แม้วันนี้ชื่อของ
ดังตฤณ จะเป็นที่ยอมรับในฐานะนักเขียนแนวธรรมะ แต่กว่าที่เขาจะมีความเข้าใจลึกซึ้งกว้างขวางในข้อธรรมอย่างที่เป็นย่อมต้องอาศัยประสบการณ์และการบ่มเพาะ
ผ่านการศึกษาเรียนรู้และปฏิบัติ
เดิมทีช่วงอายุ 16-17 ผมก็เป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดาๆไม่ได้แตกต่างจากเด็กคนอื่น
แต่ที่แตกต่างคือความคิดข้างใน ผมมีความรู้สึกว่าถ้าในอนาคตข้างหน้าเราไม่ชอบทำอะไรเลยสักอย่างเดียว
ถ้าดูไปแล้วไม่เห็นมันจะมีอะไรที่น่าจับต้องน่าศึกษา เราจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร
พอโตขึ้น 1 หรือ 2
ปีต่อมา ก็เกิดความสนใจว่าคำว่า “วิปัสสนา” เคยได้ยินบ่อยแต่วิปัสสนาคืออะไรไม่รู้ ก็ไปซื้อหนังสือเล่มเล็กๆของท่านอาจารย์ธรรมรักษามาอ่าน
ทำให้เข้าใจแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับพุทธศาสนาว่าถ้าจะปฏิบัติธรรม
ถ้าจะเอาคำตอบชีวิตขั้นสูงสุดจะเอาจากคำว่าวิปัสสนาได้อย่างไร
จากประกายที่ถูกจุดขึ้นตรงนั้น
ดังตฤณ สานต่อความสนใจเมื่อเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย
ผมได้ความรู้จริงๆว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไรก็จากพระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชนของอาจารย์สุชีพ
ปุญญานุภาพ ตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเรียกว่าเข้าห้องสมุดตลอด และเล่มนี้ก็ไม่มีใครแย่ง
คนอื่นเขาเห็นเป็นยาขมแต่สำหรับเราเป็นขนม ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้ศึกษาเพิ่มเติมเรื่อยมา
ทั้งจากหนังสือ เช่น พุทธธรรม ของท่านเจ้าคุณประยุทธ์ ปยุตโต, พระไตรปิฎกฉบับที่รวบรวมโดยอาจารย์ธรรมรักษา
และจากอินเตอร์เน็ต
กระนั้นก็ตามสำหรับการศึกษาพระพุทธศาสนา
การเดินตามรอยบาทพระศาสดาสู่การหลุดพ้นย่อมไม่สามารถลุถึงได้ด้วยการนึกรู้ด้วยการศึกษาปริยัติเพียงอย่างเดียว
เมื่อครั้งที่เริ่มปฏิบัติเขาบอกว่าตัวเองโชคดีที่ได้อ่านพบเรื่อง สติปัฏฐาน 4 ก่อนอื่น
เพราะแม้ภายหลังจะสับสนกับแนวทางปฏิบัติที่หลากหลายแต่สุดท้ายแล้วการปฏิบัติอยู่ในขอบเขตของกายและใจนี้คือแนวทางที่พระพุทธองค์ได้ทรงประทานไว้
ตอนลงมือจริงๆช่วงนั้นถือว่าค่อนข้างสะเปะสะปะ
เพราะเราเริ่มต้นจากการฟังคนนั้นทีคนนี้ที ทีนี้งง ถึงจุดหนึ่งเลยตัดสินใจว่าจะไม่เชื่อใครแล้ว
ขอลองย้อนกลับไปอ่านที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดๆซิ ซึ่งก็คือสติปัฏฐาน 4
พระองค์ตรัสไว้เป็นขั้นเป็นตอนชัดเจน สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า โอเค
เราจะไม่หนีไปจากลมหายใจ และกำหนดลมหายใจไม่ใช่เพื่อเอาความสงบอย่างเดียว
แต่เอาความ รู้ รู้ว่าลมเข้าลมออก เดี๋ยวมันก็ยาว เดี๋ยวมันก็สั้น กำหนดไปเรื่อยๆรู้ได้เท่าที่จะรู้
ถึงที่สุดแล้วจึงอาจกล่าวได้ว่าแก่นสารภายในหนังสือแต่ละเล่มของดังตฤณ
เป็นผลสืบเนื่องจากประสบการณ์จริงในการลงมือปฏิบัติบวกรวมกับความรู้ความเข้าใจที่ได้จากการศึกษาค้นคว้านานปี
และไม่ว่าหนังสือเล่มนั้นๆจะติดขมหรืออมหวานเพียงใด ดังตฤณ ในฐานะนักเขียนมีความคาดหวังคือต้องการให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักกับพระพุทธเจ้า
มิใช่เห็นพระพุทธรูปแล้วกราบไหว้โดยไม่รู้เลยว่าตรัสอะไรไว้บ้าง
ผมได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่าคนไม่ว่ายุคไหน
สมัยไหน หรือชาติไหน ถ้ารู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไรไว้สนใจกันทั้งนั้น
แต่ที่คนไม่สนใจ หรือว่าเกือบจะทิ้งพุทธศาสนากันแล้ว ทั้งๆที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ
ก็เพราะเขาไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไร
ผมแค่ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมคนที่อยู่ยุคเดียวกันและมีความคิดตีตัวออกห่าง
เริ่มดูถูกศาสนา ตรงนี้แหละที่ผมเข้ามาทำหน้าที่ ผมมาสานต่อในยุคของเรา
________________
บทสัมภาษณ์คุณดังตฤณทั้งหมด :
รู้จักดังตฤณ
อ่านบทสัมภาษณ์คุณดังตฤณ "ชีวิตนี้ไม่มีฟลุ้ค" >> คลิกที่นี่
อ่านบทสัมภาษณ์คุณพ่อวิโรจน์ ไมตรีเวช (คุณพ่อคุณดังตฤณ) >> คลิกที่นี่
อ่านบทสัมภาษณ์คุณดังตฤณ (หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ) (บทความนี้)
ประวัติคุณดังตฤณจากกระทู้ในเว็บลานธรรม
กิเลนประลองเชิง เขียนถึงคุณดังตฤณ (ไทยรัฐ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น