ดังตฤณ : ผมบอกไว้ตั้งแต่สมัยเขียนหนังสือ #รักแท้มีจริง
อย่างถ้าดูตามโหราศาสตร์บอกไว้
ถ้าเกิดฤกษ์นี้ พ่อแม่ต้องหย่ากัน
ถ้าเกิดฤกษ์นี้ พ่อแม่อยู่ด้วยกันไปนานๆ
ไม่จำเป็นต้องไปเชื่อโหราศาสตร์นะ
แต่ผมยกตัวอย่างว่า ศาสตร์แห่งโหร หรือศาสตร์แห่งดวงดาว .
เขาอธิบายเรื่องกรรมได้จริง
แปลว่าวิบาก ออกแบบไว้แล้วตั้งแต่แรกว่า
เกิดมาแล้วจะได้อยู่กับพ่อแม่นานแค่ไหน
หรือไม่อยู่กับพ่อแม่เลยตั้งแต่ต้น
หรืออยู่กับพ่อแม่ไปจนกว่าจะตายจากกัน
ถ้าหากว่ามีเหตุ คือ ของเก่าของลูก
จะต้องมาอยู่กับพ่อแม่ที่แตกแยกอยู่แล้ว
เหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ก็คือเราจะต้องแยกกับสามี หรือภรรยา
หรือถ้าดวงของลูกบอกว่า ได้อยู่กับพ่อแม่จนโต
ก็จะมีความรู้สึกเห็นแก่ลูก ทนทุกอย่าง ทนอยู่จนลูกโต
แล้วถึงค่อยให้รู้ว่าพ่อแม่ทะเลาะกัน
หรือว่าไม่สามารถอยู่ด้วยกันตั้งนานแล้ว แต่ว่าเห็นแก่ลูก
ใจของเราเป็นอย่างไร ก็สะท้อนสิ่งที่เป็นวิบากของลูกนั่นแหละ
ถ้าเราใช้วิธีแบบที่ผมว่า คือ ทำความเข้าใจว่า ชายหญิง หรือคู่ที่มาประกบกัน
ต่างฝ่ายต่างเป็นขั้ว แล้วก็ดูดติดกันด้วยแรงกรรมบางอย่างในอดีต
แล้วก็รวมทั้งความจงใจ เจตนา ความอยากในปัจจุบัน
ขั้วนี้ ไม่จำเป็นต้องดูดติดกันเสมอไป สามารถมีแรงผลักได้
ซึ่งแรงผลักนี่มีทั้งแรงผลักแบบดี กับแรงผลักแบบร้าย
แรงผลักแบบร้าย คือทะเลาะกัน ตีกันจนตาย แล้วแยกจากกัน
อาจแยกจากกันด้วยความบาดเจ็บทางใจ ทางกาย
หรือตายจากกัน ด้วยการทำร้ายกัน
หรือแยกจากกันในทางดี
ด้วยการที่ฝ่ายหนึ่งเข้าใจธรรมะของแรงดึงดูดสองขั้ว
พยายามที่จะทำตัวเป็นตรงกันข้ามกับอีกฝ่ายหนึ่ง
ด้วยเจตนาว่า ขอให้เลิกแล้วต่อกัน ขอให้ออกห่างจากกัน
ขอให้ไม่ต้องอยู่ด้วยกันอีก
ด้วยแรงบุญที่ปฏิบัติเป็นตรงกันข้ามกับบาปกรรม ที่เขาก่อขึ้นมา
เขานอกใจ เรามีใจอยู่ใจเดียวเลย
เขาโกหกเป็นประจำ เราพูดความจริง
แม้แต่คำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีเลยที่เราจะพูดไม่จริง
เป็นตรงข้ามให้หมด จนกระทั่งในที่สุด
ด้วยแรงใจที่เจตนาจะแยกออกจากกันอยู่แล้ว
และการกระทำลงทุนลงแรงด้วยบุญใหม่จริงๆ
ในที่สุดก็เกิดแรงผลักแบบดี แยกออกจากกันไปอีกได้
ตรงนี้ก็เป็นอีกชั้นหนึ่ง เป็นสิทธิ์ของเรา แล้วก็เป็นวิบากกรรมของลูก
คือเราพิจารณาแล้วว่าถ้าอยู่ด้วยกัน
เผลอๆ ลูกจะบาดเจ็บเยอะกว่าที่จะแยกกัน
เห็นจริงๆนะ ไม่ใช่แกล้งเห็น ไม่ใช่แกล้งเข้าข้างตัวเอง
ถ้าเห็นจริงๆ แล้วทำไปก็ไม่เป็นไร เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในชีวิตลูกอยู่แล้ว
เส้นทางเขาได้ออกแบบมาอยู่แล้วถึงได้มาอยู่กับพ่อแม่คู่นี้
ให้มองแบบนี้ไปก็แล้วกัน! ______________
9.2.2019
ซึ่งหลายคนทดลองแล้วก็เห็นผลตามนั้น
คือ ถ้าอยากเลิกจากคู่เวร อยากจะอยู่บนเส้นทางคนละวงโคจรกัน
เขาทำชั่วอย่างไร เราทำดีแบบที่ตรงกันข้าม ให้ครบทุกข้อ
แล้วจะเห็นผลในเวลาไม่นาน ใจจะแยกห่างออกจากกัน
เพราะว่าคนที่ศีลไม่เสมอกันขนาดที่ ดำกับขาว จะอยู่ด้วยกันไม่ได้
ขั้วตรงข้ามทางธรรมชาติ มีแรงผลัก มีแรงดึงดูดอยู่จริง
สามารถพิสูจน์ได้ถ้าไม่ได้มีเหตุปัจจัยอื่น นอกเหนือการควบคุม
เช่น เขายังอยากจะอยู่ตรงนี้เพื่อเอาผลประโยชน์
สำหรับคู่ส่วนใหญ่ก็เวิร์ค (Work – ได้ผล)
ที่ฟังเขาเล่ามา ก็เห็นผลตรงกันหมด
บางคนใช้เวลาสั้น บางคนใช้เวลายาวหลายปีหน่อย
แต่ในที่สุดก็มีเหตุปัจจัย ผลักดัน
ให้เกิดความเอือมระอา ที่จะมาทนอยู่กับเราไปเอง
ใครที่กำลังเอือมระอาสุดขีด
แต่เจ้ากรรมนายเวรที่มีตัวตนอยู่ตรงหน้า
ไม่ยอมเลิกราเสียที ไปลองทำดูก็ได้
เขาทำอะไรที่เป็นลบ ชอบพูดจาโว้กว้าก ชอบโกหก
เราทำให้ตรงข้ามให้หมด จนกระทั่งเกิดขั้วภายในที่ดูดกันไม่ติด
ในที่สุดเขาจะจากไปเอง
แต่ไม่รับประกัน
เพราะแต่ละคน ใช้ความพยายามก็ไม่เท่ากันแล้ว
อดทนใช้ระยะเวลาแค่ไหน ก็ไม่เท่ากัน
แล้วก็ทำจริงหรือเปล่า
หลายๆ คนไม่ได้ทำให้เป็นตรงข้าม ยังกลมกลืนไปกับเขาอยู่
ยังมีโทสะ ยังมีการอาละวาดกลับอะไรแบบนี้
ทีนี้มาตอบตัวคำถาม
คนเรา บางทีถ้ายังอยู่ตัวคนเดียวจะไม่สงสัย
แต่พอมีลูก จะเกิดคำถามขึ้นมาในใจทันที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่รักลูก เห็นแก่ลูกมากๆ
จะเกิดความรู้สึกแคร์ และความแคร์นี่ ทำให้สงสัยว่า
สิ่งที่เราตัดสินใจไป หรือว่าเลือกที่จะเอาเส้นทางแบบนี้ ผิดหรือถูก
เป็นบาปหรือเป็นบุญ แล้วบาปจะไปตกกับลูกไหม
ผมขอให้แง่คิดง่ายๆอย่างนี้
คนเราทุกคน ทั้งตัวเราและตัวลูก
มีวิบากกรรมที่ถูกวางแผนไว้ค่อนข้างจะแน่นอน
คือ ถ้าอยากเลิกจากคู่เวร อยากจะอยู่บนเส้นทางคนละวงโคจรกัน
เขาทำชั่วอย่างไร เราทำดีแบบที่ตรงกันข้าม ให้ครบทุกข้อ
แล้วจะเห็นผลในเวลาไม่นาน ใจจะแยกห่างออกจากกัน
เพราะว่าคนที่ศีลไม่เสมอกันขนาดที่ ดำกับขาว จะอยู่ด้วยกันไม่ได้
ขั้วตรงข้ามทางธรรมชาติ มีแรงผลัก มีแรงดึงดูดอยู่จริง
สามารถพิสูจน์ได้ถ้าไม่ได้มีเหตุปัจจัยอื่น นอกเหนือการควบคุม
เช่น เขายังอยากจะอยู่ตรงนี้เพื่อเอาผลประโยชน์
สำหรับคู่ส่วนใหญ่ก็เวิร์ค (Work – ได้ผล)
ที่ฟังเขาเล่ามา ก็เห็นผลตรงกันหมด
บางคนใช้เวลาสั้น บางคนใช้เวลายาวหลายปีหน่อย
แต่ในที่สุดก็มีเหตุปัจจัย ผลักดัน
ให้เกิดความเอือมระอา ที่จะมาทนอยู่กับเราไปเอง
ใครที่กำลังเอือมระอาสุดขีด
แต่เจ้ากรรมนายเวรที่มีตัวตนอยู่ตรงหน้า
ไม่ยอมเลิกราเสียที ไปลองทำดูก็ได้
เขาทำอะไรที่เป็นลบ ชอบพูดจาโว้กว้าก ชอบโกหก
เราทำให้ตรงข้ามให้หมด จนกระทั่งเกิดขั้วภายในที่ดูดกันไม่ติด
ในที่สุดเขาจะจากไปเอง
แต่ไม่รับประกัน
เพราะแต่ละคน ใช้ความพยายามก็ไม่เท่ากันแล้ว
อดทนใช้ระยะเวลาแค่ไหน ก็ไม่เท่ากัน
แล้วก็ทำจริงหรือเปล่า
หลายๆ คนไม่ได้ทำให้เป็นตรงข้าม ยังกลมกลืนไปกับเขาอยู่
ยังมีโทสะ ยังมีการอาละวาดกลับอะไรแบบนี้
ทีนี้มาตอบตัวคำถาม
คนเรา บางทีถ้ายังอยู่ตัวคนเดียวจะไม่สงสัย
แต่พอมีลูก จะเกิดคำถามขึ้นมาในใจทันที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่รักลูก เห็นแก่ลูกมากๆ
จะเกิดความรู้สึกแคร์ และความแคร์นี่ ทำให้สงสัยว่า
สิ่งที่เราตัดสินใจไป หรือว่าเลือกที่จะเอาเส้นทางแบบนี้ ผิดหรือถูก
เป็นบาปหรือเป็นบุญ แล้วบาปจะไปตกกับลูกไหม
ผมขอให้แง่คิดง่ายๆอย่างนี้
คนเราทุกคน ทั้งตัวเราและตัวลูก
มีวิบากกรรมที่ถูกวางแผนไว้ค่อนข้างจะแน่นอน
อย่างถ้าดูตามโหราศาสตร์บอกไว้
ถ้าเกิดฤกษ์นี้ พ่อแม่ต้องหย่ากัน
ถ้าเกิดฤกษ์นี้ พ่อแม่อยู่ด้วยกันไปนานๆ
ไม่จำเป็นต้องไปเชื่อโหราศาสตร์นะ
แต่ผมยกตัวอย่างว่า ศาสตร์แห่งโหร หรือศาสตร์แห่งดวงดาว .
เขาอธิบายเรื่องกรรมได้จริง
แปลว่าวิบาก ออกแบบไว้แล้วตั้งแต่แรกว่า
เกิดมาแล้วจะได้อยู่กับพ่อแม่นานแค่ไหน
หรือไม่อยู่กับพ่อแม่เลยตั้งแต่ต้น
หรืออยู่กับพ่อแม่ไปจนกว่าจะตายจากกัน
ถ้าหากว่ามีเหตุ คือ ของเก่าของลูก
จะต้องมาอยู่กับพ่อแม่ที่แตกแยกอยู่แล้ว
เหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ก็คือเราจะต้องแยกกับสามี หรือภรรยา
หรือถ้าดวงของลูกบอกว่า ได้อยู่กับพ่อแม่จนโต
ก็จะมีความรู้สึกเห็นแก่ลูก ทนทุกอย่าง ทนอยู่จนลูกโต
แล้วถึงค่อยให้รู้ว่าพ่อแม่ทะเลาะกัน
หรือว่าไม่สามารถอยู่ด้วยกันตั้งนานแล้ว แต่ว่าเห็นแก่ลูก
ใจของเราเป็นอย่างไร ก็สะท้อนสิ่งที่เป็นวิบากของลูกนั่นแหละ
ถ้าเราใช้วิธีแบบที่ผมว่า คือ ทำความเข้าใจว่า ชายหญิง หรือคู่ที่มาประกบกัน
ต่างฝ่ายต่างเป็นขั้ว แล้วก็ดูดติดกันด้วยแรงกรรมบางอย่างในอดีต
แล้วก็รวมทั้งความจงใจ เจตนา ความอยากในปัจจุบัน
ขั้วนี้ ไม่จำเป็นต้องดูดติดกันเสมอไป สามารถมีแรงผลักได้
ซึ่งแรงผลักนี่มีทั้งแรงผลักแบบดี กับแรงผลักแบบร้าย
แรงผลักแบบร้าย คือทะเลาะกัน ตีกันจนตาย แล้วแยกจากกัน
อาจแยกจากกันด้วยความบาดเจ็บทางใจ ทางกาย
หรือตายจากกัน ด้วยการทำร้ายกัน
หรือแยกจากกันในทางดี
ด้วยการที่ฝ่ายหนึ่งเข้าใจธรรมะของแรงดึงดูดสองขั้ว
พยายามที่จะทำตัวเป็นตรงกันข้ามกับอีกฝ่ายหนึ่ง
ด้วยเจตนาว่า ขอให้เลิกแล้วต่อกัน ขอให้ออกห่างจากกัน
ขอให้ไม่ต้องอยู่ด้วยกันอีก
ด้วยแรงบุญที่ปฏิบัติเป็นตรงกันข้ามกับบาปกรรม ที่เขาก่อขึ้นมา
เขานอกใจ เรามีใจอยู่ใจเดียวเลย
เขาโกหกเป็นประจำ เราพูดความจริง
แม้แต่คำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีเลยที่เราจะพูดไม่จริง
เป็นตรงข้ามให้หมด จนกระทั่งในที่สุด
ด้วยแรงใจที่เจตนาจะแยกออกจากกันอยู่แล้ว
และการกระทำลงทุนลงแรงด้วยบุญใหม่จริงๆ
ในที่สุดก็เกิดแรงผลักแบบดี แยกออกจากกันไปอีกได้
ตรงนี้ก็เป็นอีกชั้นหนึ่ง เป็นสิทธิ์ของเรา แล้วก็เป็นวิบากกรรมของลูก
คือเราพิจารณาแล้วว่าถ้าอยู่ด้วยกัน
เผลอๆ ลูกจะบาดเจ็บเยอะกว่าที่จะแยกกัน
เห็นจริงๆนะ ไม่ใช่แกล้งเห็น ไม่ใช่แกล้งเข้าข้างตัวเอง
ถ้าเห็นจริงๆ แล้วทำไปก็ไม่เป็นไร เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในชีวิตลูกอยู่แล้ว
เส้นทางเขาได้ออกแบบมาอยู่แล้วถึงได้มาอยู่กับพ่อแม่คู่นี้
ให้มองแบบนี้ไปก็แล้วกัน! ______________
คำถามเต็ม : การรักษาศีลให้มั่นคง
เพื่อให้คู่ที่ศีลไม่เสมอกันหลุดออกไป เป็นการแก้ปัญหาชีวิตคู่ไหม
หรือ ควรอดทนและวางเฉยต่อการกระทบของคู่ที่ไม่ดี
การที่เราอยากเลิกเพราะเขานอกใจ และทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ
เป็นการทำครอบครัวแตกแยก หรือเป็นบาปต่อลูกหรือไม่?
หรือ ควรอดทนและวางเฉยต่อการกระทบของคู่ที่ไม่ดี
การที่เราอยากเลิกเพราะเขานอกใจ และทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ
เป็นการทำครอบครัวแตกแยก หรือเป็นบาปต่อลูกหรือไม่?
-------------------
ปฏิบัติธรรมที่บ้านตอน สติในการรู้โลกตามจริง9.2.2019
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น