วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

จิตที่ออกจากร่าง(ตาย) ต่างจากนิมิตและความฝันอย่างไร


ดังตฤณ : ผมว่า 50:50 ของคนที่ทำสมาธิ จะเกิดประสบการณ์แบบนี้ คือ จิตออกจากร่างกาย ซึ่งอย่างคนนี้ก็อยากจะรู้ว่า จิตที่ออกจากร่าง หมายความว่า กายนี่ แตกดับไปแล้ว จะมีความคล้าย หรือ ... ไม่รู้ผมเข้าใจคำถามถูกหรือเปล่านะ เอาตามที่ผมได้รับคำถามมาบ่อยๆ ก่อน ... 

หลายคนรู้สึกว่าจิตเหมือนยกออกจากร่าง แล้วเห็นเป็นสายใย ยืดออกไป เดี๋ยวก็จะกลับเข้าร่างอะไรแบบนี้ ดีดกลับ ดีดออกไปแล้วก็ดีดกลับเข้าร่าง นี่ไม่ใช่ลักษณะของจิตที่แตกดับนะ ไม่ใช่ลักษณะของจุติจิต ไม่ใช่ลักษณะของวิญญาณออกจากร่าง เป็นเรื่องของกายทิพย์ที่ออกจากฐานที่ตั้งชั่วคราว จะรู้สึกได้เลยว่ามีสายใยงอยู่ คล้ายๆ เป็นหนังสติ๊กที่ยืดออกไป แต่เป็นอะไรที่สบายกว่ามาก หนังสติ๊กนี่ยืดออกไปได้นิดเดียว แต่ถ้าเป็นกายทิพย์จะรู้สึกยืดออกไปไม่จำกัด แล้วก็ไม่มีการขาด ถ้าขาดนี่หมายความว่าหลุดออกจากร่างจริง แล้วก็บางทีก็จะมีเหตุผลของการหลุดออกจากร่างในหลายๆ แบบนะ บางคนก็บอกว่าเป็นประสบการณ์ตายแล้วฟื้น ซึ่งมันพิสดารได้แตกต่างกัน

แต่ จะบอกว่าจิตที่จะเคลื่อนออกจากร่างตอนตายแล้วจริงๆ จะไม่ใช่เคลื่อนแบบนั้น จะไม่ใช่ยืดออกเป็นหนังสติ๊กแล้วกลับมาได้แบบนั้น แต่จะรับรู้อยู่อย่างนี้ ที่กำลังนั่งอยู่นอนอยู่ อย่างพวกที่กำลังจะตายส่วนใหญ่ ก็ตายในท่านอน ตายในท่าที่ทรงตัวไม่ได้ ต้องนอนราบ ต้องวางร่างลงกับพื้น

พอวางร่างลงกับพื้น รู้สึกถึงความเป็นกายแบบที่กำลังนอนอยู่ แล้วก็มีนิมิตกรรม ปรากฏให้รับรู้ว่าชีวิตทั้งชีวิตในชาตินี้ ทำอะไรมาบ้าง ที่เป็นของหลักๆ ที่จะทำให้ทบทวนแล้วนึกออกว่า ชีวิตนี้เป็นบุญโดยมาก หรือเป็นบาปเสียส่วนใหญ่ เสร็จแล้วธรรมชาติของจิตก็จะประมวลตัวเองครั้งสุดท้ายว่า กองบุญอันสว่าง กับกองบาปอันมืดดำ อันไหนหนักกว่ากัน อันไหนที่ใหญ่โตกว่ากัน อันไหนที่เป็นชีวิตนี้มากกว่ากัน ชีวิตจริงๆ ชีวิตนี้เป็นบุญหรือเป็นบาปมากกว่ากัน

ถ้าหากว่าเป็นบาปมากกว่า จิตจะเข้าสู่ความมืด ถูกปรุงแต่งให้เกิดความมืด แล้วก็จะมีนิมิตสติข้างหน้ามาปรากฏ ว่าความมืดนี้เหมาะสมกับสภาพภพภูมิข้างหน้าเป็นแบบไหน ความมืด บางทีถ้าประกอบอยู่ด้วยความร้อน แนวโน้มก็จะลงไปสู่ที่ร้อน แล้วก็มืด อย่างเช่นนรก หรือว่าอย่างเช่น สถานที่ๆ น่าทรมานทั้งกายและใจ

แต่ถ้าหากแค่เทาๆ คือไม่มีความร้อนระอุ ส่วนใหญ่ก็ไปเป็นสัตว์ ... คนนี่ไปเป็นสัตว์กันเยอะ ถ้าตายไปแล้วด้วยความตายสีเทา พาไปสู่ความเป็นสัตว์ซะมาก หรือถ้าหากว่ามีความทรงจำแบบมนุษย์อยู่มาก แต่ว่าเหมือนกับมีตุ้มถ่วงให้ตกต่ำลง ก็ไปเป็นเปรต ...เป็นเปรตนี่ก็เยอะมากนะ

คือส่วนใหญ่ที่ตายไป มากที่สุดเลยมักจะไปเป็นสัตว์ แต่ก่อนจะไปเป็นสัตว์มักจะเป็นเปรตก่อน เปรตแบบชั่วคราว แบบที่ยังจำตัวเองได้ ว่าชื่ออะไร นามสกุลอะไร ยังมีความรู้สึกนึกคิดคล้ายกับมนุษย์ แต่ตัวเบา ไม่เหมือนมนุษย์แล้ว เหมือนฝันอยู่ แต่เป็นฝันที่รู้สึกได้ จำได้ราวกับว่าจะคิดอ่านได้เหมือนเดิม แต่ว่าจะเหลือความสามารถที่จะคิดไม่เท่าเดิม เพราะอยู่ในสภาพที่ไม่มีอะไรรองรับแบบเดิมๆ งานการแบบเดิมก็ไม่มี บุคคลที่จะให้มาพูดคุยด้วยก็หาไม่ได้แบบเก่า จะใช้มือถืออะไรก็ไม่มีแล้ว จะไปทำบุญ จะไปให้ทานอะไรที่ไหน สงเคราะห์ใคร ก็จับต้องไมได้แล้ว คือยังสามารถไปในที่แบบนั้นได้อยู่ แต่ที่จะมาใช้กำลังใจ เดินทางไปทำบุญที่วัดหรือว่าจะทำกับข้าวไปใส่บาตรพระ จะไม่มีปัจจัยแบบนั้นอยู่อีกแล้ว ได้แต่อนุโมทนากับเขา

ส่วนใหญ่ที่เป็นเปรต จะเป็นแบบที่ท่านเรียกกันว่า สัมภเวสีก็จะล่องลอย อยู่กับภาวะที่จำตัวเองได้ แต่ไม่สามารถเป็นตัวเดิมของตัวเองได้อีกต่อไป ก่อนที่บาปบุญจะตัดสินให้ไปเป็นนั่นเป็นนี่ อาจเป็นเทวดา หรือว่า ลงไปเป็นสุนัข เป็นแมวอะไรต่างๆ สุดแท้แต่ว่ากรรมของแต่ละคนจะเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่ว่ามีความอยากของใครที่จะพาไปได้

อย่างตอนอยู่ในโลก ความอยากพาเราไปเที่ยวได้ ความอยาก พาเราไปวัดได้ ความอยากพาเราไปขึ้นหน้าผาที่ไหนก็ได้ จะโดดลงมาก็ได้ แต่พอตายไปแล้ว ไม่ใช่อาศัยความอยากนะ มีแต่บาปบุญที่เป็นตัวกักขังเราให้อยู่กับสิ่งที่เราทำไว้โดยมาก

ลักษณะเกิดดับของจิต ไม่ใช่การที่กายทิพย์ออกจากร่าง ที่พูดมาทั้งหมดก็จะให้เห็นว่าจิตที่ดับจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดขึ้นใหม่ ไปอุบัติใหม่ในอีกสภาพหนึ่ง ในอีกภพภูมิหนึ่ง ไม่ใช่ความฝันแล้ว อย่างสภาพนิมิต สภาพแวดล้อมของเปรตอย่างนี้ จะแตกต่างจากสภาพแวดล้อมของโลกที่เรากำลังยืนอยู่ อาศัยอยู่อย่างนี้อย่างสิ้นเชิงเลย

ถึงแม้ว่า ภพภูมิจะซ้อนกันอยู่ เหลื่อมกันอยู่กับมิติ อย่างสมมติในบ้านเราอย่างนี้ บอกว่าญาติของเราที่เสียชีวิตไปยังวนเวียนอยู่ ถึงแม้ว่าสภาพของบ้านจะยังปรากฏเป็นบ้านแบบที่เขาเคยรับรู้ แต่สภาพความกว้าง ยาว ลึก จะไม่เหมือนเดิม เหมือนกับเวลาคุณฝัน ฉากที่เราเห็นในความฝัน จะเหมือนกับมีกว้างยาวลึก แต่จริงๆ แค่เราคิดถึงฉากอีกฉาก ก็จะแวบไปทันที มันหายไปจากของเดิมทันที นั่นคือลักษณะของความเป็นมิติของโลกวิญญาณ คือไม่อิงกับกว้างยาวลึก แต่อิงกับว่า ใจอยู่ที่ไหน ปรุงแต่งขึ้นมาให้เห็นสภาพแวดล้อมอย่างไร ตรงนี้ก็บอกได้คร่าวๆ แค่ว่าเป็นไปตามมิติของจิตอย่างที่ถูกกองบุญกองบาปปรุงแต่งนะ

ถ้าหากว่าเรามองว่าโลก (
Earth) ที่เป็นกว้างยาวลึก แบบที่เราอยู่ เป็นที่อาศัยของเหล่าวิญญาณ เราก็ต้องทำความเข้าใจด้วยว่า เหล่าวิญญาณเหล่านั้นคือไม่ใช่ว่าเขาอาศัยพื้นที่กว้างยาวลึกแบบที่เรากำลังอาศัยอยู่ แต่เขาอาศัยความกว้างยาวลึก ทางบุญทางบาป ที่เขาสะสมมา เป็นตัวปรุงแต่งให้เกิดความกว้าง หรือความแคบในการรับรู้ของเขา

เอาง่ายๆ สมมติว่าบ้านเรา เรารู้สึกว่าทาสีขาวจะสว่าง กว้าง แต่บาปของเขาปรุงแต่งให้เห็นบ้านหลังเดิม ทั้งแคบทั้งมืด ไม่น่าอยู่ ไม่น่าสบาย นี่คือลักษณะการที่เขาจะเกิดการรับรู้ เกิดการเห็นขึ้นมาอีกแบบหนึ่ง แตกต่างจากตอนที่เห็นด้วยแก้วตา เห็นด้วยหูนะ

ย้อนกลับไปที่ตัวคำถาม ถ้าจิตออกจากร่างแล้วเห็นนิมิตอะไร จะไม่เหมือนกับตอนที่ตายไปแล้วถูกบุญถูกบาปปรุงแต่งให้เห็นนะ ลักษณะสิ่งแวดล้อมหรือว่าอะไรต่างๆ ที่จะเข้ามากระทบในภพภูมิต่อไป จะตั้งต้นมาจากบุญและบาปของจิต ที่จิตสั่งสมไว้ บุญและบาปที่เป็นเงาตามไป ตกแต่งสถานที่ใหม่ ให้เราเห็นไปต่างๆ
!

………………………….
ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน วิธีรู้ว่านิมิตจริงหรือเท็จ
▶▶ คำถามช่วง ถามตอบ ◀◀
9.3.2019

https://www.youtube.com/watch?v=qSAGRNt4z_4

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น