วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2565

เห็นฟ้าทั้งฟ้า คือเห็นยังไง?

 พี่ตุลย์ : ถ้าเรายิ่งรู้ชัดเหมือนกับว่า ไปยืนอยู่กลางแจ้งจริงๆ

ย้ายมิติ ย้ายตำแหน่ง

จากห้องที่เดิมเป็นกล่อง กลายเป็นไปยืนอยู่ในที่เปิดโล่ง

ก็ขอให้ทำความเข้าใจว่า คือจิตที่เปิดกว้าง คือจิตที่เปิดโล่ง

 

ถ้าหากเรามีความรู้สึกราวกับว่ากำลังเห็นฟ้าทั้งฟ้า

ก็ขอให้สังเกต ระยะสายตา ระยะโฟกัส เท่ากับตอนที่เรามองฟ้าจริงๆ

 

การที่เราเห็นฟ้าทั้งฟ้าด้วยตาเปล่า จะเป็นการโฟกัสด้วยสายตา

แต่การสัมผัสรู้สึกถึงฟ้าทั้งฟ้า ด้วยสัมผัสทางใจ จะบวกกัน

 

ตอนนี้ยังมีความสัมพันธ์กับแก้วตาอยู่

โฟกัสของสายตา จะเล็งขึ้นยอดฟ้า

ส่วนใจ สามารถแผ่ออกรับรู้ถึงระยะของยอดฟ้าได้ ทุกทิศทุกทาง

ไม่ว่าจะเป็นด้านบน ด้านหน้า ด้านข้าง ด้านหลัง

 

แล้วถ้าใจแผ่กว้างเต็ม 360 องศา

ก็จะเหมือนเราอยู่บนที่ว่าง อยู่ที่ใจกลาง อยู่ที่ศูนย์กลางจักรวาล

 

อันนี้ก็แล้วแต่คน ถ้าบางคนรู้สึกเหมือนตัวลอย

เหมือนตัวไม่มีน้ำหนัก เหมือนตัวเป็นวัตถุที่โปร่งแสง

แล้วก็ตั้งอยู่แบบ ไม่มีซ้ายขวาหน้าหลัง

เป็นจุดศูนย์กลางความว่างมหาศาล ที่ไม่มีขอบเขตจำกัด

 

ตัวนี้ก็จะเหมือนกับ .. จิตของเรา ปฏิรูปไป เป็นสิ่งที่ไร้รูป

แล้วพอกลับมารู้รูปอีกครั้ง ก็จะรู้ว่ารูปเป็นของหยาบ

เป็นของโปร่งแสง เป็นของที่ไม่มีอะไรให้จับต้อง

มีแต่ความรู้สึกว่า สักแต่เป็นภาวะ ให้รับรู้อยู่ตรงหน้า

ว่า มีรูปทรงอย่างนี้ มีรูปร่าง รูปพรรณสัณฐานแบบนี้

แต่ไม่มีตัวใครอยู่ในนี้

 

เหมือนกับเป็นรูปหลอก ที่มาวัดว่า

ใจจะเอาหรือไม่เอา จะยึดหรือไม่ยึด

 

ถ้าหากไม่ยึด จิตจะมีลักษณะแผ่ออกเป็นต่างหาก แยกออกมา

ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีความเป็นตัวใคร ไม่มีความรู้สึกในตัวเรา

ความไม่มีน้ำหนักนี่ก็คือ ไม่รู้สึกมีน้ำหนักของตัวตนนั่นแหละ

ไม่มีน้ำหนักของความรู้สึกว่า มีตัวเรา มีตัวใคร

 

ตัวที่เห็นเหมือนรูปหลอก ที่ตั้งอยู่อย่างนั้นเอง สักแต่ให้รู้

ทีนี้ใจจะเผลอไปยึดหรือเปล่า

ถ้าเผลอไปยึดจะมีอาการพุ่งออกไป

แต่ถ้าหากมีสติ ที่จะรู้ว่าสักแต่เป็นรูปหลอกอย่างนั้นเอง

ตัวนี้ จิตก็จะแผ่ขยาย แล้วก็ตั้งรู้อยู่เบื้องหลัง ไม่เคลื่อนมาข้างหน้า

 

จิตคนเคลื่อนที่มาข้างหน้าตลอดเวลา

เพราะความคิดตั้งต้นที่สมองส่วนหน้า

 

สมองส่วนหน้า จะทำหน้าที่ผลิตความคิด ผลิตความนึกคิด

ที่เป็นเรื่องเป็นราวที่ให้รับรู้ว่าเราจะโฟกัสอยู่กับอะไร

เรียกว่าเป็นสิ่งที่ล่อให้จิตพุ่งมาข้างหน้า

พุ่งมาอยู่กับการทำงานของสมองส่วนหน้า

 

แต่ถ้าหากสมองส่วนหน้าถูก deactivate

ถูกทำให้เลิกทำงานแบบคิดๆ

สมองส่วนหลังก็จะถูก activate ขึ้นมาแทน

จะมีความรู้สึกเหมือนถอยไปอยู่ข้างหลัง

 

แต่ถ้าจิตรวมดวงจริงๆ จะไม่ใช่แค่รู้สึกเหมือนถอยไปอยู่ข้างหลัง

แต่จะรู้สึกราวกับ แยกไปอยู่ข้างหลังจริงๆ เป็นต่างหากจากภาวะทางกาย

 

หรือไม่ก็ สำหรับบางคน

บางครั้งก็อาจมีความตั้งเด่นดวงอยู่ตรงกลางนั่นแหละ

อยู่ใจกลาง แล้วก็รับรู้แยกออกมาว่า ที่ซ้อนกันอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน

จิตมีลักษณะสว่าง มีลักษณะตั้งมั่น เบา

 

ส่วนกาย มีลักษณะเป็นรูปหลอก

มีลักษณะคงรูปคงร่างอยู่ มีความเป็นธาตุดินอยู่

พอไม่มีความคิด รูปเดินก็สักแต่เป็นรูปหลอกไป

เหมือนเป็นอะไรที่เบาๆ ใสๆ

 

น้ำอบ : ช่วงทำท่าไกด์มือท่าที่สอง จะมีความรู้สึกเหมือน

มีร่างหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ ถ้าใครเล่น The Sims

จะเหมือนมีตัวหนึ่งที่อยู่ใน Sims แล้วมีตัวที่อยู่ข้างบน

(หมายเหตุผู้ถอดความ : ลูกศรชี้ เวลาบังคับตัวละครในเกม)

สามารถหมุนให้มันหันซ้ายหันขวา ลอยอยู่

จะเคลื่อนไปข้างหน้า จะเคลื่อนไปข้างหลัง

โดยรอบข้าง เหมือนเป็นอากาศว่างๆ ค่ะ

 

พี่ตุลย์ : ตัวที่พี่ต้องการให้เกิดก็คือ กำลังของสมถะ

ซึ่งอันนี้ เหมาะกับน้ำอบอย่างยิ่ง เพราะถ้าจิตเราใสเบา ไร้ความคิดได้

ก็จะอยู่ในภาวะที่พร้อมรู้ ตัวที่เป็นสมถะ

 

ตัวนี้ ยิ่งเราพอกพูนทำให้มีกำลังมากขึ้นเท่าไหร่

จิตเราก็จะสามารถรับรู้ถึงความเป็นธาตุหก ได้ชัดขึ้นเท่านั้น

สัมผัสถึงความเป็นธาตุหก ได้ชัด

แล้วก็อยู่ระหว่างวันจะตามออกไปด้วย

____________

วิปัสสนานุบาล EP 94

วันที่ 15 มีนาคม 2565

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=l9KUtIbk8p4

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น