วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ของขวัญจากสมาธิ


ดังตฤณ : วันนี้เรามาคุยกันเรื่อง ของขวัญจากสมาธิ ซึ่งผมยกเป็นหัวข้อเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ (เนื่องจาก) ช่วงนี้ก็มีความคึกคักกันพอสมควร เกี่ยวกับการทำสมาธิ และผมรวบรวมมาจากที่บอกเล่ากันว่า ทำสมาธิได้ผล มีความสุข มีความสนุกในการทำสมาธิได้บ่อยๆ ทุกวัน แล้วเกิดอะไรขึ้น

อันแรกเลย อย่างแรกที่เห็นได้ชัดก็คือ ชีวิตมีความสุขมากขึ้น พอชีวิตมีความสุขมากขึ้นจากการทำสมาธิ แน่นอนว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนจะดีขึ้นไปด้วยตามไปหมด ไม่ว่าสภาพแวดล้อมหรือว่าสภาพชีวิตจะเป็นยังไงอยู่ ถ้าหากภายในใจของเรามีความสุข หัวโล่ง ตัวโล่ง เหมือนกับความทุกข์ไม่มี

ที่ยึดมาตลอดว่า ความทุกข์คือสถานการณ์แวดล้อม หรือสภาพแวดล้อม ก็เปลี่ยนมุมมองได้ใหม่ว่า ความทุกข์เกิดจากใจ ที่ไปยึดอะไรผิดๆ ไปสำคัญ หรือว่าเอาจริงเอาจัง จนกระทั่งสมองยุ่ง หัวยุ่ง ใจเต็มไปด้วยความหนักอึ้งนั่นต่างหากที่เป็นความทุกข์

ถ้าหากหัวโล่ง ตัวโล่ง ความสุขก็อยู่ที่นี่ ราวกับว่าชีวิตทั้งชีวิตไม่มีความทุกข์อะไรเลย ต่อให้ต้องเผชิญกับปัญหาขนาดไหน ต่อให้จะต้องทำงานหนักเพียงไร ก็รู้สึกว่า ไม่เป็นไรเดี๋ยวมันก็ผ่านไป เดี๋ยวเราก็ได้กลับมานั่งสมาธิให้ชุ่มฉ่ำที่บ้านต่อ

อันดับสองคือ เรื่องของสุขภาพ
พอหัวโล่ง พอตัวโล่ง อะไรดีๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายตามธรรมชาติ คือ เป็นไปตามธรรมชาติของร่างกายก็ปรากฏ อย่างถ้าพูดกันแบบหมอก็คือว่า มีการหลั่งสารดีๆ ออกมา เรื่องของกล้ามเนื้อที่ผ่อนคลาย ทำให้โลหิต หมุนเวียนดี ทำให้ระบบหายใจอะไรต่างๆ เป็นปกติ หรือว่าดีกว่าปกติ

หายใจยาว คือชีวิตดีนะ ยิ่งเราหายใจได้ยาวขึ้นเท่าไหร่ ชีวิตยิ่งดีขึ้นเท่านั้น แล้วโรคที่บางทีรักษาไม่หายด้วยการแพทย์ เพราะว่าเกิดจากการทำงานผิดปกติของสมอง อย่างประเภท
SLE (หมายเหตุ: Systemic Lupus Erythematosus, โรคแพ้ภูมิตัวเอง) หรือซึมเศร้าอะไรต่างๆ พวกนี้ ต้นเหตุมาจากความขัดแย้งทางใจ หรืออาการซึมที่เราไปเร่งมันขึ้นมา ไปรักษามันไว้ ลักษณะของโรคภัยไข้เจ็บที่ยารักษาไม่ได้ อันเนื่องจากการคิดผิด หรือว่าตั้งมุมมองชีวิตไว้พลาด ถ้าหากว่าทำสมาธิได้ จะหายไปได้เหมือนปาฏิหาริย์

จริงๆ ไม่ใช่ปาฏิหาริย์อะไรเลย เป็นธรรมชาติตื้นๆ เป็นการทำงานของสมองที่ผิดปกติ พอเราทำให้สมองกลับฟื้นคืนสู่สภาพปกติ โรคที่เกิดจากอาการผิดปกติทางสมองก็หายตามไปด้วย นี่เป็นเรื่องธรรมดามากๆ

อันที่สาม ก็คือว่า ง่ายต่อการทำความเข้าใจกับธรรมะ ... ที่เหมือนกับว่า ที่ผ่านมาทั้งชีวิต บางทีทำไมไม่เข้าใจ แต่พอหัวโล่ง ตัวโล่งขึ้นมา จะเข้าใจได้ง่ายๆ ผมยกตัวอย่างให้ดู มีอยู่คนหนึ่งบอกมาว่าให้คุณแม่ลองฟังเสียงสติดู คุณแม่ก็เลยเหมือนกับขยัน พอทำได้ ก็ให้ (ลูกสาว) หาเบาะที่นั่งทำสมาธิมาให้ ที่สำคัญ คุณแม่บอกว่า แม่ต้องนั่งสมาธิผิดอะไรสักอย่างแน่ๆ ดูลมหายใจ ดูไปแล้วเหมือนไปนั่งดูคนอื่นหายใจ

ตรงนี้คือ ทั้งชีวิตของชาวพุทธ บางทีไม่เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าอยากให้เห็นอะไร มีความปรารถนา มีพระประสงค์อะไร ที่บำเพ็ญบารมีมา จริงๆ แล้วพระองค์อยากให้เห็นอย่างนี้แหละ เห็นว่าที่เรายึดอยู่ว่า เป็นกายของเรา เป็นลมหายใจของเรา เป็นจิตของเรา เป็นความคิดของเรา คือ อุปาทาน คือความสำคัญผิด ถ้าหากว่ามีสมาธิ ในแบบสงบพร้อมรู้ได้ จะสามารถเกิดมุมมองแบบนี้ได้ง่ายๆ เช่นกัน คือถ้าคนปกติ พอเห็นไป แล้วนึกว่าตัวเองเข้าใจผิด เลิกดูแบบนี้ มาดูแบบมีตัวตน นี่ก็กลายเป็นว่าอุตส่าห์มาถูกทางแล้ว ก็ออกจากทางที่ถูกมาในทางที่ผิดแบบปุถุชนธรรมดาทั่วไปกันได้

แต่ถ้าหากทำความเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร อยากให้เห็นอะไร ตรงนี้จะเป็นจุดเริ่มต้น เป็นประตู เป็นปากทางที่จะเดินเข้าสู่การเจริญสติอย่างถูกต้อง การทำวิปัสสนา เพื่อบรรลุมรรคผลอย่างถูกต้อง ตรงนี้ก็เป็นของชวัญชิ้นที่สาม

กรณีนี้คือคุณแม่ของคนที่ส่งข้อความมานี้ ก็เรียกว่าเป็นพุทธมาทั้งชีวิต ทำบุญทำทาน ทำกุศลอะไรมามากมาย แต่อาจยังไม่เคยเขยิบขึ้นมาฟังเรื่องความไม่เที่ยง หรือว่าความไม่ใช่ตัวตนของกายใจ พอได้สมาธิขึ้นมา ได้ของขวัญจากสมาธิที่ดีแล้ว ก็กลายเป็นการเปิดโลกทัศน์แบบพุทธ กลายเป็นสายตาแบบพุทธ มีดวงตาที่พร้อมจะเห็นธรรม คือ ยังไม่ได้ดวงตาเห็นธรรมแบบบรรลุมรรคผล แต่พร้อมที่จะเห็นความจริง แบบที่พระอริยเจ้าท่านเห็นกัน เห็นว่าที่เรานึกว่า กายนี้ใจนี้ ที่กำลังนั่งอยู่ ที่กำลังฟังอยู่อย่างนี้ เป็นตัวเราแน่ๆ มันหายไป กลายเป็นความเห็นแบบใหม่ออกมาจากข้างใน ว่า จริงๆแล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเดิมเลย มีแต่ตัวที่แสดงอยู่ชัดๆ ตลอด 24 ชั่วโมงว่า ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนนับเริ่มตั้งแต่ลมหายใจเป็นต้นมา

อันนี้แหละที่พระพุทธเจ้าท่านถึงได้คะยั้นคะยอหนักหนา ว่า อยากให้เห็นลมหายใจแสดงความไม่เที่ยงก่อน เพราะว่าเมื่อเห็นแล้ว เห็นได้ง่ายๆ ก็สามารถที่จะเห็นอย่างอื่น ไม่ใช่ตัวตนได้เช่นกัน

บอกกล่าวนะ วันนี้ผมเพิ่งอัพเดท (
update) ไฟล์เสียงสติ คือจะทำใหม่เลย ถ้าเข้าไปที่ 

จะมีการแสดงลิงก์ใหม่ คือ ผมทำเป็นเสียงสามแบบ ... เสียงศรัทธา เสียงสติ และเสียงรักษา

สำหรับ เสียงสติ ก็สามเสียงที่เคยได้ฟังกันมานั่นแหละ ส่วน เสียงศรัทธา คลิกเข้าไป ก็จะเป็นแบบที่หลายคนเรียกร้องว่าอยากฟังอะไรง่ายๆ แต่ฟังแล้วมีความสุข เกิดสมาธิได้ เคยทดลองแล้วได้ผลกับคนกลุ่มใหญ่พอสมควร หลายร้อยคน คือ ถ้าฟังแล้วหลับตาดูลมหายใจไป ก็สามารถที่จะเกิดสมาธิได้ บางคนถึงอุปจารสมาธิได้เลย ความสุขท่วมท้นขึ้นมา เพราะเกิดจากการปรุงแต่งอันเกิดจากการฟังเสียงสรรเสริญพระพุทธเจ้า ขับร้องโดย ปาน ธนพร นะครับ มีมานานแล้วล่ะ แต่หลายท่าน 90
% ยังไม่เคยฟังนะ ลองไปฟังดู

นอกจากนั้น ที่เพิ่มขึ้นมา เพื่อที่จะแยกอย่างชัดเจนนะครับก็เป็น เสียงรักษา ที่ผมเพิ่งให้ไปเมื่อเช้านี้ ถ้าเปรียบเทียบว่า เสียงสติ ที่ผ่านมา เป็นการขึ้นบันไดแบบข้ามขั้น ขึ้นทีละสองขั้นบ้าง สามขั้นบ้าง เพื่อไปถึงข้างบนได้เหมือนกัน แต่ว่ารีบร้อนไปนิดหนึ่ง

แต่ เสียงรักษา นี่ จะใช้เวลามากกว่า แล้วก็ขึ้นทีละขั้นๆ ผลเป็นอย่างไร ก็เหมือนกับการล้างท่อ หรือว่าพยายามขจัดสิ่งอุดตันในท่อ ที่มีน้ำไหล ถ้าหากว่า เราขจัดทุกซอก ทุกมุม ก็จะไหลได้สะดวกขึ้น นี่ก็คือ เสียงรักษา นะ

คำว่า เสียงรักษา จริงๆ แล้ว เป็นฟีดแบค มาจากหลายๆ ท่านนะครับว่า ฟังเสียงสติ แบบ 33 นาที แล้วโรคนั้นโรคนี้หายไป หรือว่า อาการนั้นอาการนี้ อาการเจ็บปวดตามร่างกายอะไรต่างๆ ทุเลาลงหรือหายไปเลย ผมก็เลยทำออกมาเป็นไฟล์เพื่อที่จะจงใจเลย คราวนี้ เป็นผลพลอยได้จากการที่เราตั้งใจว่าจะใช้
binaural beats เพื่อค้ำจุนสมาธิ หรือช่วยให้เกิดการเจริญสติได้ง่าย ก็ข้ามพรมแดนไปเลย มาเรื่องการรักษาไปเลย ว่ากันตรงๆ ใช้คำกันตรงๆ ว่าอันนี้ตั้งใจรักษา แต่ต้องใช้เวลากันนิดหนึ่ง คือ 57 นาที ประมาณ 1 ชั่วโมงนะครับ แล้วก็มีคำเตือนอยู่ด้วยคือว่า ถ้าใครยังไม่เคยฟังเสียงสติ ไม่ควรกระโดดไปฟังทันที อยากให้ฟังเสียงสติก่อน เริ่มจากอันแรกเลย อันแรกนี่ต้อนรับมือใหม่ หน้าใหม่โดยเฉพาะ

เสียงเพื่อลดความฟุ้งซ่าน นี่ผมตั้งชื่อเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับประสบการณ์ที่แต่ละท่านช่วยส่งฟีดแบคกันมานะครับ เสียงลดความฟุ้งซ่าน จะมีดนตรีนำ ฉะนั้นฟังแล้วจะง่าย เหมือนกับเราเอาดนตรีมาเหนี่ยวนำให้เกิดความสงบพร้อมฟัง
binaural beats ซึ่งฟังยากสำหรับคนไม่เคยคุ้น แต่ถ้าฟังได้คุ้นแล้วก็จะเกิดความรู้สึกว่า โฟกัสที่ถูกมาอยู่กับลมหายใจ มาอยู่กับภาวะจิต ไม่ใช่ไปขัดเคืองกับเสียง วี้ๆ ในหูนะ

เสียงที่เป็น
binaural beats ฟังแล้วคุ้นไม่ยากหรอก ไม่นานก็คุ้น แต่สำคัญด่านแรก ช่วงต้นๆ ถ้าหากมีทัศนคติไม่ดี หรือเป็นคนขี้รำคาญ ก็อาจยากหน่อย แต่ถ้าฟังได้แล้ว อย่างเสียงเพื่อความผ่อนคลาย ถ้าฟังก่อนนอน ในท่านอน ผมออกแบบไว้โดยเฉพาะ สามารถที่จะนอนหลับไปกับเสียงนี้ได้ ก็จะรู้สึกว่าหลับสบาย แล้วก็ตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น ที่ตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นเพราะอะไร เพราะว่า สมองไม่เต้นผิดปกติ อยู่ในสภาวะที่สมดุล แล้วก็พร้อมพักนะครับ

ปกติ คนจะเข้าใจว่าการนอนหลับคือการพักผ่อน แตที่ไหนได้ พอวัดคลื่นสมองออกมาจริงๆ แล้วนี่ พอหลับฝัน นอกจากจะไม่ได้อยู่ในสภาพสงบแล้ว กลับยิ่งเต้นถี่หรือว่าแรงขึ้นกว่าตอนตื่น หรือ ตอนทำงานหนักๆ เสียอีก อย่างบางคนชัดเจนเลยนะ เหมือนตีขึ้นสูงมากๆ แล้วก็กระชากวูบลงต่ำทันที ประเภทแบบนี้สะท้อนเลย ว่าระหว่างวันสามารถที่จะเหวี่ยง สามารถที่จะวีนได้ง่ายๆ
ฉะนั้นการพักผ่อนไม่ใช่การนอนหลับ การพักผ่อนคือการที่สมองของเรามีคลื่นที่สมดุล แล้วเสียงเพื่อการผ่อนคลายนี้ก็ออกแบบมาโดยเฉพาะ เพื่อการนี้

ส่วน เสียงเพื่อปรับสมดุลกายใจทั่วพร้อม ก็หมายถึง การนั่งสมาธิ ถ้าวางแผนจะมีเวลานั่งแค่ครึ่งชั่วโมง จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า สามารถนิ่ง สามารถปีติ สามารถสุขได้ และถ้าฟัง
repeat (ฟังซ้ำๆ) จะยิ่งมีความรู้สึกว่าตั้งมั่นมากขึ้น

แต่เพราะเหตุนี้ผมก็เลยออกแบบเสียงใหม่ มาสำหรับคนที่นั่งได้นาน นั่งได้ดีแล้ว คุ้นกับเสียงสติดีแล้ว ก็เขยิบเลื่อนขั้นขึ้นไป เป็น เสียงรักษา ที่ต้องแยกออกมาเป็นต่างหาก ก็เพื่อที่จะบอกว่า ต้องคุ้นแล้วกับเสียงสติ มีสติดีแล้ว

และคำว่า รักษา ผมกินนัยทั้งสภาพทางกาย และสภาพทางจิตเลยทีเดียว คือรักษาทั้งระดับชีวภาพเลย มีการเปลี่ยนแปลงระดับชีวภาพอย่างชัดเจน และมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของมุมมองภายใน หรือว่าสภาวะ หรือว่าคุณภาพของจิต ที่พูดง่ายๆ ว่า มาจากการที่ปรุงแต่งของสมองที่ดีขึ้น

จิต กับ กาย หรือว่าตัวจิตกับสมองที่หลายคนสงสัยว่า แตกต่างกันอย่างไรกันแน่ ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ปัจจุบันบอกว่า เหมือนกันนั่นแหละ ไปเรียกต่างกันก็เพราะด้วยความเชื่อ แต่ถ้าหากว่าอธิบายตามมุมมองแบบพุทธก็คือ สมอง เป็นตัวทำงานที่แท้จริงเหมือนกับ ข้าทาสที่รับใช้เจ้านายที่แขนด้วนขาด้วน ไม่มีมือ ไม่มีเท้า แต่เจ้านายนี่มีอำนาจเหนือข้าทาส สามารถสั่งให้ข้าทาส ไปทำอะไรก็ได้ แต่ข้าทาสจะไม่มีชีวิตจิตใจของตัวเอง ไม่มีความปรารถนาส่วนตัว ได้แต่อุทิศชีวิตเพื่อรับใช้เจ้านายอย่างเดียว

ถ้าจิตไม่มีเจตนา ไม่มีการรับรู้ สมองนี่คือสิ่งเดียวกับศพเลยนะ วิทยาศาสตร์ทุกวันนี้ก็ยังค้นกันไม่เจอว่าพื้นที่การทำงานของสมองส่วนไหนที่เป็นแห่งผลิต สิ่งที่เรียกว่า
consciousness หรือการรับรู้ ได้แต่สันนิษฐานกันไป อาจเป็น เซลส์ประสาทขนาดยักษ์ใจกลางสมอง แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน

แต่ทางพุทธบอกไว้นานแล้วว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ถ้าจิตไม่มีการสั่งการ สมองก็จะไม่ทำงาน แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าสมองไม่ดี จิตก็ถูกปรุงแต่งไปในทางเลวเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าข้าทาสทำงานไม่ถูก ทำงานไม่ดีเจ้านายที่มือด้วน เท้าด้วน ก็ไม่สามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นปกติสุข เอาน้ำสกปรกมาให้ เอาอาหารไม่อร่อยมาให้ เอาเสื้อผ้าสกปรกมีแต่เชื้อโรคมาให้ ก็อยู่ไม่ได้

จิตเป็นผู้บรรลุธรรม กายไม่สามารถบรรลุธรรมได้ คลื่นสมองไม่สามารถบรรลุธรรมได้ นี่คือข้อแตกต่างระหว่างจิต กับสมอง ซึ่งเถียงกันไปเถอะ ไม่จบหรอกนะ ถ้าไม่เต็มใจที่จะมามองแบบพุทธ ถ้าไม่เต็มใจที่จะมาศึกษา มารู้ มาดูจากสภาพภายใน ไม่มีทางที่จะข้ามไปจากความยึดติดผิดๆ ได้เลยนะครับ นี่ก็เป็นปัญหาโลกแตก เป็นอจินไตย เป็นสิ่งที่ต้องรู้เอง เห็นเองเฉพาะตนนะครับ
!

++ ++ ++ ++

ชมคลิปวิดีโอที่ : 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น