ถาม : ก่อนตาย การดูลมหายใจเข้าออก สวดมนต์ และฟังธรรม วิธีไหนจะทำให้เรามีสติดีที่สุด
ดังตฤณ : ตัวคำถามนี่ เหมือนกับคุณสมมติขึ้นมาว่า ตอนตายคุณจะเลือกได้ว่า จะสวดมนต์ตาย หรือว่าจะเปิดซีดีฟังธรรม หรือว่าจะดูลมหายใจเข้าออก แต่ในความเป็นจริง จะไม่ใช่แบบนั้นนะ เราเลือกไม่ได้ว่าจะตายแบบไหน อันนี้เป็นอันดับแรก
อันดับสองคือว่า ณ เวลาที่เรากำลังเจียนอยู่เจียนไปจริงๆ การรู้ลมหายใจ การสวดมนต์ หรือการฟังธรรมก็ตามที่มีมาทั้งชีวิต จะต่างไปอย่างสิ้นเชิง
สมมติว่า นาทีสุดท้ายคุณสามารถเลือกได้ว่า นาทีนี้กำลังจะตาย นาทีนี้แล้ว นาทีที่หนึ่งของ 11โมงปุ๊บ ให้เอาซีดีมาเปิดเดี๋ยวนี้เลย นาทีนั้นจะไม่เหมือนกับทุกนาทีที่ผ่านมาในชีวิตนะ เพราะว่าสภาพทางกายกำลังจะหยุดทำงาน แล้วก็สภาพทางจิต เริ่มที่จะถอนออกมาจากอาการรับรู้ทางประสาทหู ประสาทตา จะไม่เหมือนกับการนอนฟังเสียงเทศน์ หรือว่ามาตั้งใจสวดมนต์แบบที่มีสติตื่นอยู่ ไม่เหมือนกันนะ
เราไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่า ณ ขณะนั้นจิตจะทำงาน ไปงัดเอาความจำแบบไหนขึ้นมา หรือว่าจะผลิตอารมณ์ชนิดไหนขึ้นมานะครับ
ตัวที่จะทำให้เรามีสติดีที่สุด นี่คือ คีย์เวิร์ดเลยนะ ตัวที่จะทำให้เรามีสติดีที่สุดก่อนตายคือ อารมณ์ที่เราเคยชิน ที่จะอยู่กับอารมณ์นั้นแล้วเกิดความสว่าง เกิดความรู้สึกเป็นกุศล
ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติทั้งชีวิตที่ผ่านมา เรานั่งสมาธิไม่เป็น เราเดินจงกรมไม่ได้ ฝึกยังไงก็ยังฟุ้งซ่านอยู่อย่างนั้น แต่เมื่อไหร่ลงนั่งสวดมนต์ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีความซาบซึ้งในบุญคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วมีความสุข รู้สึกใจเยือกเย็น สบาย เหมือนมีแสงสว่างนวลๆ แผ่ออกมากลางใจ แบบนี้เรียกว่า เรามีการสวดมนต์เป็นที่ตั้งของบุญ เป็นที่ตั้ง เป็นบ่อกำเนิดของสติที่ดีที่สุดในชีวิตที่ผ่านมา
ฉะนั้น ถ้าเรากำลังจะตาย ต่อให้เราไม่มีแรงสวดมนต์แล้ว แต่จิตก็จะนึกถึงการสวดมนต์ขึ้นมาเอง ตัวนี้ที่ปลุกให้เกิดสติขึ้นมาได้ ขออย่างเดียวคือ เราชินอยู่กับการสวดมนต์แล้วใจรู้สึกสบาย เป็นกุศลจริงๆนะ ไม่ใช่แกล้งทำท่าแบบหล่อๆ สวยๆ แล้วก็มีแต่อาการภายนอกที่ดูดี แต่ข้างในยังปั่นป่วนวกวนอยู่
ถ้าข้างในของเรามีความสุข มีความสงบ มีความเย็น และมีสติอยู่กับการสวดมนต์จริงๆ ก่อนตายถึงแม้ว่าเราจะไม่มีแรงสวดแล้ว มันก็จะกลับมาสวดใหม่เอง เป็นเรื่องของบันทึกที่อยู่ในความเคยชินทางใจกับทางสมอง ร่วมมือกันนะครับ
แล้วดูลมหายใจเข้าออกล่ะ จะช่วยไหม ... ถ้าระหว่างมีชีวิต อยู่ดีๆตามปกติ ยังดูลมหายใจไม่เป็น ก็จะไม่มีความเคยชิน จะไม่มีความเป็นอัตโนมัติทางกายหรือทางใจ ที่จะไปผสมผสานกัน ให้เกิดภาวะรู้ลมหายใจขึ้นมาได้ ฉะนั้นคำถามนี้ โจทย์ข้อนี้ต้องตอบว่า แล้วแต่ความเคยชินของแต่ละคนนะครับ
สิ่งที่จะทำให้เรามีความใกล้ชิด หรือว่ามีความเฉียดใกล้กับนิพพาน ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของการดูลมหายใจเข้าออกแบบรู้ แบบมีสติ ว่าเห็นความไม่เที่ยง ถ้าระหว่างมีชีวิตเราซ้อมมา แค่ครั้งเดียวต่อคืน ก่อนนอน หายใจเข้า หายใจออก นึกว่ามันกำลังแสดงความไม่เที่ยงอยู่นะ เข้าแล้วก็ต้องออก ออกแล้วก็ต้องเข้า แล้วเดี๋ยวก็หยุดลม แต่ละครั้งที่เข้าออก จะนำความรู้สึกดี หรือไม่ดีมาก็ตาม ความรู้สึกดีนั้น ก็จะต้องสลายหายไป ตามลมหายใจด้วยเช่นกัน
ฝึกสังเกตอยู่อย่างนี้ เห็นความไม่เที่ยงอยู่อย่างนี้ แค่คืนละครั้งเดียว ขอแค่ครั้งเดียวต่อหนึ่งคืน ถ้าต่อเนื่องเป็นสิบปี ก่อนตาย จะพิจารณาครั้งสุดท้ายว่า ลมหายใจเข้า แล้วก็ต้องออกไปเป็นธรรมดา จะรู้สึกสุข จะรู้สึกทุกข์ จะรู้สึกดีกับทั้งชีวิตที่ผ่านมา หรือรู้สึกแย่ก็ตาม เดี๋ยวก็ต้องหายไป ความรู้สึกแบบนั้นพร้อมกับลมหายใจที่ดับไป แบบไม่สามารถกลับเข้ามาได้อีก นั่นแหละจะเกิดความรุ่งเรืองทางสติ จะเกิดการตื่น เกิดการรู้ขึ้นมาในนาทีสุดท้าย
ถ้าหากว่าไม่มีบาปมาขัดขวาง แล้วก็มีบุญอื่นส่งเสริมด้วย จิตที่เข้าภวังค์สุดท้ายก่อนที่จะเกิดจุติจิต จุติจิตก็เป็นภวังค์ชนิดหนึ่งนะ เป็นความไม่รู้เนื้อรู้ตัวชนิดหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้น ก่อนที่จะเกิดภวังค์สุดท้าย ถ้าหากมีแต่ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวเลยว่า จิต หรือลมหายใจกำลังแสดงความไม่เที่ยงอยู่ ร่างกายสังขารนี้กำลังจะต้องทิ้งไปแน่ๆ ตัวนี้รวมลงถึงฌานเลยนะ ที่รวมลงถึงฌานด้วยอาการที่พิจารณาว่า กายใจไม่เที่ยง ตรงนั้นแหละที่จะได้บรรลุโสดาปัตติผลเป็นอย่างต่ำ
พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสย้ำนักย้ำหนาว่า ก่อนตายนี่สำคัญ อย่างพระสารีบุตรไปส่งคนตาย ลูกศิษย์ของท่าน บอกส่งให้ไปถึงพรหมภูมิ บอกว่า ให้พิจารณาว่าสหายแห่งพรหมล้วนแล้วแต่มีเมตตา กรุณา มีมุทิตา มีอุเบกขา แล้วลูกศิษย์ของท่านก็ได้ไปพรหมภูมิจริงๆ พอพระพุทธเจ้าท่านทราบด้วยพระญาณ ก็เรียกพระสารีบุตรมาบอกว่า จริงๆแล้วส่งไปได้ไกลกว่านั้น พระสารีบุตรบอกว่า ข้าพระองค์เห็นว่าเขาอยากไปแค่นั้น อยากไปเป็นสหายแห่งพรหม ก็เลยส่งไปแค่พรหม พระพุทธเจ้าก็ตินิดหนึ่ง บอกว่าจริงๆแล้วประโยชน์สูงสุด เราก็รู้อยู่ว่าคืออะไร ถ้าสามารถส่งเขาไปได้ ทำให้เขาถอดถอนจากอุปาทานได้ จะไปดีกว่าพรหมเยอะ พรหมนี่ยังไงก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ แต่ถ้าเลยพรหมไป เข้าถึงนิพพานได้ จะไม่ต้องกลับมาเป็นทุกข์อีก
พระสูตรตรงนี้บอกได้เลยว่า ขณะจิตก่อนตายสำคัญขนาดไหน พระพุทธเจ้าถึงขั้นบอกว่า แม้คนนอกศาสนา อย่างลูกศิษย์ของพระสารีบุตร เป็นคนนอกศาสนา เป็นพราหมณ์ ไม่ได้นับถือพระพุทธเจ้า แต่นับถือพระสารีบุตรเป็นส่วนตัว แต่แม้จะไม่ได้เป็นสัมมาทิฏฐิ ไม่ได้นับถือศาสนามา แต่ว่าอาการสุดท้ายก่อนตาย ได้พิจารณาธรรม จนเห็นว่า กายใจนี้ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน มีสิทธิ์ไปนิพพานได้ พระพุทธเจ้าท่านยืนยันด้วยการตรัสติพระสารีบุตรว่า ส่งไปได้ไกลกว่านั้น ถ้าจะส่งกันจริงๆ
ฉะนั้น สรุปว่า ถ้าเราคิดว่ายังมีชีวิตอยู่ ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ ปฏิบัติธรรม หรือว่าเจริญสติไม่ได้แอดวานซ์ (advance) เหมือนที่ฟังคนอื่นเล่ามา แต่ให้มีกำลังใจอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราซ้อมที่จะตายทุกคืนทุกวัน แล้วเอาไปใช้จริงในช่วงกำลังจะอยู่กำลังจะไป มีสิทธิ์ได้ไปดี และมีสิทธิ์ไปถึงขั้นที่จะเกิดมรรคเกิดผล จะเกิดการรู้ทะลุกายใจนี้ไป เห็นความว่างอีกชนิดหนึ่ง เป็นมหาสมุทรแห่งความว่างที่เรียกว่านิพพาน
ลมหายใจก็เป็นสิ่งที่ใกล้ที่สุดที่จะทำให้เรามีสติเข้ามาเห็นกายใจนี้ไม่เที่ยงนะครับ อย่างอื่น ได้แค่เกิดจินตนาการถึงสิ่งที่ดีงามนะ!
https://www.youtube.com/watch?v=jo0ki-hDxDc
ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน พลิกสติก่อนตายทันไหม?
ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน พลิกสติก่อนตายทันไหม?
17.3.2019
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น