บางทีการเจริญสติก็ไม่ได้ช่วยให้เราเป็นคนตัดสินใจได้เสมอไปนะ เพราะการเจริญสติในความหมายที่แท้จริง คือ การที่เราเอาสติมารู้ความไม่เที่ยง
แล้วก็ความไม่ใช่ตัวตนของกายใจ แต่ว่าการที่เราเป็นคนตัดสินใจยาก ลังเล
โลเลนะ
มีความรู้สึกเหมือนกับเป็นพวกที่คิดมาก กลัวอนาคต กลัวความล้มเหลว
กลัวความผิดพลาด กลัวโน่นกลัวนี่ จนกระทั้งจิตใจตั้งอยู่ในที่ที่ที่มันโงนเงนง่าย
โคลงเคลงง่าย
คนที่ตัดสินใจไม่ค่อยเด็ดขาดเนี่ย
จะเห็นได้ชัดๆเลยนะ
เราจะรู้สึกว่าใจเนี่ยมันพล่านไป
มันมีความไม่ชัดเจน
มันมีความรู้สึกว่าตัวตนของเราที่แท้จริงเนี่ย
อยู่ตรงไหนก็ไม่ทราบ ใจไปอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้
เพราะมันไม่มีเป้าหมาย
จะเห็นได้ชัดๆเลยนะ
เราจะรู้สึกว่าใจเนี่ยมันพล่านไป
มันมีความไม่ชัดเจน
มันมีความรู้สึกว่าตัวตนของเราที่แท้จริงเนี่ย
อยู่ตรงไหนก็ไม่ทราบ ใจไปอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้
เพราะมันไม่มีเป้าหมาย
มันไม่มีวิธีชัดเจนที่จะบอกตัวเองว่า จะเอาอะไร ควรจะทำอะไร หรือว่ามีหลักเกณฑ์อะไรในการตัดสินใจ ซึ่งตรงนี้มันพ้นขอบเขตของการเจริญสติไป
การเจริญสติเนี่ยช่วยได้แค่ที่จุดเริ่มต้น จุดที่เรารู้ใจของตัวเองว่าเราเป็นคนโลเล
อย่างที่ผมบรรยายมาทั้งหมดเมื่อครู่นี่แหละนะ จิตใจที่มันพล่านไป
จิตใจที่มันมองไม่เห็นว่าเป้าหมายที่ชัดๆเนี่ยมันคืออะไร จะมีกระบวนการตัดสินใจ
มันจะเหมือนกับเหม่อๆ มันเหมือนกับจะฟุ้งๆ แล้วก็มีลักษณะที่ไม่เล็ง ไม่ตรง
มันจะมีความอ่อนไหวง่าย มันจะมีความรู้สึกเหมือนอ่อนแอ มีความกระปลกกระเปลี้ย
มีความเหลวไหลอยู่ข้างในจิต
ลักษณะของจิตแบบนี้
ถ้าหากว่าเราเจริญสติไปแล้วรู้ รู้ตัวว่ามีสภาพอยู่อย่างนี้ บอกตัวเองได้แค่ว่า
เราเป็นคนที่คิดมาก ตัดสินใจไม่ได้
แล้วจะมีลักษณะของจิตที่ฟุ้งซ่านและเหม่อเป็นปกติ
ทีนี้ถ้าจะทำให้ตัวเองเป็นคนที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยว
ตั้งใจอะไรแล้วมีความคม จิตจะมีความคม มีความชัดว่าจะเอาอะไร สิ่งไหนที่ควรทำ
สิ่งไหนที่ควรเลือก
มันเริ่มต้นจากการที่เราทำความเข้าใจนะครับว่า
ที่เราเลือกไม่ถูกก็เพราะว่าตามใจตัวเอง
ปล่อยใจให้มันไม่ต้องรับผิดชอบอะไรนานๆ
คนเรานะพอบอกตัดสินใจไม่ถูก
แล้วก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่เป็นภาระของคนอื่น
ให้เขาเลือกแทน ให้เขาช่วยเรา
ทำแค่ครั้งสองครั้งมันจะเคยตัว มันจะติดใจ
มันจะมีความรู้สึกว่าเนี่ย
ต้องมีใครสักคนมารับผิดชอบชีวิต หรือว่ามาคิดแทนเรา
มันจะไม่กล้าคิดเอง
พอทำความเข้าใจ เห็นภาพรวมอย่างนี้
เราก็จะเริ่มตั้งเป้าหมายได้แล้วว่า
ถ้าอยากจะเป็นคนที่ตัดสินใจเองได้
มันต้องมีสักวันหนึ่ง ขอให้เป็นวันนี้เถอะ
หลังจากฟังจบแล้วเนี่ย หลังจากเข้าใจแล้วเนี่ย
ขอให้ทดลองทำดูเถิด
เรื่องโลกๆเนี่ย
บางทีเราเคยชินไปแล้วที่จะลังเล ที่จะหวั่นไหว ที่จะโลเลง่าย เพราะฉะนั้น
ก็มาทำบุญในแบบที่จะเป็นตัวตั้งให้จิตใจมีความรู้สึกนับถือตัวเองมากขึ้น
เชื่อตัวเองมากขึ้น อยากจะเด็ดเดี่ยวมากขึ้นนะครับ
ง่ายๆเลย
แค่ตั้งใจทำอะไรดีๆที่มันทำได้เดี๋ยวนี้เลย และทำได้สำเร็จชัวร์ๆด้วย
ยกตัวอย่างเช่น บอกว่าเดี๋ยวฟังดังตฤณวิสัชนาจบ ฟังให้จบก่อนนะ
อย่าเพิ่งลุกไปกลางรายการนะ
หลังจากฟังจบเราจะเข้าห้องพระ
แล้วสวดมนต์
สวดอิติปิโสธรรมดานี่แหละ
บทสวดอิติปิโสเนี่ยศักด์สิทธิ์ที่สุด
เป็นพุทธพจน์ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เอง
แล้วก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกถึงพลังของความเป็นพุทธที่แท้จริง
มันจะมีอาการใจเปิดออกมา แล้วก็มีความสามารถที่จะยอมรับความจริงอะไรได้ง่ายๆ
ทีนี้ที่จะสวดมนต์เนี่ย
ก่อนจะเข้าห้องพระ เราไม่ได้ตั้งใจว่าจะแค่สวดมนต์ เราตั้งใจอย่างนี้ เราตั้งใจว่าจะทำอะไรให้ได้แล้วทำได้สำเร็จ
ถ้าทำได้สำเร็จเนี่ย เขาเรียกว่าเกิดอธิษฐานบารมี
ก่อนเข้าห้องพระเราตั้งใจว่า
นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะปรับจิตเปลี่ยนใจตัวเอง
จากสภาพที่มันคิดมาก
คิดอะไรเหลวไหล มองเป้าไม่เห็นชัด
ให้กลายเป็นจิตที่สามารถเลือกได้
สามารถที่จะมีความมั่นคงอยู่กับตัวเลือก
แล้วก็สามารถที่จะทำให้ตัวเอง
กลายเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพา
ไม่ต้องแคร์กับตัวเลือกของคนอื่น
คนเราเนี่ยชอบแคร์ตัวเลือกของคนอื่น
บางทีมันกลายเป็นเลือกของตัวเองไม่ได้!
พออธิษฐานอย่างนั้นเสร็จ
เราก็เข้าห้องพระ
บอกว่าเราตั้งใจจะสวดอิติปิโสให้ได้ ๓
จบ
ถ้าเราสวดได้ ๓
จบตามความตั้งใจนี้ ขอให้เป็นจุดเริ่มต้น เป็นนิมิตหมายที่ดี
ที่เราจะทำอะไรสำเร็จตามที่คิด แล้วตัดสินใจว่าจะสวด ๓ จบแล้วเนี่ย
ถ้าทำได้จริงตามที่ตั้งใจ ก็ขอให้มีความสามารถที่จะตัดสินใจเลือกอะไรได้แบบนี้
แล้วก็ทำสำเร็จแบบนี้
คือตัวที่ตั้งใจทำอะไรแล้วทำสำเร็จเนี่ยสำคัญมากนะครับ
มันจะแปรรูปเป็นพลังความเชื่อมั่น
พลังความรู้สึกว่าเราทำได้จริงๆตามความตั้งใจ
เราสามารถรับผิดชอบกับการตัดสินใจนั้นโดยไม่กลัวความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น
ไม่กลัวเหนื่อย
และการที่เราเริ่มต้นเอากับบุญกุศล
สิ่งที่เป็นบุญ สิ่งที่เป็นกุศล
อย่างเช่นการสวดมนต์เนี่ยนะ
มันจะทำให้เกิดความรู้สึกสว่าง
ความสว่าง
ความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นเนี่ย
มันจะมีแรงหนุน!
คือเนี่ยเดี๋ยวทดลองทำ
ตั้งใจสวดอิติปิโสให้ได้ ๓ จบ ถ้าสวดเสร็จขอให้ตรงนี้เนี่ยกลายเป็นพลัง
ความสว่างหนุนใจให้เกิดความเชื่อมั่นที่จะตัดสินใจเอง
แล้วทำตามความตั้งใจที่ตัดสินแล้วนั้นให้สำเร็จลุล่วง
โดยไม่กลัวที่จะไปรับผิดชอบกับการตัดสินใจเลือก จะผิดหรือจะถูกเนี่ย
เมื่อเราตัดสินใจเองแล้ว ก็เราเนี่ยแหละจะรับผิดชอบต่อไป
ฟังใหม่ดีๆนะครับ
เพื่อที่จะให้วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะเป็นคนไม่คิดมาก ไม่สับสน ลังเล
ตัดสินใจอะไรเลือกได้เด็ดขาด เราตั้งใจว่าเดี๋ยวจะสวดมนต์
เพื่ออธิษฐานว่าเนี่ยเราตัดสินใจสวดมนต์สามจบเราจะทำให้ได้
ปกติคนเนี่ยสวดบทเดียวก็ขี้เกียจแล้ว นี่เราจะสวดให้ได้สามจบ
และถ้าเราทำได้ก็ขอให้นี่เป็นการเสริมพลัง สร้างพลัง ก่อพลังขึ้นมาในตัวเรา
ที่ต่อไปจะตัดสินใจทำอะไร จะยากจะง่ายก็ตาม
เราจะเชื่อมั่นว่าเราทำได้แบบเดียวกันนี้
แล้วคือไม่ว่ามันจะมีตัวเลือกอื่นมาทำให้ลังเลอย่างไร
เราก็จะไม่ลังเล เพราะเหมือนกับอย่างนี้ เอาง่ายๆแค่ว่าเราตั้งใจจะสวดมนต์ให้ได้
แล้วเราทำได้ เราไม่ลังเล ไม่ลังเลให้กับความขี้เกียจ หรือมีเรื่องแทรกอะไรเข้ามา
เราจะไม่สนใจ เราจะทำตามความตั้งใจนี้ให้สำเร็จเสร็จก่อน
มันก็จะเริ่มมีความเชื่อมั่นในตัวเองว่าเราทำในสิ่งที่ตัวเองเลือกได้แล้ว
แล้วต่อไป
ขั้นต่อไป ที่จะให้เราเลิกเป็นคนโลเล ก็คือเราเขยิบขึ้นไปเรื่อยๆ
ตื่นเช้าขึ้นมาเราตั้งใจ เช้านี้เราจะลุกขึ้นมาทำกับข้าวใส่บาตรเอง
คืออันนี้ผมแค่ยกตัวอย่าง ไม่ได้บังคับว่าจะทำแบบนี้นะ หรืออาจตั้งใจเดินไปวัด
ปกติขี้เกียจเดินไป ลองไปซื้อข้าวที่ตลาดไปถวายพระถึงที่
ตั้งใจทำอะไรที่เป็นบุญเป็นกุศลแล้วเนี่ย ทำให้สำเร็จ เขยิบขึ้นไปอีกเรื่อยๆ
พอทำทานได้
ก็ลองรักษาศีล รักษาทีละข้อ เอาข้อที่ชัวร์ว่าทำได้ แล้วมันจะมีอาถรรพณ์ทางธรรมชาตินะ
ถ้าเราตั้งใจที่จะรักษาศีลข้อไหน
มักจะมีอะไรที่มากระตุ้นมายั่วยุให้ผิดศีลข้อนั้นอย่างรวดเร็วเลย
เราตั้งใจว่าถ้าสามารถที่รักษาศีลข้อหนึ่งได้ เราจะเขยิบขึ้นไปอีกข้อหนึ่ง
มันจะมีธรรมชาตินะ จะมองว่าแกล้งก็ได้ หรือมองว่าส่งแบบฝึกหัดมาให้ทำก็ได้
ถ้าเราตั้งใจบอกว่า วันนี้จะไม่โกหกแม้แต่คำเดียว เดี๋ยวมันจะมีเลย
เรื่องเข้ามายั่วให้ต้องโกหก หรือรู้สึกว่ามันจำเป็น มันไม่โกหกไม่ได้
อะไรแบบนี้นะ
ถ้าเราตั้งใจไว้อย่างเด็ดเดี่ยวว่า
เดี๋ยวเราจะผ่านมันไปให้ได้ แล้วพอมีแบบฝึกหัดมาแล้วเราผ่านได้จริงๆ
เราก็เขยิบขึ้นไปรักษาศีลข้ออื่นๆ พอรักษาได้ครบทุกข้อ
แม้กระทั่งว่าเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เป็น ๑ วัน หรือ ๑ สัปดาห์ หรือ ๑ เดือน
เราจะถือศีลให้ได้สะอาดเอี่ยมเลย ครบทุกข้อเลย แต่ไล่ไปทีละข้อนะ
คุณจะเกิดความรู้สึกเชื่อมั่นในตัวเองแบบที่มีบุญสนับสนุนหรือว่าหนุนหลังอยู่
จิตใจมันจะต่างไปเป็นคนละคนเลยนะ
มันจะรู้สึกว่าตัวเองเนี่ยมีความเฉียบคม มีความเฉียบขาด สติที่จะรับรู้อะไรเนี่ย
ที่จะตัดสินใจอะไร มันมีความแน่นอน มันมีความมั่นคงขึ้น
จากนั้นเวลาที่ต้องตัดสินใจเลือกอะไรที่ทำให้ยุ่งยากใจ
ปกติถ้าเป็นของเดิมมีสองเรื่องมาให้เลือกปุ๊บ จิตใจพร่าเลือนทันที
กระสับกระส่ายหวั่นไหวทันที รวมตัวกันไม่ติดทันที มันจะเปลี่ยนไป
มันจะกลายเป็นว่าคุณมีความเป็นตัวของตัวเองอยู่ แล้วก็ไม่คิดมาก
แต่คิดเฉพาะที่ต้องคิดว่า อะไรดีกว่ากัน อะไรมีน้ำหนักมากกว่ากัน แล้วก็ไม่กลัวที่จะเลือก ไม่รักพี่เสียดายน้อง
มันจะเกิดความรู้สึกขึ้นมา อ่ะ ถ้าเลือกผิดเดี๋ยวเราจะรับผิดชอบ
มันมีความเข้มแข็งพอ มันสตรองพอที่จะรู้สึกว่า
เราสามารถรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองจะเลือกได้
นี่แหละตัวนี้แหละ คือตัวที่ทำให้เราเลิกกลายเป็นคนสับสน
โลเล แล้วก็สามารถเลือกอะไรได้แบบที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองว่าเลือกแล้วเราเอาอยู่นะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น