วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน แผ่เมตตาร่วมกัน


ดังตฤณ : คืนนี้เราก็จะมาแผ่เมตตาร่วมกันตามที่นัดหมายกันไว้ เมื่อเช้าตั้ง Status ถาม คือบอกที่มาที่ไปนะครับว่า เดิมทีก็เคยแผ่เมตตาร่วมกันมาแล้วสองครั้ง แล้วก็เหมือนกับจะแนะนำให้รู้จักเฉยๆ ว่า การแผ่เมตตาหน้าตาเป็นอย่างไรนะครับ ถ้าหากว่าได้หลัก หรือจับจุดถูก ก็สามารถที่จะเอาไปแผ่เมตตากันเองได้ 

แต่ทีนี้ หลายคนก็ขอมาว่า อยากให้มีแผ่เมตตาร่วมกัน เพราะเกิดความรู้สึกว่าแตกต่างจากแผ่เมตตาคนเดียว ก็เลยถามดูว่าอยากจะแผ่เมตตาร่วมกันเป็นระยะหรือเปล่า ตอนนี้เรามี )) เสียงสติ (( เป็นตัวช่วย ก็ปรากฏว่าเกินคาดจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะมีความต้องการแผ่เมตตาร่วมกันมากถึงขนาดนี้ จากโพลล์ (
Poll) เมื่อเช้า ตอนนี้สองพันกว่าคนแล้วนะ คือ 99% บอกว่าอยากให้ผมจัดแผ่เมตตาร่วมกัน เพราะเดิมก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำไปเรื่อยๆ นะ

ก็เป็นอันว่าถ้ามีจังหวะดี อย่างเช่นผมคิดเสียงใหม่ๆ ได้ ที่จะช่วยแผ่ความสุขได้ง่ายๆ แล้วก็ด้วยเวลาอันสั้น อย่างเช่น เวอร์ชั่นที่กำลังจะให้ฟังคืนนี้ แค่ครึ่งนาที จมูกโล่งเลยนะ แล้วก็สามารถที่จะเอามาใช้แผ่เมตตาได้ทันที จมูกโล่งเมื่อไหร่ พร้อมทำสมาธิเมื่อนั้น คิดง่ายๆ นะ

ก่อนอื่นใด เพื่อเกิดความเข้าใจ ไม่ใช่ทำกันไปเฉยๆ เราต้องมาดูก่อนว่าพระพุทธเจ้าท่านแสดงหลักแผ่เมตตาไว้อย่างไร

หลักแผ่เมตตาของพระพุทธเจ้าสรุปง่ายๆ ก็คือว่า เมื่อโกรธ เมื่อเกิดความพยาบาท ให้รู้ว่าความโกรธ ความพยาบาทนั้นเหมือนกับโรคทางใจ มีอาการอึดอัด มีอาการที่กระวนกระวาย มีอาการที่รุ่มร้อนไม่ปกติ เหมือนคนเป็นไข้ แต่เป็นไข้ทางใจ ซึ่งถ้าเราพิจารณาว่า เรากำลังป่วยทางใจอยู่ ก็จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าหายป่วย ก็เหมือนกับตอนที่เราหายป่วยหายไข้ทางกาย กลับมามีกำลังวังชา มีชีวิตจิตใจได้เหมือนเดิม คิดอ่านปลอดโปร่ง ไม่ใช่คิดอะไรหมกมุ่นจนกระทั่งเหมือนคนเป็นโรคจิต อะไรแบบนั้น

พอมีการพิจารณาอย่างนั้นได้ ก็จะมีแก่ใจว่าจะถือไว้ทำไม จะแบกไว้ทำไม ความโกรธความพยาบาทนี้ ใจจะฉลาดมากขึ้น แล้วก็สามารถวางได้ พอวางได้ก็โล่ง พอโล่งได้ ก็รู้สึกเบา รู้สึกใจใส พระพุทธเจ้าก็ให้เอาตัวนั้นเป็นตัวตั้งในการแผ่เมตตา

จับหลักนะ คือคำว่าแผ่เมตตา พระพุทธเจ้าทรงนิยามความหมายของการปฏิบัติ เริ่มต้นจากการเห็นความโกรธ ความพยาบาทเป็นโรคทางใจ และถ้าวางได้หายป่วยหายไข้ได้ ใจจะสบาย พอใจสบายแล้ว ก็พร้อมจะเป็นสมาธินะครับ สามารถที่จะตั้งจิตแผ่ออกไปทางเบื้องหน้า เบื้องหลัง เบื้องซ้าย เบื้องขวา อันนี้ก็มีการตีความกันมาในชั้นหลังว่า ทิศเบื้องหน้า เบื้องหลัง เบื้องข้างอะไรต่างๆ เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ พี่น้องญาติมิตรหรือศัตรูอะไรต่างๆ

แต่จริงๆ แล้วถ้าหากว่ามีประสบการณ์ในการทำสมาธิจริงๆ จนกระทั่งเกิดกำลังของสมาธิจะทราบว่า การแผ่เมตตาในลักษณะที่พระพุทธเจ้าสอนให้แผ่ออกเป็นทิศต่างๆ จะเหมือนกับยิงกระแสความสุขออกไปได้จริงๆ ตามทิศนั้นๆ นะ เผื่อคืนนี้ ถ้าใครทำได้ จะได้ปรับความเข้าใจกันใหม่เลยนะครับ เอาตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน

ทีนี้พอแผ่เมตตาแบบพระพุทธเจ้า บอกว่าตั้งต้นจากจิตที่เป็นสุข พูดง่ายๆ ตั้งต้นจากจิตที่ไม่มีโทสะ ตั้งต้นจากจิตที่ไม่มีความพยาบาท เราก็เลยเอามาประยุกต์กันได้ อย่างที่ครูบาอาจารย์ชั้นหลังสอนกันว่า เวลานั่งสมาธิได้ สวดมนต์ได้ แล้วเกิดความสุข ความเบา ก็ให้แผ่เมตตา แต่คนไม่เข้าใจ ไปท่องสัพเพ สัตตา อเวราโหนตุฯ เฉยๆ แล้วก็นึกว่าตัวเองแผ่เมตตาแล้ว อันนั้นไม่ใช่นะครับ นั่นเป็นความคิด ไม่ใช่จิตที่แผ่ออกไป

และถ้าหากว่า ท่อง สัพเพ สัตตาฯ แล้วนึกถึงศัตรูทั้งที่มีความโกรธ มีโทสะอยู่ นั่นไม่ใช่แผ่เมตตา ไม่ใช่แผ่ความเย็นนะ ตรงกันข้าม เราแผ่ความพยาบาทออกไปกระทบเขา แผ่โทสะออกไป ฉะนั้น หลายคนพอไปเจอหน้าศัตรู อ้าว ทำไมยังไม่หายโกรธกัน ยิ่งเกลียดหน้ากันมากขึ้นไปกว่าเดิมอีก ตัวเองก็เกลียดมากขึ้น เขาก็มองเราไม่ดีมากขึ้น นั่นก็เพราะเวลาที่เรานึกว่าแผ่เมตตา จริงๆ คือการแผ่โทสะต่างหาก แผ่ความพยาบาท ทำให้เข้มข้นขึ้นต่างหากนะ

ถ้าเราเข้าใจหลักการ เวลาสวดมนต์ ไม่ได้หวังขออะไร ไม่ได้อยากจะอธิษฐานอะไร แต่สวดเพื่อถวายแก้วเสียงเป็นพุทธบูชา อยากสรรเสริญพระคุณท่าน ด้วยใจที่เหมือนกับมีความสุข ที่ได้สรรเสริญคน แต่ คนนี้ไม่ใช่แค่คนธรรมดา แต่เป็น มหาบุรุษนะครับ เป็นพระอริยเจ้าที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ที่เรารู้สึกเคารพ นับถือเลื่อมใส ถ้าหากว่าเราสวดมนต์ไป อิติปิโส ภควาฯ แล้วใจเป็นสุข ถวายแก้วเสียง ไม่หวังอะไรเลย นั่นแหละ ตัวนี้พร้อมที่จะริน หรือ เอ่อความสุขขึ้นมาแล้ว และพอเอ่อความสุขมากเข้า พอสวดเสร็จก็พร้อมที่จะแผ่เมตตาออกไปได้

เหมือนจุดที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสนั่นแหละว่า เมื่อมีความสุข เมื่อมีความเบา แล้วจับความสุขตรงนั้น แผ่ออกไปตามทิศต่างๆ แบบนี้เรียกแผ่เมตตาเหมือนกัน แล้วในอาการ ภาวะแบบนั้น ความรู้สึกจากประสบการณ์ทางใจแบบนั้น จะทำให้เราทราบได้ว่า ความสุขอันเกิดจากการแผ่เมตตาคือความสุขอันเกิดจากการไม่เบียดเบียนกัน ไม่คิดที่จะไปทำร้ายกันนะ

เราจะมาพูดถึงคืนนี้ที่จะใช้)) เสียงสติ (( ช่วยในการแผ่เมตตา ช่วยอย่างไร ก่อนอื่นใด สำหรับท่านที่อาจยังไม่เคยคุ้นกับ )) เสียงสติ (( เพิ่งมาดูครั้งนี้เป็นครั้งแรก ต้องใช้หูฟัง แยกข้างให้ถูกด้วย ... ซ้ายขวา มีความหมาย มีผลนะ ... หูซ้ายคือเข้าข้างซ้าย หูขวาคือเข้าข้างขวานะ

)) เสียงสติ ((ที่ผมจะเอามาให้ฟังในคืนนี้ เป็นเวอร์ชั่นใหม่ เริ่มต้นจะมีเสียงระฆัง เข้ามาช่วยหลอกสมองให้รู้สึกว่าได้ยินมาจากที่ไกล แล้วสมองจะปรับโหมดให้เหมือนอยู่ในที่โล่งกว้าง ทีนี้คลื่นสมองส่วนที่มีความสัมพันธ์กับสมองส่วนหลัง จะมีระดับที่เข้มข้นขึ้น แล้วสมองส่วนหน้าจะทำงานน้อยลง พูดง่ายคือคุณจะรู้สึกว่าตัวเองคิดน้อยลง ผมเอาภาพคลื่นสมองมาให้ดูนิดหนึ่ง จะได้เกิดความเข้าใจ

คำว่าคลื่นสมอง ที่บอกว่าแบ่งเป็น เดลต้า (
Delta) เธต้า (Theta) อัลฟ่า (Alfa) เบต้า (Beta) และแกมม่า (Gamma) จริงๆ ที่เห็นจะมีการสื่อสารกัน มีการคุยกันระหว่างเซฃส์ประสาท ขั้วสมอง และสีที่ต่างกัน เขียวบ้าง ฟ้าบ้าง เหลืองบ้าง แสดงให้เห็นว่า สปีด (speed) ของคลื่นสมองแต่ละย่านไม่เท่ากัน บางคลื่นช้า บางคลื่นเร็ว แต่ว่าวิ่งอยู่ตลอดเวลา คลื่นสมองมีอยู่ทุกย่าน เราแค่มาปรับให้เกิดความสมดุล

)) เสียงสติ (( ที่จะเอามาช่วย ความหมายของการสงบ ความหมายของการมีสมาธิ จริงๆ ไม่ใช่สมองหยุดทำงานนะ แต่ว่าคลื่นสมองอยู่ในภาวะสมดุลต่างหาก นะครับ และที่คุณรู้สึกสงบ เพราะสมองส่วนหน้าลดการทำงานลง สมองส่วนหลัง มีส่วนสัมพันธ์กับคลื่นสมองในระดับที่เข้มข้นมากขึ้น ในระดับที่สูงขึ้น เป็นการอธิบายให้เข้าใจคร่าว ๆ นะครับ

สรุปก็คือว่า พอเราฟัง)) เสียงสติ (( ช่วย แล้วมาแผ่เมตตาร่วมกันในขณะที่มีความสุขแล้ว จะได้ประสบการณ์ด้วยกันว่า ความสุขที่เกิดจากการคิดไม่เบียดเบียนกัน หรือว่ามีน้ำจิตน้ำใจต่อกัน ช่วยปรับปรุงคุณภาพจิตได้อย่างไร แล้วก็ทำให้มีสติมากขึ้นได้แค่ไหนนะ 

เวลาที่คนเราถูกย้อมด้วยโทสะ ด้วยพยาบาท ด้วยความอาฆาต เจริญสติไม่ออกหรอก หลายคนพยายามที่จะดูโทสะระหว่างวัน ดูแล้วอีกกี่สิบปี ก็ยังเป็นโทสะแบบเดิมนั่นแหละ ไม่ค่อยจะลดราวาศอกลงเท่าไหร่ แต่ถ้าหากเรามีความเข้าใจในการทำสมาธิและแผ่เมตตาด้วย ให้จิตใจมีพื้นของเมตตา เป็นพื้นยืน ความโกรธ ระดับความโกรธ จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดนะครับ

พอเริ่มฟัง หลักการง่ายๆ แต่ละคนจะมีปฏิกิริยา จากสมองไม่เหมือนกัน แต่ให้หลักการไว้ง่ายๆ ว่า ถ้าเริ่มรู้สึกจมูกโล่งเมื่อไหร่ ตอนนั้นแหละ สมองคุณเริ่มมีปฏิกิริยากับ )) เสียงสติ (( แล้ว โต้ตอบกับ )) เสียงสติ (( แล้ว

ถ้าจมูกโล่ง แล้วเกิดความรู้สึกว่า เบา สบาย นั่นแหละ เริ่มแผ่เมตตาได้ เพราะตอนที่คุณรู้สึกปลอดโปรงเป็นสุข คุณจะสัมผัสพื้นที่ว่างรอบตัวได้ อยู่ในท่านั่งแบบนี้ คล้ายๆ กับเป็นเสาหลักปักอยู่กลางดิน แล้วรอบตัวถูกรับรู้ ถูกสัมผัสได้ ทีนี้เวลาแผ่ อย่าแผ่แบบเจาะจง อย่าคิดถึงใครต่อใคร อย่างที่มีการตีความว่าพระพุทธเจ้าให้แผ่ออกไปเบื้องหน้าเบื้องหลัง แล้วหมายถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์อะไรนี่

จริงๆ แล้ว ถ้าคุณมีประสบการณ์ทางสมาธิ จะรู้ว่า กระแสสุข แผ่ออกไปตามทิศต่างๆ ได้จริงๆ ถ้าได้เรื่องของรัศมีความกว้าง ความสุข และทิศทางชัดเจนแล้ว ต่อไปเวลาแผ่แบบเจาะจง นึกถึงใคร คุณจะรู้สึกสัมผัสได้เลยว่า กระแสสุข กระแสเมตตาตรงนั้น ไปช่วยระงับความโกรธ ไปช่วยระงับความทุกข์เขาได้จริงๆ แต่ถ้าตอนแรกยังไม่มีกำลัง แล้วพยายามไปแผ่แบบเจาะจง คุณจะรู้สึกว่า แผ่ไม่ออกนะครับ

เอาล่ะ คิดว่าเรามาเริ่มกันเลยนะ ต้องใช้หูฟังนะ ใส่ให้ถูกข้างนะครับ การฟัง ใช้เวลา 6 นาที เสร็จแล้วก็ลองดูว่ากระแสความสุขของคุณ มีความเบา มีความปลอดโปร่ง แล้วสามารถรู้สึกได้ไหมว่า ตรงหน้าของเรามีความสุขแบบเดียวกันแผ่อยู่รอบๆ นะครับ เดี๋ยวมาคุยกันทีหลังก็แล้วกัน

เริ่มต้นสำหรับคนที่อาจยังไม่คุ้น ถ้าฟังแล้วเกิดความรำคาญเสียงหรือยังไง ก็แค่ฟังไปเรื่อยๆ ก่อน โดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องคาดหวังอะไรทั้งสิ้น เอาแค่เราฟังแล้วเกิดความรับรู้ว่า กำลังหายใจเข้า หายใจออก สังเกตความต่างระหว่างลมหายใจ แล้วไม่ต้องคาดหมายอะไรเลย ในที่สุดตอนที่คุณรู้ลมหายใจไปเรื่อยๆ จะพบจุดหนึ่ง อาจภายในครึ่งนาที อาจภายในหนึ่งนาทีแล้วแต่คน จะรู้สึกจมูกโล่ง ตอนจมูกโล่งนั่นแหละ ให้รู้สึกว่ากำลังหายใจอยู่อย่างมีความสุข แล้วความสุขนี่ ที่คุณรู้สึกถึงรัศมีความสุขออกจากตัว แค่รู้สึกกับมันเฉยๆ ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย แค่พอหลับตาแล้วมองออกไปตรงๆ ทะลุเปลือกตาออกไป กระแสความสุขก็จะเกิดรัศมีตามระยะสายตาที่คุณสามารถโฟกัสได้นั่นแหละ

หลักการง่ายๆ มีแค่นี้ พูดง่ายๆ แค่ฟังโดยไม่คาดหวัง แล้วก็จับความรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกนะครับ ที่จะเริ่มมีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ เอง แล้วความสุขนั้น แค่คุณมองว่า ไกลออกไปได้แค่ไหนตรงหน้านะ ไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่นนะครับ

ฟัง)) เสียงสติ (( ที่
http://dungtrin.com/BB/


หลายคนคงรู้นะครับว่าความสุข ความเบาอันเกิดจากการที่ใจเราอยู่ในสภาพที่โปร่งโล่ง ปราศจากโทสะ ปราศจากพยาบาท หน้าตาเป็นอย่างไร แล้วเวลาที่แผ่ออกไป พูดง่ายๆ ว่า เราแค่นั่งอยู่ รู้ตัวว่ากำลังนั่ง แล้วก็เหมือนกับมองออกไปตรงๆนี่แหละ รัศมีความสุขที่แผ่ออกไปจากความโล่ง ความเบา ก็คือหน้าตาหนึ่งของเมตตา แต่พอมีความเมตตาของแท้ ที่ไม่ใช่แค่ใจโล่งอย่างเดียว แต่ความคิด เป็นไปในทาง วาง ด้วย เป็นไปในทางที่พร้อมจะให้อภัยเป็นทานด้วย ตรงนี้ จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาอีกแบบว่า ลักษณะของเมตตา ไม่ใช่แค่ความสุขจากความเบาของสมาธิเฉยๆ แต่เป็นความสุขอันเกิดจากการพร้อมให้อภัยเป็นทาน ไม่ถือสาใครง่ายๆ ซึ่งชาวโลก จะบอกว่า โง่ หรือว่า ยอมเสียเปรียบได้อย่างไร หรือว่าทำไมไม่เอาเรื่องอะไรต่างๆ เราก็จะรู้อยู่ข้างในด้วยความฉลาดของใจแบบใหม่ว่า ที่เราไม่เอาเรื่อง ก็เพราะว่า เราไม่อยากเอาทุกข์เข้าตัว ไม่อยากเอาความร้อนเข้าตัวนะครับ
!

++ ++ ++ ++

https://www.youtube.com/watch?v=xm4-TwrIYB0
ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน แผ่เมตตาร่วมกัน
8 มิถุนายน 2562

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น