ถาม : รู้สึกสงสัยว่า ตัวเองดรอปลงไหม หรือถอยหลังไปไหม
บางทีมีภาวะทางโลกกระทบแรงก็ยึด
ก็สงสัยว่า
ถ้ายึดขนาดนี้ จะปล่อยได้อย่างไร
เกิดความกังวลเรื่องมรรคผล
พี่ตุลย์ : คราวก่อนที่พี่พูดไป
ก็คือ
เราพะวงว่าจะได้
หรือไม่ได้ จะข้ามหรือไม่ข้าม
บางที อย่างคราวที่แล้ว
เราอาจไม่รู้ตัวว่ามีความพะวงตรงนี้
ว่าจะได้ข้ามหรือไม่ได้ข้าม
ที่เป็นหลักฐานเป็นเครื่องบอกชัดๆ
ก็คือ
มีความสงสัย
ว่ายึดขนาดนี้ จะเกิดอะไรขึ้น จะต้องติดอยู่อีกกี่ชาติ
หรือจะพลาดไปไหม
จะตกขบวนหรือเปล่า
มีการเทียบเคียงกับคนในห้อง
มีอะไรสารพัด
ที่พี่บอกก็คือ
อย่างเมื่อกี้
ตอนยืนทำมือไกด์ท่าที่สอง
เหมาะกับน้ำอบมาก
เพราะพอไม่มีความคิดขมุกขมัว
ไม่มีอะไรเคลือบ
จะสามารถกลับเข้าที่เข้าทาง
ตรงจุดที่เรารู้อย่างเดียว
ไม่คิดฟุ้งซ่าน ได้ง่ายๆ
ซึ่งตรงนั้นแหละ จะเป็นคำตอบในตัวเองว่า
จิตของเรา ยังมีสิทธิ์ที่จะเจริญสติต่อไหม
หรือมีสิทธิ์ ที่จะเห็นการแยกรูปแยกนามได้ไหม
การที่เราตั้งต้นขึ้นมา
บอกว่า เอ๊ะ เราจะข้ามเส้นได้ไหม
ตรงนั้นไกลเกิน ไม่รู้จะเอาอะไรมาวัด
ไม่สามารถจะเอาหลักฐานอะไรมาบอกให้จิตหายสงสัย
แต่ถ้าเราใช้วิธียืนไกด์ท่าสอง
แล้วจิตใสใจเบา
มีความรับรู้ถึงกายใจ
โดยความเป็นองค์ประกอบ
กายอยู่ส่วนกาย
จิตอยู่ส่วนจิตได้
เกิดความรู้สึกถึง
หลักฐานขึ้นมาทันที
แบบทำได้เดี๋ยวนี้
ประจักษ์ได้เดี๋ยวนี้เลยว่า
เออ นี่ยังสามารถ
มีอนัตตสัญญาได้
มีความรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเราได้
มีความรู้สึกว่า
มันแยกกัน
มีองค์ประกอบมาประชุมกัน
แล้วหลอกเราว่าเป็นตัวเรา
เมื่อเห็นอย่างนี้ได้
แล้วบอกตัวเอง ณ ขณะ ปัจจุบัน วินาทีนี้ได้เลยว่า
เรายังเห็นได้อยู่
เรายังมีสติ ที่เจริญขึ้น
ในทางที่จะเห็น
ที่จะประจักษ์ความเป็นอนัตตาได้อยู่
ก็มีสิทธิ์ตรงนี้เลย
แล้วสามารถยืนยันกับตัวเองได้เดี๋ยวนี้เลย
ว่าเรายังอยู่ในทาง
พี่ถึงบอกว่า
การข้ามเส้น เราไม่หวังก็ไม่ได้
เพราะไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร
เจริญสติไปเรื่อยๆ
แล้วไม่รู้จะไปลงเอยที่ตรงไหน
แต่ถ้ามีเรื่องการข้ามเส้นมา
อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส
ท่านตรัสไว้ชัดเจนเลยว่า
ทำไปเพื่อบรรลุมรรคผล
เจริญสติปัฏฐาน หรือเจริญอานาปานสติ
ท่านกำกับไว้หมดว่า
เป็นไปเพื่อการบรรลุมรรคผล
หรือเพื่อการพ้นทุกข์
อันวิเศษ เพื่อความพ้นทุกข์ได้จริง
ตรงนี้ท่านตรัสไว้ชัด
ทีนี้ ความเข้าใจจะพาเราไปได้ถึงไหน
ถ้าหากว่าเรายังเข้าใจว่า
การบรรลุมรรคผล คือการเอาเข้าตัว
ส่วนลึก มีความรู้สึกห่วงตัวเอง
กังวลว่าตัวจะไม่ได้มรรคไม่ได้ผล
ตรงนี้
ยังอยู่ในระดับของการมี ‘ภวตัณหา’
คือ พระพุทธเจ้า
บอกว่า ให้ใช้ ตัณหา ดับ ตัณหา
คือไม่มีตัณหาตัวนี้ก็ไม่ได้
แต่เมื่อมีภวตัณหา
แล้วมาเข้าทาง มาจับหลักการเจริญสติได้ถูกต้อง
มีความเข้าใจว่า
แม้ขณะที่เราเจริญสติ ก็ไม่พึงคาดหวังเพื่อตัวตน
แต่พึงคาดหวังว่า จิตจะได้มีความสามารถ
แยกออกมารู้แยกออกมาดู
ว่าอะไรๆ มาประกอบประชุมกัน
ไม่มีตัวเราอยู่ในนี้
ไม่มีตัวใครอยู่ในนี้
ถ้าไปถึงตรงที่รู้สึกว่า
ไม่มีตัวเราอยู่ในนี้จริงๆ
จะไม่คาดหวังมรรคผลเพื่อใคร
แต่จะแค่คิดที่จะทิ้งอุปาทาน
ทิ้งการเห็นผิด
ออกจากการประชุมของธาตุขันธ์นี้
ตัวนี้แหละที่สำคัญมาก
ถ้ามีความเข้าใจอย่างแม่นยำว่า
เราไม่ได้เอามรรคผลให้ใคร
เราแค่ทิ้งอุปาทาน
ว่ามีใครอยู่ในนี้
จะไปได้ตลอดสายถึงอรหัตผลเลยนะ
ถ้ามีความแม่นยำ
มีความเข้าใจตรงนี้
ความเข้าใจสำคัญกว่าสมาธิ
แม้ตัวญาณหยั่งรู้
เห็นว่ากายใจนี้เป็นธาตุหก
ก็ไม่สำคัญเท่าความเข้าใจตั้งต้นว่า
เราจะรู้ไปเพื่อที่จะทิ้งความเห็นผิด
ว่ามีตัวใครอยู่ในนี้
ไม่ใช่เพื่อเอามรรคผลมาให้ใคร
ที่ตั้งอยู่ตรงไหน
ไม่มีใครตั้งอยู่ตรงไหน
ไม่เคยมีใครมาตั้งแต่แรก
มีแต่ความสำคัญผิด
อย่างเช่น
ที่ท่านวชิราเถรี เคยพูดเอาไว้
และคนนึกว่าเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า
แต่จริงๆ
เป็นคำพูดของภิกษุณีท่านเคยว่าไว้ว่า
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับไป
ตรงนี้
เวลาที่เราจะเริ่มเห็นขึ้นมา จะเห็นขึ้นมาก่อนว่า
ใจเราเป็นสมาธิ มีความตั้งมั่น
ใช้ความคิด
แล้วจิต ครองร่าง คือกายนี้
สักว่าเป็นวัตถุ เสมอกับวัตถุอื่นๆ
รอบด้าน
ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย
แล้วจิตที่สว่าง
จะรู้ตัวว่า แยกออกมาเป็นต่างหาก
จิตที่มีความตั้งมั่น
สว่าง
เห็นกายโดยความเป็นวัตถุเสมอกับวัตถุอื่นๆ
รอบด้าน
จะรู้สึกว่าไม่มีใครอยู่ในนี้เลย
การที่เรารู้เราเห็น
จิตแยกกับกาย
จะเห็นรายละเอียดอื่นๆ
ตามมา
มีทั้งพื้นที่ว่าง
อากาศว่างระหว่างวัตถุต่างๆ
มีทั้งธาตุลม ที่ผ่านเข้าผ่านออก
เสร็จแล้วได้ข้อสรุป
ยิ่งรู้เสถียรเท่าไหร่
ยิ่งได้ข้อสรุปชัดขึ้นเท่านั้น
ว่า ไม่มีใครอยู่ในนี้จริงๆ
ฉะนั้นถ้าหากจับพลัดจับผลู
จิตระเบิดโป้งป้างขึ้นมา
ได้มรรคได้ผลขึ้นมา
.. ก็แค่จิตดวงหนึ่ง
มรรคจิต
ก็แค่จิตดวงหนึ่ง
ผลจิต ก็แค่จิตดวงหนึ่ง
ที่พออุบัติแล้วก็หายไป
เหลืออยู่แต่ว่า ไม่มีใคร
ที่อยู่ในความสำคัญมั่นหมายแบบเดิมๆ
ตัวการทิ้งความเห็นผิด
ไม่ใช่ ได้
อะไรเข้ามาให้ตัวใคร ไม่มีตัวใครตั้งแต่แรก
ตรงนี้ทำความเข้าใจให้แม่นๆ
เสร็จแล้ว
จิตน้ำอบจะเดินไป ในแบบที่
พอเกิดความสงสัยขึ้นมาระหว่างวัน
จะกลับเข้าที่
กลับเข้าสู่จุดที่มารู้มานิ่งว่า
ความคิดที่ผ่านเข้ามา
ปรุงแต่ง เหมือนมาขยำหัวให้เกิดความยู่ยี่
เหมือนจิตเป็นแผ่นกระดาษ
มาขยำให้ยู่ยี่
เสร็จแล้วสิ่งที่ทิ้งไว้ก็คือ
จิตที่ติดข้อง จิตที่มีความพะวง
จิตที่มีความพัวพันกับความรู้สึกในตัวตน
เป็นของหลอก
พออยู่ระหว่างวัน
น้ำอบเห็นได้อย่างนี้ จิตจะแยกเลยนะ
ความสงสัยอยู่ส่วนความสงสัย
จิตอยู่ส่วนจิต ไม่เกี่ยวข้องกัน
แล้วพอความสงสัยหายไป
จะเหลือแต่จิตที่ว่างจากความสงสัย
เหลือแต่จิตที่ว่างจากความรู้สึกในตัวตน
______________
วิปัสสนานุบาล EP 94
วันที่ 15 มีนาคม
2565
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=lGrXwjsBlWU
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น