วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ระลึกชาติได้ ของจริงหรือจิตปรุงแต่งไปเอง


ถาม: เคยได้ยินว่า เมื่อทำสมาธิขั้นสูงขึ้นจะสามารถอธิษฐานขอระลึกชาติได้ จะเชื่อได้อย่างไรว่านิมิตที่ฝันเห็นเป็นของจริง หรือจิตปรุงแต่งไปเอง?

ดังตฤณ
: ไม่ใช่การอธิษฐานนะ ถ้าไปฟังใครพูดมาแบบนี้ จะออกแนวเหมือนกับปรุงแต่งภาพขึ้นมาหลอกตัวเองโดยไม่รู้ตัวนะครับ

วิชาระลึกชาติที่พระพุทธเจ้าสอนจริง ซึ่งไม่ใช่พระพุทธเจ้าทำได้เป็นองค์แรก มีฤาษีชีไพรที่ทำได้มาก่อน หลักการก็คือว่าต้องทำสมาธิให้ถึงจุดที่จิตมีความบริสุทธิ์จากความคิดนั่นคิดนี่ หรือว่าอยากจะให้ตัวเองเป็นนั่นเป็นนี่

จิตของทุกคนเริ่มต้นขึ้นมาตอนที่ยังไม่มีสมาธิบริสุทธิ์ มีความอยากให้ตัวเองเป็นนั่นเป็นนี่กันทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะที่บอกว่าตนเองเคยเป็นเทพ เป็นพรหม เป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นราชามหากษัตริย์ เป็นผู้มีชื่อเสียง จะมีปมฝังแน่นแบบนี้กันอยู่ด้วยกันทุกคน

ถ้าบอกว่าชาติก่อนเคยเป็นหมามาก่อน ... โอ๊ย ไม่เอา ไม่เคย ไม่ได้เป็นแน่ ไม่ใช่ฉันแน่ ... ความตั้งสเปคไว้ก่อนว่าตัวเองต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างนี้ ตัวนี้แหละที่เรียกว่าอคติ ความลำเอียง เป็นตัวที่จะทำให้จิตเพี้ยน ไม่สามารถที่จะรู้ตามจริงได้ โดยเฉพาะประเภทอธิษฐานขอให้รู้ว่าเคยเป็นอะไรมาก่อน โดยมีปมแบบนี้เป็นพื้นอยู่ จะพาไปเห็นว่าตัวเองเคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นอะไรดีๆ ไม่เคยเป็นอะไรเสียหายมาก่อน ไม่เคยเป็นอะไรต่ำๆ มาก่อน

แต่ถ้าเอาแบบที่พระพุทธเจ้าท่านสอน คือมีสมาธิอันปราศจากมลทิน ปราศจากอคติ แล้วก็ไม่มีการตั้งไว้ในใจแล้วว่าฉันต้องเคยเป็นนั่นเป็นนี่ ต้องไม่เคยเป็นนั่นไม่เคยเป็นนี่ มีแต่ความบริสุทธิ์พร้อมจะรู้ตามจริง แล้วสามารถเห็นได้ว่า ขณะนี้ที่กำลังเป็นสมาธิอยู่ อยู่ในท่านั่ง เหมือนเห็นท่านั่งชัดว่ามีอยู่แค่นี้แหละชีวิต ร่างกายถูกยกตั้งด้วยกระดูกสันหลัง ฉาบทาด้วยเลือดเนื้อ มีลมหายใจเข้าออก มีจิตครองกายอยู่ จิตสว่างบ้าง จิตมืดบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง สงบบ้าง

เสร็จแล้วก็ถอยกลับไปดู เมื่อนาทีก่อนที่จะเข้าสมาธิ เข้ามาอย่างไร มีอาการอย่างไร จิตเป็นอย่างไรถึงได้เข้ามาสู่ความเป็นอย่างนี้ได้ นี่ จะมีความทรงจำที่อยู่ในระยะใกล้ ยืนยันได้ว่ามีนิมิตแบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่ผ่านมา เสร็จแล้วก็ทบทวนไปเป็นช็อตๆ เมื่อชั่วโมงที่แล้วก่อนนั่งสมาธิ ทำอะไรมา ไปเข้าห้องน้ำ ไปแปรงฟัน ใส่เสื้อผ้าอย่างไร มีนิมิตความจริงที่อิงได้อยู่ เสร็จแล้วก็ย้อนกลับไปเมื่อชั่วโมงก่อนหน้า เมื่อวันก่อน เมื่อาทิตย์ที่แล้ว เมื่อเดือนก่อน ไล่ไปตามลำดับ แต่ละจุดของภาพบนเส้นเวลาจะโยงกันให้ดึงความจำที่อ้างอิงได้ ที่รู้ได้ว่าเคยเกิดขึ้นจริง ทยอยมาสู่จิตมากขึ้นๆ จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง ถอยไปได้แม้กระทั่งความรู้สึกนึกคิดในวัยเด็ก จำได้หมดเลย นึกว่าลืมไปหมดแล้ว ความรู้สึกนึกคิดในวัยเด็ก ย้อนกลับมาชัดเจนกระจ่างราวกับเกิดขึ้นอีกครั้ง

แบบนี้ จะยืนยันได้ว่าเป็นของจริงแน่ๆ เพราะอยู่ในความจำได้ ระลึกได้ ว่าเคยเกิดขึ้น เสร็จแล้วถ้าตรงนั้นไม่มีอะไรเป็นเครื่องรบกวน ไม่มีกำแพงขวางของสิ่งที่จะมากั้นขวางความจำ ก็จะลงลึกลงไปว่าตอนอยู่ในท้อง ความรู้สึกนึกคิดเป็นอย่างไร

ทุกคนมีความรู้สึกนึกคิดขณะอยู่ในครรภ์มารดากันหมด แต่จำไม่ได้ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้แล้วว่า เด็กที่อยู่ในท้องรับรู้ สามารถได้ยินเสียง สามารถเห็นภาพ ฉายแสงไปนี่รู้ได้ว่า มีแสง พิสูจน์ได้นะครับ แต่ถ้าหากว่าให้เรามานึกตอนนี้ จะไม่อยู่ในความจำ เพราะว่าตอนนั้นไม่ได้เป็นความรู้สึกที่เกิดจากการเห็นด้วยตา เห็นโลกแบบนี้ หรือว่าแก้วหูได้ยินเสียงในโลกแบบนี้นะ จะอยู่ในอีกโหมดหนึ่ง อยู่ในอีกสภาวะหนึ่งที่อยู่ในครรภ์มารดา ที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ ถ้ามีสมาธิที่ย้อนลงไปได้ลึกพอ (ความทรงจำ) จะกลับมาอีก ความทรงจำขณะอยู่ในครรภ์มารดา จะไม่ใช่ของหลอก จะไม่ใช่ของที่ เอ๊ะ ไม่เคยมั้ง ทำไมจำไม่ได้เลย จะกลับมาราวกับเราเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาอีกครั้ง แต่ไม่ได้มีความอึดอัด หรือไม่ได้มีความรู้สึกเหมือนกับจะหายใจไม่ออกอะไรนะ จะมาเป็นช็อต เป็นช็อตที่เด่น แล้วก็กระจ่างชัดเพื่อให้เป็นสะพานเชื่อมต่อไปว่าเรามีความสามารถที่จะย้อนกลับไปไกลกว่านั้นไหม คนที่ทำได้ คืออาจจะมีบุญเก่า หรือว่าจะมีกำลังสมาธิ ฐานกำลังของสมาธิ ที่เหลือเฟือมากพอที่จะพาไปช่วงก่อนที่จะเข้าท้องแม่

คือจะเหมือนกำแพง เหมือนกับอะไรที่ปีนยาก เพราะการระลึกชาติได้ พระพุทธเจ้าท่านให้นับเป็น วิชชาแรก

อวิชชา ไม่ได้มีแค่อวิชชาในการไม่รู้ว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนนะ แต่ยังมีอวิชชา อันเกิดจากการไม่รู้ว่าชีวิตนี้ได้มาอย่างไร ชีวิตก่อนหน้าตาเป็นอย่างไร เรียกว่าอวิชชาที่ไม่รู้ว่ามีชาติก่อน พระพุทธเจ้าเรียกว่า อวิชชา

แต่ถ้าเราสามารถที่จะถอยกลับไปก่อนที่จะเข้าท้องแม่ได้ นี่เรียกว่า วิชชาแรก วิชชาที่เราสามารถรู้ได้ว่าก่อนเกิดมาเป็นแบบนี้ มีอะไรนำหน้ามาก่อนหน้านั้นอยู่จริงๆ ซึ่งสัตว์ทั่วไปจะไม่รู้ และเพราะไม่รู้นั่นแหละ ถึงหลงวน ทำบุญทำบาปแบบไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้า นึกว่าตายหนเดียว แล้วก็เกิดหนเดียว แต่พอเกิดวิชชาแรกขึ้นมา รู้ว่าก่อนเกิดมาเป็นแบบนี้มีอะไรนำหน้ามาก่อน แล้วอะไรที่เคยเกิดขึ้นก่อนนั้นแหละ ที่ให้ผลมาเป็นสภาพความเป็นเช่นนี้ คราวนี้จะไม่ทำบุญทำบาปแบบมั่วๆ แล้ว จะทำบุญทำบาปแบบรู้จริงๆ ว่า ที่กำลังทำๆ อยู่ไม่ใช่ไม่มีผลนะ เดี๋ยวจะมีผล

เมื่อกี้พูดถึงวิชชาข้อแรกแล้ว ก็เลยจะพูดถึง วิชชาข้อที่สอง คือคนเรามีอวิชชา ไม่รู้ว่าก่อนหน้าชีวิตนี้ มีชีวิตก่อน แล้วก็มีอวิชชาที่ปิดบังให้ไม่รู้ว่าที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่นี่ เป็นไปตามกรรม
ถ้าเห็นว่าสัตว์จุติ คือเคลื่อน แล้วปฏิสนธิ คืออุบัติในภพภูมิใหม่ตามเหตุปัจจัย สมควรแก่กองบุญกองบาป นี่เรียกว่าเป็นการชำแรกอวิชชาที่สอง

มีวิชชาที่สอง คือรู้ว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตรงนี้ถึงจะเป็นของจริง คือรู้ของตัวเองก่อน ถึงจะไปรู้ของคนอื่นด้วย

อวิชชาที่สาม คือไม่รู้ว่า กายใจนี้ ทุกภพทุกชาติเลย เป็นเหยื่อล่อให้หลงยึด นึกว่าเป็นตัวเรา นึกว่าเป็นของๆ เรา นึกว่าเป็นก้อนอะไรก้อนหนึ่งที่เรียกว่าอัตตาแน่ๆ มีอัตตาอยู่จริงๆ ไม่ที่นี่ ก็ที่อื่น ภพภูมิอื่น ตัวนี้นี่ ถ้าหากว่าเราสามารถเห็นความไม่เที่ยงของกายใจในชาติใดชาติหนึ่ง ได้แจ้ง ได้ขาด ก็จะไม่มีเศษ ไม่มีสภาพที่คงค้างให้ต้องไปชดใช้ความไม่รู้กันต่อไปในชาติหน้านะ

กลายเป็นการทำลายอวิชชาที่สาม อวิชชาขั้นสุดท้าย ที่เป็นสุดยอดจริงๆ เป็นที่สุดของความเป็นพุทธจริงๆ

สรุปคือ ไม่ใช่ว่าเราทำสมาธิแล้วอธิษฐานว่า ขอให้เห็นนั่นเห็นนี่ แต่ต้องมีนิมิตที่อิงความจริงประกอบอยู่ด้วย แล้วนิมิตที่อิงความจริงประกอบอยู่ ทางพุทธศาสนา (คือการเห็นลม) หายใจก่อนเลย หายใจเข้าหรือหายใจออก นั่งอยู่หรือนอนอยู่ เห็นนิมิตทางกาย เห็นนิมิตของลมได้ จากนั้นถึงค่อยเขยิบขึ้นไป ดูว่าที่ผ่านมานาทีนี้ นาทีก่อน มีนิมิตแบบไหนเกิดขึ้น

อย่างคนปกติ เวลาคิดทบทวนนี่จะเกิดภาพแค่แวบเดียว พูดถึงเมื่อวาน จะมีเหตุการณ์ที่ขึ้นใจแค่เรื่อง หรือสองเรื่องปรากฎแวบขึ้นมา แต่ถ้าหากเป็นสมาธิขั้นสูง สมาธิที่เกิดจากการอิงความจริง เช่นหายใจเข้า หายใจออก กำลังนั่งอยู่ หรือกำลังยืนอยู่ จะมีสมาธิที่ตั้งมั่นคงเส้นคงวา มากพอที่จะเห็นเป็นช็อตๆ เลยนะว่า ที่เราคิดอ่านทำการ หรือว่าเคลื่อนไหวในอิริยาบถหนึ่งๆ ในเหตุการณ์หนึ่งๆ เกิดขึ้นอย่างไร ให้ความรู้สึกอย่างไร สัมผัสอย่างไรราวกับว่าเหตุการณ์นั้นย้อนกลับมาอีกครั้ง นี่จะแน่ชัดว่า เราไม่ได้เห็นของเก๊ มีความจริงปรากฎอยู่ เคยปรากฎอยู่แน่ๆ แล้วเราแค่มีสติ ระลึก เห็นชัดด้วยสมาธิที่ตั้งมั่นคงเส้นคงวา
!

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน วิธีรู้ว่านิมิตจริงหรือเท็จ
▶▶ คำถามช่วง ถามตอบ ◀◀
9.3.2019

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น