้วก็อีกอันหนึ่งคือ ถ้าไม่เซ็นต์สัญญา ไม่ทำสัญญาไว้
ถึงเพื่อน หรือแม้กระทั่งญาติก็ไว้ใจไม่ได้นะครับ
ตัดความเจ็บปวดทิ้งไป แล้วรักษาไว้แต่บทเรียนที่ได้มาก็แล้วกัน!

https://www.youtube.com/watch?v=SxSEsrvKyas

การฟังธรรมเป็นประจำมีอานิสงส์อย่างไร


ดังตฤณ : ฟังธรรมะ ถ้าฟังแบบที่เป็นธรรมะทั่วๆไป ที่ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง
หรือว่าฟังแล้วไม่เก็ต (
get) ไม่สามารถนำมาลิงก์ (link) กับตัวเองได้
ก็ถือว่าได้บุญในแง่การสละเวลาฟังของดี
เหมือนกับได้ดีเพราะเปิดรับแสงสว่าง

คนที่เปิดหน้าต่างรับแสงจากดวงอาทิตย์
ทั้งผิวพรรณ ทั้งหน้าตา ก็จะเป็นคนปกติ
แต่ถ้าหากว่า ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเลย
อยู่แต่ในคุกแคบ คุกมืด หน้าก็มืด ก็หมองตามไปด้วย
ฉันใดก็ฉันนั้นนะ

การฟังธรรมะ แม้จะไม่รู้เรื่อง แม้จะไม่เข้าใจเลย
อย่างน้อยก็ได้สละเวลาเอาแสงสว่าง เปิดรับแสงสว่างบ้าง
แต่ที่บอกว่า ฟังธรรมะอย่างไรให้ได้อานิสงส์
อันนี้ เราต้องเขยิบขึ้นมาเป็นความเข้าใจ

ก่อนอื่นเรามองว่า ชีวิตคนเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้
ไม่รู้ทิศรู้ทางหรอก ที่เดินๆ ไป ว่าเดินตรง เดินย้อน
เดินเลี้ยวซ้าย หรือเดินเลี้ยวขวา เหมือนคนตาบอด

ทีนี้ถ้าหากว่า เรามีความเข้าใจ
ซึ่งความเข้าใจนี่เป็นตัวบอกเลยว่า เรากำลังอยู่ตรงไหน
เรากำลังตรงไปสู่ทิศทางใด กำลังจะเลี้ยวซ้าย หรือกำลังจะเลี้ยวขวา
ถ้าหากว่ามีความเข้าใจ
ก็เหมือนคนที่ตาไม่ดี หรือว่าตาบอด ได้ตาสว่างขึ้น

หากว่าเราได้แสงสว่างที่ถูกต้อง
หรือว่าได้ระบบระสาทตาที่สามารถเห็นตามจริง
ก็เท่ากับเรายกระดับชีวิตจากคนตาบอด ขึ้นมาเป็นคนตาดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รู้ว่าตัวเองที่เดินดุ่มไปนี่ จะไปที่ไหน

การที่คนเรามีจุดมุ่งหมาย แล้วก็รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปในทิศทางที่ดี

ย่อมเป็นสิ่งประเสริฐ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีเหนือกว่า
การที่ยังเป็นคนตาบอดแล้วก็ไม่รู้ทิศรู้ทาง ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปไหน

เช่นกัน การฟังธรรมะเป็นประจำ
จนกระทั่งเกิดความเข้าใจว่า เราคืออะไร
แล้วเราสมควรจะเป็นอะไรต่อไปได้บ้าง
หรือเราสมควรที่จะเป็นผู้มีสิทธิพ้นทุกข์กับเขาได้หรือเปล่า
ตัวนี้แหละ ที่เป็นอานิสงส์ที่แท้จริง

คนต้องรอให้มีความทุกข์เสียก่อน

ถึงจะมาแก้ ถึงจะมาหาวิธีว่าทำอย่างไร ทำให้ทุกข์หายไปจากใจ
แต่ถ้าหากว่าเราเข้าใจแล้ว เข้าใจอย่างชัดเจนว่า
แม้การเกิดมาก็เป็นทุกข์ แม้การตายไปอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็เป็นทุกข์
นี่แหละ ตัวนี้แหละที่จะมีสิทธิกับท่าน ให้ได้ไม่ต้องกลับมาเป็นทุกข์อีก
ส่วนจะมีขั้นตอนยังไงวิธีการยังไง ต้องว่ากันยาวนะครับ

อยู่ๆ เราจะไปแค่บอกว่าฟังธรรมเป็นประจำ แล้วมีอานิสงส์อย่างไร
บางทีก็ยากนะ เพราะบางคนฝืนใจฟัง หรือบางคน ฟังแล้วไม่รู้เรื่องอะไรเลย
หรือบางคนรู้เรื่องดี แต่ไปเลือกฟังธรรมข้างที่ผิด
แบบนี้ก็เป็นไปตามที่เราเลือกที่จะเป็น เลือกที่จะฟังนะครับ

แต่ถ้าหากว่าเราเป็นผู้มีวาสนา ได้พบพุทธศาสนาด้วย
แล้วก็เลือกที่จะฟังธรรมที่ถูกต้อง ตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ด้วย
แล้วมีแต่ความสุข มีแต่ความเจริญขึ้น
ด้วยการที่เราละทิ้งบาป แล้วก็สะสมบุญมากขึ้นๆ อย่างถูกต้อง
ตรงนี้แหละที่เป็นอานิสงส์ที่แท้จริง พูดง่ายๆว่า มันเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตนะ

การจะเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิต ไม่ใช่ของง่ายนะ

แล้วที่จะเปลี่ยนชีวิตแบบฉับพลันทันใด ก็เริ่มมาจากใจนั่นแหละ
ใจ ถ้าหากว่ามันเปลี่ยน มันพลิก มันคลิกได้แบบฉับพลันทันใด
ชีวิตก็จะสามารถเปลี่ยนแบบฉับพลันทันใดเช่นกัน

คือบางคน พูดง่ายๆ อานิสงส์ของการฟังธรรมที่ถูกต้อง
สามารถพลิกชีวิตได้ในชั่วข้ามคืน
แล้วในทางกลับกัน คนบางคนเลือกฟังธรรมที่ผิด
ก็สามารถพลิกจากดี กลายเป็นร้ายในชั่วข้ามคืนเช่นกันครับ!

_______________________________
https://www.youtube.com/watch?v=-7Y3gX2tCuk



การฟังธรรมเป็นประจำมีอานิสงส์อย่างไรคะ จะเอาไปอธิบายเพื่อให้เพื่อนได้ฟังบ้างค่ะ?
.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน เลือกตั้งถูกคนได้บุญไหม?
23.3.2019
▶▶ คำถามช่วง ถามตอบ ◀◀

วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2562

การเจริญสติแบบให้รู้สึกตัว คำว่า “รู้สึกตัว” คืออย่างไร


ถาม : การเจริญสติแบบให้รู้สึกตัว คำว่า “รู้สึกตัว” คืออย่างไร จะทำอย่างไรให้รู้สึกตัวอยู่เรื่อยๆ

ดังตฤณ
ถ้าไปอ่านในสติปัฏฐานสูตร หรือ มหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าท่านใช้คำนี้นะ “มีความรู้สึกตัว”
รู้สึกตัว ในนิยามของท่าน ที่จับต้องได้เป็นรูปธรรม ก็เริ่มนับจากการมีสัมปชัญญะ

ขึ้นต้นมา พระพุทธเจ้าท่านแบ่งอย่างนี้ ให้ดูกายก่อน มันจับต้องได้เป็นรูปธรรม มันชัดเจน ไม่ต้องไปสงสัยว่าผิดหรือถูกนะ
หายใจเข้า หายใจออก นี่ ถ้าใครรู้ไม่ตรง แปลว่าไม่มีสติแน่นอนนะ หายใจยาว หรือหายใจสั้น นี่ก็รู้กันได้ง่ายๆ

จากนั้น พอเริ่มที่จะมีภาวะของ “จิตผู้รู้กองลมทั้งปวง”
จิตเหมือนกับถอยไปเป็นผู้ดูอยู่ต่างหากจากลมหายใจ อันนี้ ตรงนี้เริ่มละเอียดขึ้นมา

พอเราหายใจเป็น แล้วก็มีภาวะ ผู้รู้ ผู้ดูกองลมทั้งปวง ก็สามารถต่อยอด
คือพลิกนิดเดียว พิจารณาว่า นี่เรากำลังนั่งอยู่ ที่หายใจอยู่นี่ อยู่ในอิริยาบถนั่ง
อิริยาบถนั่งเป็นยังไง มีคอตั้งหลังตรง หลังตั้งอยู่อย่างนี้
ด้วยอาการอย่างนี้ เรียกว่า อิริยาบถนั่ง

พอลืมตาขึ้นมา ไปไหนๆ เราก็สังเกตอยู่อย่างนั้น หายใจเข้าหรือหายใจออก
ด้วยอาการหายใจเข้า หายใจออกที่สังเกตไว้แล้วว่าไม่เที่ยง
ก็จะพลอยทำให้เกิดความรู้สึกถึงสภาพอิริยาบถปัจจุบัน ว่าไม่เที่ยงตามไปด้วย
มันต้องขยับอยู่ตลอดเหมือนกับหุ่นที่อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องถูกบังคับให้เคลื่อนไหว
เพราะว่ามีปัจจัย คือกล้ามเนื้อ จะค่อยๆ รัดตัว ค่อยๆ เกร็ง
ก็เลยมีความบีบคั้นให้ต้องผ่อนคลายด้วยการเคลื่อนไหว จะค่อยๆเห็นไปอย่างนี้

ตอนแรกๆ จะเห็นแต่อิริยาบถหลัก แค่ทื่อๆ คอตั้งหลังตรงอยู่อย่างนี้เรียกว่านั่ง
แต่ต่อมาเห็นกระทั่งอาการขยับไหว ความจำเป็นต้องขยับไหว
นี่ตรงนี้ เข้าสู่ “สัมปชัญญบรรพ” แล้ว คือมีความรู้เข้ามาว่า นี่มันกำลังจะต้องขยับแล้ว

พระพุทธเจ้าเลยบอกว่า นี่เป็นความรู้สึกตัว เป็นความรู้เนื้อรู้ตัว
ที่ว่าเป็นสัมปชัญญะ หมายความว่า เริ่มแล้ว เริ่มมีสภาพคล่องทางจิต ทางสติ
ที่จะสามารถเห็นได้โดยไม่จำเป็นต้องไปเพ่ง ไปเค้น ไปพยายามเห็น
มันเห็นขึ้นมาเองด้วยจิตที่เป็นสมาธิ เห็นด้วยจิตที่ดูลมหายใจเป็น
แล้วก็จิตเริ่มเป็นผู้รู้กองลมทั้งปวงได้

ตรงนี้ถ้าหากเราไปเอานิยามแบบเป๊ะๆ นี่ เดี๋ยวจะเป็นเรื่องหนักหัวไปเปล่าๆ
แต่ว่าถ้าเราพิจารณาตามพระพุทธเจ้า ไปตามลำดับขั้นนี่
เราจะเห็นเลยว่า การที่ท่านให้ ดูลมหายใจก่อน ดูอิริยาบถก่อน
แล้วดูความเคลื่อนไหวปลีกย่อย เป็นลำดับต่อมา มีความหมายสืบเนื่องกัน
แล้วทำให้เราเข้าลู่เข้าทางได้ง่าย และก็เป็นลำดับ เป็นขั้นตอน
ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ไม่ต้องไปพยายามคาดเดานะครับ
ทุกอย่างเหมือนกับจับต้องได้มาตั้งแต่จุดเริ่มต้นเลย
แบบที่พระพุทธเจ้าประทานแนวทางไว้นะครับ!

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน บทสวดมนต์ที่ช่วยให้เป็นสมาธิง่าย
▶▶ คำถามช่วง ถามตอบ ◀◀
วันที่ 2 มี.ค. 2562