ดังตฤณ :
ช่วงที่ผ่านมา ก็ดีใจนะครับที่ได้ทราบว่าหลายๆ ท่าน มีลมหายใจยาวขึ้น
แล้วก็ถ้ามองว่าเราจะพูดถึงชีวิตที่ดี ชีวิตที่มีความสุข
จะจาระไนคุณสมบัติของชีวิต หรือว่าสมบัติที่มีกี่ชิ้นกี่อันก็แล้วแต่
มันสรุปลงได้ที่ความรู้สึกเดียวคือ มีความสุข แล้วคนที่มีความสุขนะ
จะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ โดยภาพรวมถ้าสังเกตมาที่ร่างกายและจิตใจ เราจะพบว่า
มีลมหายใจที่ราบรื่น ไม่ติดขัด
ผมเคยมีปัญหาเรื่องสุขภาพช่วงเด็ก ช่วงวัยรุ่น อันนี้จะรู้ดี ต่อให้มีอะไรแค่ไหนนะ แต่หายใจไม่ค่อยออก ชีวิตนี่เป็นชีวิตที่ไม่น่าจะอยู่ต่อเอาเสียเลย แค่หายใจไม่สะดวก หรือว่าเป็นภูมิแพ้ติดขัดอะไรอย่างนี้
หลายท่านที่มีปัญหานี้ก็คงจะเข้าใจดีว่าผมพูดถึงความทุกข์แบบไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าทั้งจมูกตัน ถ้าทั้งภาวะร่างกายมีอาการราวกับจะต่อต้าน ไม่ให้เราหายใจเข้า คล้ายๆ มีอะไรที่แกล้ง จะไม่ให้เรามีชีวิตอยู่ต่อ ถึงจะมีความสุข ประสบความสำเร็จ ได้ชัยชนะ หรือว่ายิ้มแย้มแจ่มใสกับผู้คนแค่ไหน แต่ถ้าหายใจไม่สะดวก แล้วก็มีความทุกข์กับการหายใจ หรือหายใจสั้นด้วยภาวะกดดัน ภาวะความเครียดอะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่มีทั้งหมดในชีวิต ดูเหมือนกับเป็นแค่ภาพลวงตาที่บอกว่า มี แต่จริงๆ แล้วจะรู้สึกว่า ไม่ได้มีอะไรดีเลย ข้าวของหรือว่าผู้คนที่เหมือนกับบอกว่าเรามีอะไรดี เหมือนผีหลอกน่ะ เหมือนกับอะไรที่ไม่จริง เหมือนกับอะไรที่เรารู้อยู่กับตัวเองว่าสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเรา คือความรู้สึกเป็นสุขอยู่กับตัวเองนะ ไม่ใช่ความสุขอยู่กับอะไรอย่างอื่นรอบนอก
แล้วศูนย์กลางของชีวิตที่นับตั้งแต่หลายพันปีมา คนโบราณก็พูดไว้ตรงกันว่า ลมหายใจเป็นศูนย์กลางของชีวิต ถ้าหากว่าลมหายใจดี ชีวิตก็ดี ลมหายใจไม่ดี ชีวิตก็ไม่ดีนะครับ อันนี้เป็นสิ่งที่ common sense (สามัญสำนึก) ที่ทุกคนจะทราบได้ตรงกัน เพราะทุกคนอาศัยลมหายใจเป็นเครื่องประทังชีวิต มาตั้งแต่วินาทีแรกที่เกิดมา จนกระทั่งจะตายดับไป ก็มีสิ่งที่เรียกว่าลมหายใจเฮือกสุดท้าย
ลมหายใจเฮือกสุดท้าย บอกเลยนะว่า เป็นลมหายใจที่รู้สึกอยู่กับตัวเองว่า ลมหายใจที่จะหมดไป เป็นลมหายใจที่มีสติหรือเปล่า ถ้าหากว่าเป็นลมหายใจที่มีสติ ก่อนที่จะเข้าสู่วิถีของการเคลื่อนจากภพปัจจุบันไป ก็จะมีแต่นิมิตหมายอะไรดีๆ ที่มาปรากฏให้เกิดการรับรู้นะ ... ลมหายใจยาว ชีวิตดี ลมหายใจยาวขึ้น ชีวิตดีขึ้น ... แล้วข้อสรุปอันเป็นที่สุดของความเป็นพุทธก็คือ ถ้าลมหายใจประกอบอยู่ด้วยสติ รู้ว่าอะไรๆ ไม่เที่ยง ไม่ว่าจะเป็นตัวของลมหายใจเอง หรือว่า ความสุขความทุกข์ที่มาพร้อมกับลมหายใจนี่นะ สติ แบบนั้น เป็นสติที่จะทำให้ถึงที่สุดทุกข์
พูดง่ายๆ สั้นๆ ลมหายใจยาวขึ้น ชีวิตดีขึ้น ลมหายใจมีสติประกอบ ชีวิตจะสามารถพ้นทุกข์ได้นะครับ
หลายท่านก็คงเห็นว่า หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมพูดถึง )) เสียงสติ (( จริงๆ แล้วผมไม่ได้มีเป้าหมายในชีวิตอยากจะทำ )) เสียงสติ (( นะ แต่มีเป้าหมายตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาว่า อยากให้คนร่วมสมัยได้รู้จักพระพุทธเจ้า และสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนก็คือ วิธีที่จะพ้นทุกข์
วิธีที่จะพ้นทุกข์ก็คือเจริญสติปัฏฐาน และศูนย์กลางของสติปัฏฐาน ก็คือ อานาปานสติ นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสย้ำนักย้ำหนานะครับ
แต่คนปัจจุบันก็ไม่มีกำลังใจที่จะเจริญอานาปานสติกัน สาเหตุก็น่าเห็นใจ แล้วผมก็เข้าใจดี เพราะตัวเองก็เคยลำบากลำบนมาก่อน กับการที่จะดั้นด้นเจริญอานาปานสติให้เป็น และสิ่งที่ผมก็ทราบกับตัวเองก็คือว่า คนยุคเรามีความฟุ้งซ่านจัด หรือมีสุขภาพที่ไม่ดี พอมาพบ )) เสียงสติ (( ก็เกิดความรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับความก้าวหน้าหรือความสามารถที่จะทำความเข้าใจกับ อานาปานสติ ของพระพุทธเจ้าได้
ความรู้สึกที่เกิดขึ้น เช่นหลายๆ คนบอกว่า รู้สึกหัวโล่ง หายใจยาวขึ้น มีสมาธิมากขึ้น ถ้าดูเป็นเรื่องของพลังงาน หรือว่า เป็นเรื่องของสมดุลในร่างกาย โดยอาศัยแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคลื่นสมอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียงจักระอะไรต่างๆ จะมีสิ่งที่ยืนยันว่า เราไม่ได้อุปาทานไปเอง
ทีนี้ Point (ประเด็นสำคัญ) คือ เรามีชีวิตดีขึ้นเพื่ออะไร เรามีลมหายใจที่ยาวขึ้นไปเพื่ออะไร ตรงนี้อยากย้ำว่า อย่าลืมนะครับว่า เราตั้งใจที่จะนำไปเจริญสติให้ถึงที่สุดทุกข์ นะครับ นี่ถือว่าเป็นโอกาส ถ้าหากว่าใครเกิดมาบอกว่ายังไม่เคยทำสมาธิกับใครเขาได้ หรือว่าดูกายใจแล้วไม่เคยเห็นเป็นอะไรอย่างอื่นเลย นอกจากมีความฟุ้งซ่านหนาแน่น หรือว่ามีความอยากนู่นอยากนี่เต็มหัวไปหมด ล้นอกไปหมด อย่างนี้ก็ถือเป็นโอกาส
)) เสียงสติ (( จะช่วยเคลียร์พื้นที่ ทำให้ความฟุ้งซ่านลดลง แต่ว่าเรื่องของทิฏฐิ เรื่องของมุมมองเราต้องตั้งเอาเอง ถ้าหากว่ามีความรู้แบบที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ประกอบอยู่ด้วยในใจของคุณ หลังจากที่ความฟุ้งซ่านหายไป สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อมาก็คือคุณมีความพร้อมที่จะอาศัยความรู้ความเข้าใจ ในการตั้งมุมมองกายใจของคุณให้เกิดประโยชน์ถึงที่สุดนะครับ
ผมเข้าใจดี ถ้าเราไม่มีสติยาวพอที่จะรู้ลมหายใจได้หลายๆ ครั้ง ไม่มีทางที่จะมองว่าลมหายใจเป็นของไม่เที่ยง ลมหายใจไม่ใช่ตัวเดิม ลมหายใจไม่ใช่ตัวตนนะ จะมีแต่ความรู้สึกอั้นๆ อึ้งๆ แล้วก็อยากจะหลบไปให้พ้นจากการฝึกสมาธินะ
แต่ถ้าเรามีเครื่องมืออยู่ในยุคที่มีเทคโนโลยีช่วยตรงนี้ได้ ให้ความฟุ้งซ่านถูกปัดเป่า เบาบางหรือหายไป สิ่งที่เหลือก็คือความสามารถที่จะได้เข้าใจว่า ที่พระพุทธเจ้าท่านให้ดูความไม่เที่ยงของลมหายใจ ท่านให้ดูอย่างไรนะ
ลมหายใจที่ปรากฏยาวขึ้นอย่างชัดเจน ลมหายใจที่ปรากฏแม้กระทั่งตอนที่มันอ่อนกำลังลง หรือว่ามีความสั้นลง นำความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ อึดอัดหรือสบายแตกต่างกันอย่างไรในแต่ละขณะ เราก็จะสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน คำว่าชัดเจนในที่นี้ หลายๆ ท่านก็คงเกิดความเข้าใจแล้วนะว่าหมายถึงการมีสติ ออกไปเป็น background เป็นผู้รู้ ผู้ดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้เป็นผู้แสดง ไม่ได้เป็นผู้เล่น ไม่ได้เป็นผู้ที่ร่วมกระทำไปกับกายใจ สภาวะของกายใจ แสดงอยู่ให้ดู เรามีแค่หน้าที่เป็นผู้ดู
การพูดอย่างนี้ เรามีหน้าที่เป็นแค่ผู้ดู ถ้าฟังในขณะกำลังฟุ้งซ่านอยู่ก็เหมือนกับเป็นคำเท่ๆ เอาไว้พูดกันเล่นๆ แล้วก็ไม่เข้าใจว่า คือยังไง แต่ถ้าหากว่าเรามีสมาธิมากพอที่จะเห็น ลมหายใจปรากฏอยู่ข้างหน้า เป็น foreground แล้วก็ตัวสติรู้ เป็นผู้เฝ้ารู้เฝ้าดูอยู่ข้างหลัง อยู่เฉยๆ โดยไม่ไปกระทำอะไรกับมัน ไม่ไปอยากให้ยาวขึ้น ไม่อยากให้มันหายไป ไม่ได้เสียใจเมื่อมันสั้นลง รู้แต่ว่า ขณะนี้มันยาวขึ้น ขณะนี้มันสั้นลง เป็นสายลมปรากฏราวกับเป็นสิ่งที่แยกออกไปเป็นต่างหากจากชีวิตของเรา ไม่มีความเป็นตัวเราอยู่ในลมหายใจ
ตัวนี้ ถ้าเกิดความรู้ความเห็นได้ จะคุยกันรู้เรื่องในขั้นต่อๆ ไป เช่น พอเห็นลมหายใจได้ เดี๋ยวยาวเดี๋ยวสั้น แสดงความไม่เที่ยงอยู่ ก็เห็นว่ากายนี้ เป็นท่อนๆ พับไปพับมาอยู่อย่างนี้ ไม่สามารถทนอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนิ่งๆ ได้ ก็จะรู้ต่อไปอีก ความรู้สึกในกายที่ต้องพับไปพับมา เดินไปเดินมา หรือว่าเข้าที่นอน เข้าท่านิ่ง ก็พราะว่ามีกล้ามเนื้อคอยจะเบียดเบียน เดี๋ยวผ่อนคลาย เดี๋ยวรัดตัวเข้ามาอึดอัด
ความอึดอัดหรือความสบายที่กำลังปรากฏอยู่ตลอดเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง เราไม่เคยรู้ ไม่เคยดูโดยความเป็นของอื่น ของแปลกปลอม ไม่ใช่ตัวตนนะ มีแต่ความรู้สึกอยู่ตลอดขึ้นมาตลอดว่า นี่เรากำลังอึดอัดอยู่ นี่เรากำลังสบายอยู่ นี่เรากำลังหายใจยาว นี่เรากำลังหายใจสั้น ความรู้สึกแบบนี้มาขวางไม่ให้เห็นความจริงที่เหล่าอริยเจ้าท่านอยากให้เห็นกัน หรือเหล่าอริยเจ้าท่านมีความสนใจ ที่เรียกว่า อริยสัจ 4 ถ้าเรายังยึด ยังหลงอยู่ว่ามันเป็นเรา กายใจเป็นเรา ก็ต้องเวียนว่ายอยู่อย่างนี้แหละ เกิดอย่างไม่รู้ แล้วก็ตายอย่างไม่รู้ว่า กรรมจะซัดไปไหน
แต่เมื่อไหร่ ชาติใดชาติหนึ่งที่เรารู้แจ้ง มีความรู้ชัดว่า นับแต่ลมหายใจเข้าออกเป็นต้นไป มาจนกระทั่งถึงความสุข ความทุกข์หรือว่าจิตใจที่สงบบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง เหล่านี้ ไม่มีอะไรเลยนะ ที่เป็นตัวเดิม มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ คลี่คลายไปเรื่อยๆ มาชั่วกัปชั่วกัลป์ แล้วเราก็หลงยึดแบบเดิม เป็นขณะๆ ว่า มันคือตัวเรา พวกมันเนี่ย เป็นอัตตาของเราแน่ๆ อันนี้เรียกว่า อุปาทานในอัตตา ซึ่งถ้าหากว่าชาติใดชาติหนึ่งถูกทำลายลงได้ก็สบาย ตลอดไป!
11.5.2019
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น