วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

พี่ฉอดสัมภาษณ์คุณดังตฤณ (ช่วงที่ ๔)

<< อ่านบทสัมภาษณ์ก่อนหน้า

เสียงก่อนเข้าบทสัมภาษณ์ : ท่าน ว.วชิรเมธี:
"เจริญพร อาตมาภาพ วุฒิชัย วชิรเมธี หรือที่รู้จักกันผ่านนามปากกาโดยมากว่า ท่าน ว.วชิรเมธี เกี่ยวกับกระแสที่คนไทยในปัจจุบันหันมาสนใจธรรมะมากขึ้น จนอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นเทรนด์ของยุคสมัยได้เลยทีเดียว ในทัศนะของอาตมาภาพคิดว่า คนส่วนใหญ่ ซึ่งไม่เฉพาะคนไทย แต่อาจจะหมายถึงคนทั้งโลกเลยก็ว่าได้ กำลังเต็มไปด้วยปัญหา เมื่อความทุกข์ทั้งหลายมากเข้าๆก็สะท้อนออกมาเป็นความต้องการแสวงหาทางออก ซึ่งในบรรดาที่มีอยู่นั้น ทางออกอื่นๆเนี่ยถูกใช้ไปเกือบหมดแล้วตอนนี้ก็เหลือทางด้านจิตใจ คือเรื่องศาสนา

จากการที่ในยุคโลกาภิวัฒน์ คนส่วนใหญ่มีความพรั่งพร้อมสมบูรณ์ทางวัตถุมากขึ้น มีบ้าน มีที่ดิน มีรถ มีทุกสิ่งทุกอย่างพรั่งพร้อม แต่จะสังเกตเห็นว่าการมีวัตถุมากขึ้น ไม่ได้ทำให้ความทุกข์ลดน้อยลง ค้นพบว่า ความพรั่งพร้อมทางวัตถุ ไม่ได้ทำให้จิตใจได้รับการเติมเต็ม มนุษย์ก็จึงกลับมาสนใจโลกของจิตใจ ซึ่งก็คือโลกของพระพุทธศาสนานั่นเอง

ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านเคยบอกว่า เมื่อสังคมมีปัญหา นั่นคือโอกาสที่ธรรมะจะได้แสดงตัว ทุกวันนี้สังคมเรามีปัญหามากมาย เราให้ธรรมะเข้ามาแก้ไข ขอเจริญพร"

เสียงก่อนเข้าบทสัมภาษณ์ : คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย:
"สวัสดีครับ ผม ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ครับ จากสำนักพิมพ์ดีเอ็มจีนะครับ ก็มีโอกาสได้ร่วมงานพิมพ์หนังสือดีๆกับคุณดังตฤณนะครับ ผลงานที่ได้รับความนิยมสูงมากก็คือ เสียดาย...คนตายไม่ได้อ่าน ซึ่งในส่วนสำนักพิมพ์เอง เราก็คาดไม่ถึงครับกับกระแสการตอบรับหนังสือธรรมะดีๆจากผู้อ่านทั่วประเทศไทย แล้วผมเองก็ค่อนข้างโชคดีที่ได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศค่อนข้างบ่อย ได้เห็นถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงนะครับ เราอาจจะบอกว่า โลกกำลังหมุนกลับก็เป็นไปได้นะครับ คนเริ่มสนใจเรื่องของศาสนามากขึ้น เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนแปลงนี้ก็คือ เป็นคำสอนที่สำคัญข้อหนึ่งของพระพุทธศาสนา สาเหตุที่ทำให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจธรรมะกันมากขึ้น ก็เพราะว่าตอนนี้รูปแบบการนำเสนอเรื่องราวของธรรมะในปัจจุบัน เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า วิธีการนำเสนอเรื่องราวธรรมะต่างๆเนี่ย ผ่านกระบวนการ ผ่านวิธีการ หรือว่าผ่านอุบายวิธีที่เรียบง่าย เข้าใจได้ง่าย แล้วก็ค่อนข้างที่จะโดนใจกลุ่มวัยรุ่นด้วย

ทุกศาสนาเนี่ยดีทั้งนั้นเลยนะครับ แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่น จุดแตกต่างของศาสนาพุทธนี้ก็คือ 'ท้าให้พิสูจน์' นะครับ เป็นศาสนาเดียวที่องค์พระศาสดาบอกว่า ท่านจงลองมาดูเถิด ลองมาพิสูจน์เอาเองนะครับว่า สิ่งที่ท่านได้สอนเอาไว้ เป็นไปอย่างนั้นจริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้น อยากให้หลายๆคนลองมาพิสูจน์นะครับ ลองมาลิ้มรสแห่งพระธรรมว่า เมื่อเราได้สัมผัสแล้ว เราจะรู้ถึงความประณีตที่อธิบายไม่ได้ ขอบคุณมากครับ"

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

พี่ฉอด : ค่ะ ก็ต้องขอบคุณคุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย และท่าน ว.วชิรเมธี ด้วย สำหรับคุณตุลย์ล่ะคะ คิดว่ากระแสธรรมะในสังคมปัจจุบันเราเป็นอย่างไรบ้าง?

ดังตฤณ : อันนี้พูดโดยรวมนะครับคือยังไม่ได้พูดถึงสังคมที่เข้าใจธรรมะแล้ว หรือว่ารับรู้ธรรมะแล้วนะครับ ผมอยากจะบอกว่าแย่นะฮะ คือ... คนไม่มีธรรมะในจิตใจกัน แนวโน้มพฤติกรรมแย่ๆเนี่ย นับวันแรงขึ้น กว้างขึ้น แล้วก็ถี่ขึ้น คนมักง่ายกันมากขึ้น ทำอะไรเพื่อตัวเองกันมากขึ้น แล้วก็ด่วนตัดสินใจอะไรปุบปับกันเร็วขึ้น

อย่างเรื่องฆ่าตัวตายเนี่ย มันมีทุกระดับชั้น ไม่ใช่เฉพาะคนที่มีการศึกษาต่ำ แต่ตรงกันข้าม คนการศึกษาน้อยเนี่ย บางทีเขาจะคิดดิ้นรนด้วยซ้ำ แต่ว่าในขณะที่คนมีพร้อมทุกอย่างแล้ว บางทีปุบปับอยากไป ไปเลย อันนี้ก็อธิบายได้ว่า คลื่นอกุศลเนี่ยเข้าครอบงำสังคมส่วนใหญ่ จนนึกว่าบาปมันเป็นของธรรมดา ใครๆเขาก็ทำกัน แล้วก็พากันทำแบบไม่ต้องยับยั้งชั่งใจ แล้วก็เรียกว่า ถ้าเรามองว่า ตรงนั้นสังคมป่วย แล้วต้องการธรรมะเป็นยารักษา ก็คงจะบอกได้ว่า ทุกสมัย ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน ก็ต้องการยาขนานเดียวกันหมด คือความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า อะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป ซึ่งเมื่อเบรคที่แล้วเราก็พูดกันไปแล้ว นะครับ

คือไม่ใช่เชื่อว่าเป็นบุญเป็นบาปเพียงเพราะใครๆเขาบอกกันว่าอย่างนั้น แต่เข้าใจเข้ามาที่จิตใจของเราจริงๆว่า บุญมันทำให้สว่าง มันทำให้อบอุ่น มันทำให้มีความสุข เดี๋ยวนี้เลย บาปทำให้เดือดร้อน ทำให้มืด ทำให้รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง เดี๋ยวนี้เลย แล้วมันก็มีผลสืบเนื่องเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อไปด้วย

ตรงนี้ ถ้าหากว่าเราพากันศึกษาวิชารู้ตามจริงของพระพุทธเจ้ากันมากๆนะครับ จะทราบเองเลยว่า เจตนากระทำการขณะที่จิตเจือด้วยกิเลสเนี่ย ล้วนเป็นบาป แล้วก็ทำให้จิตมันมืดมน หรือหมองมัวลง แต่เจตนากระทำการใดๆก็แล้วแต่ ในขณะที่จิตปราศจากกิเลสเนี่ย อันนั้นล้วนเป็นบุญ มันทำให้จิตสว่างใส หรือเบิกบาน

หลักการง่ายๆแค่เนี้ยนะครับ เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนทุกยุคทุกสมัย ละบาปด้วยความเข้าใจ แล้วก็สั่งสมบุญด้วยปัญญา อย่าไปคิดว่ามียุคนั้นยุคนี้หรือว่า... อย่างเราพูดกันเนี่ย คือผมก็เห็นด้วยนะ ที่ว่าบางทีมันมีความเปลี่ยนแปลงในมวลรวมน่ะนะครัว่า มีการหักเห มีการหันมาสนใจด้านสว่างกันมากขึ้น

แต่ทีนี้ ถ้าพูดถึงความเข้าใจเนี่ย บางทีเราต้องดูด้วยว่ากระแสมันไปทางไหน อย่างเมื่อกี้คุณดนัยพูดเนี่ย ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยนะ เห็นด้วยนะครับ แต่ว่าในภาพรวมที่ปรากฎเป็นข่าวให้รับรู้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเนี่ย กระแสอธรรมยังแรงอยู่

พี่ฉอด : มันอาจจะเป็นอันหนึ่งด้วย เพราะว่าภาพรวมอย่างที่ว่า หรือกระแสอธรรมอย่างที่ว่าเนี่ย มันถูกถ่ายทอดออกมาให้เราได้รู้ได้เห็นกัน... เยอะ

ดังตฤณ : ง่ายครับ ง่ายกว่า

พี่ฉอด : เพราะว่าอย่างถ้าที่เจอกับตัวเองนะคะ ช่วงหลังๆ บางทีสมมติวันเสาร์ วันอาทิตย์ วันหยุดอะไรอย่างเงี้ยะ ก็มีโอกาสได้ผ่านไปแถววัด ก็จะรู้สึกแปลกใจอันหนึ่งว่า คนเดี๋ยวนี้เข้าวัดกันเยอะมาก วันเสาร์อาทิตย์นี่แบบ..คนเต็มวัดเลยนะคะ เคยไปทีหนึ่งแล้วตกใจ แล้วเป็นคนหนุ่มคนสาว แล้วยังมาทักทายสวัสดีพี่ฉอด เออ ได้พูดคุยกันอะไรอย่างเงี้ยะ ก็เลยรู้สึกว่า เออ จริงๆแล้ว สิ่งนี้ก็มีอยู่ เพียงแต่ว่ามันอาจจะไม่ได้ลงหนังสือพิมพ์ เหมือนอย่างเวลาที่เราทำอะไรไม่ดี

ดังตฤณ : ใช่.. ใช่... คือถ้าหากเรามอง เนี่ย อย่างพี่ฉอดมองด้วย... มีมาตรวัดอะไรบางอย่าง เปรียบเทียบบางอย่างเนี่ย เราจะรู้สึกว่าอะไรดีๆมันเป็นนิมิตหมายที่เข้าหูเข้าตา แล้วเกิดกำลังใจ หรือว่าเกิดแรงบันดาลใจที่จะทำอะไรดีๆยิ่งๆขึ้นไป

อย่างรายการของพี่ฉอดเนี่ย พูดถึง มันก็แสดง สะท้อนถึงคนกลุ่มหนึ่งที่มีเจตนาดี จะทำให้สังคมมันน่าอยู่ ไม่ใช่ว่า เออ กระแสสังคมเขาเรียกร้องจะเอาอะไรที่มันมันท่าเดียว หรือว่าจะเอาอะไรที่มันเร้าใจท่าเดียวเนี่ย เราก็ไปทำตาม ไปสนองความต้องการของเขา ไม่ใช่ คือบางที เรานำเสนออะไรที่ช่วงแรกๆอาจจะยังค้านกับกระแสอยู่ แต่พอทำๆไปแล้วเนี่ย มันได้เห็นว่า ก็มีคนที่เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เข้ามาจอยน์มากขึ้น

แล้วตรงนั้นเนี่ย มันเป็นทำนองเดียวกัน ถ้าหากว่าสื่ออื่นๆช่วยกันคนละไม้คนละมือเนี่ย เอาเรื่องดีๆมานำเสมอ อย่าไปคิดว่าคนเค้าไม่ซื้อ อย่าไปคิดว่าคนเขาไม่ต้องการ เขาต้องการ แต่ว่ายังไม่มีใครนำเสนอแบบในลักษณะที่เป็นแบบมวลรวม พูดง่ายๆ... กระจัดกระจาย อย่างกลุ่มของพี่ฉอดก็ทำอยู่ กลุ่มโน้นก็ทำ แต่มันแบบ เหมือนกับว่าคนส่วนใหญ่เขาไม่รู้ว่ามีตรงนี้น่ะ เขารู้จากหน้าหนังสือพิมพ์ว่ามันมีสถานบันเทิง มันมีรูปโป๊ มันมีการฆ่าฟันกัน มันมีอะไรต่อมิอะไร นั่นเป็นสิ่งที่เข้าหูเข้าตาทุกวัน

แต่ทีนี้ ถ้าช่วยๆกันเนี่ย คือ ไม่ใช่ว่าจะไปลดข่าวอาชญากรรม หรือว่าลดข่าวอะไรที่มันสะใจสังคมเขาไปทั้งหมดนะครับ แต่ค่อยๆสอด ค่อยๆแทรก ค่อยๆแซงมันขึ้นมาเนี่ย ถ้าทำพร้อมๆกันนะ อะไรมันจะเกิดขึ้น มันก็คือ มีกระแสที่เปลี่ยนไป

เพราะทุกวันนี้เนี่ย กระแสของโลกตกอยู่ในมือของสื่อ แล้วสื่ออะไรที่ทรงอิทธิพลที่สุด ก็คือโทรทัศน์ วิทยุ แล้วก็หนังสือพิมพ์ ถ้าหากว่าร่วมมือร่วมใจกันได้... แบบของพี่ฉอดเนี่ยนะ อื้ม ตรงนั้นน่ะครับ โลกก็จะกลายเป็นสวรรค์ แต่ทีนี้ มันเป็นสวรรค์ที่มาช้า บางคนก็เลยไม่อยากจะลงทุทน อยากจะเอานรกที่ทันใจมากกว่า นี่ที่ใช้คำว่านรก ไม่ได้หมายความว่าชั่วช้านะครับ แต่หมายความว่า... คือมันเป็นอีกด้านหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับสวรรค์น่ะนะครับ

พี่ฉอด : ทีนี้ ถ้าเรามองภาพกันว่า อย่างการที่คุณตุลย์เขียนหนังสือเสียดาย...คนตายไม่ได้อ่าน แล้วก็มีคนได้อ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วก็ได้รับรู้รับทราบอะไรต่างๆ มันก็เป็นอีกส่วนหนึ่งน่ะค่ะ ที่จะช่วยทำให้สังคมมันมีโอกาส ในการที่จะเปลี่ยนแปลงกลับไปอย่างที่เมื่อสักครู่พูดกันหรือเปล่าคะ?

ดังตฤณ : ครับ เอาว่ากันเรื่องจริงไม่มีอิงนิยายเลยนะครับ ที่ผมเห็นมากับตาเนี่ยนะครับ หลายคนที่หันมาศรัทธากรรมวิบากเนี่ย ก็จะรูปร่างหน้าตาดีขึ้น ผิวพรรณผ่องใสขึ้น การงานดีขึ้น

ตรงนั้น มีผลอย่างไร คือเป็นแรงจูงใจให้คนรอบตัวเนี่ย ได้ดีขึ้นได้ด้วย เพราะว่า ถ้าหากว่ามันไม่มีตัวอย่าง ไม่มีแรงบันดาลใจสังคมโดยทั่วไปก็จะรู้สึกว่าความดีไม่มีแล้ว

แต่ถ้าขอแค่คนคนเดียวนะครับ ไม่ว่าจะอ่านหนังสือผม หรืออ่านหนังสือใครคนใดก็แล้วแต่ แล้วเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไร แล้วเข้าใจว่าทำอย่างไรถึงจะได้เป็นประโยชน์สูงสุด ที่สามารถทำ พึงมีพึงได้ในปัจจุบัน แล้วมันได้ดีขึ้นมา จะออกแบบว่า... ที่เห็นง่ายๆอย่างเช่น รูปร่างหน้าตา หรือว่าอารมณ์ผ่องใส หรืออะไรก็แล้วแต่ ขอให้เป็นแรงบันดาลใจ คนรอบตัวก็จะดีตาม พร้อมจะดีตาม เพราะว่าคนทั่วไปอยากจะได้ดีกันอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่มีตัวอย่าง ไม่มีแรงบันดาลใจ

ผมก็อยากจะพูดว่า โดยรวมเนี่ยนะครับ ถ้าหากได้คนสักหนึ่งคน ที่อ่านหนังสือแล้วเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า มีประโยชน์เข้ากับตัวเอง คือทำให้อะไรๆในชีวิตดีขึ้น ก็จะชักจูงคนได้เป็นสิบเลย จากภาพอย่างเดียวนะครับ ที่เขาดูดีขึ้น หน้าตาผ่องใสขึ้น การงานดีขึ้น อารมณ์ดีขึ้น นะครับ

พี่ฉอด : แล้วเห็นบอกว่าตอนนี้เนี่ย มีการตั้งสังคมธรรมะกันขึ้นในเว็บไซต์ แล้วหนังสือทุกเล่มของคุณตุลย์ ก็จะมีการเผยแพร่ให้อ่านในอินเตอร์เน็ตโดยไม่ต้องซื้อด้วย

ดังตฤณ : ใช่ครับ ก็เข้าไปได้เลยนะครับที่ dungtrin.com นะครับ

พี่ฉอด : นอกจากเสียดาย...คนตายไม่ได้อ่านแล้ว คุณตุลย์ยังมีหนังสืออีกหลายๆเล่ม ที่เขียนเรื่องราวของธรรมะไว้ในรูปแบบต่างๆกัน อย่างบางเล่มเนี่ยอ่านแล้วเป็นนิยายเลย

ดังตฤณ : ใช่ครับ

พี่ฉอด : แต่ในขณะดียวกัน ก็จะนำเอาหลักการอะไรต่างๆเนี่ย มาแทรกเอาไว้ มาสอนไว้เป็นนิยาย

ดังตฤณ : ใช่ครับ คือจริงๆแล้ว ผมมีจุดประสงค์จุดเดียว คือ อยากให้คนยุคเดียวกันได้หันกลับมาฟังว่าพระพุทธเจ้าพูดอะไร เพราะฉะนั้น ผมจะไม่จำกัดรูปแบบ อะไรก็ได้ ขอให้คนได้เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไรไว้บ้าง ก็จะมีเรื่องของนิยาย แล้วก็มีเรื่องของวิชาการผสมๆกันครับ

พี่ฉอด : อย่างพวก กรรมพยากรณ์ อย่างอะไรอย่างนี้ นี่คือเป็นทางนิยายเลย

ดังตฤณ : ใช่ครับ คือกรรมพยากรณ์เนี่ย เป็นนวนิยายแท้ๆเลย แล้วก็จัดว่าเป็นขนมที่กินง่ายที่สุด คือเป็นนิยายที่แต่งขึ้นเอาสนุกล่อใจน่ะนะครับ เอาความสนุกล่อใจ อ่านไปหัวเราะไป ช่วงบทแรกๆเนี่ยก็จะไม่มีใครรู้สึกน่ะว่าเป็นหนังสือธรรมมะ หรือว่าน่าจะลิงก์กับธรรมะได้ คืออาจจะหัวเราะไป ร้องไห้น้ำตาซึมได้เหมือนนิยายปกติ

กรรมพยากรณ์นี่ก็จะมีหลายภาค และก็เป็นเอกเทศจากกันนะครับ ตอนนี้ออกมา ๒ ภาค ภาค ๑ ชื่อว่า 'ชนะกรรม' อันนี้ก็ตั้งใจจะสื่อว่า วิบากเก่ามีมาอย่างไรก็ช่างนะครับ หาทางเอาชนะกันด้วยกรรมใหม่ก็แล้วกัน ส่วนภาค ๒ นี่ชื่อ 'เลือกเกิดใหม่' อันนี้ก็ตั้งใจจะสื่อว่า ทุกคนกำลังจะเลือกเกิดใหม่ด้วยกรรมที่กำลังทำๆกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี่แหละ จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม คือทั้งหมดเนี่ยมันจะเป็นทิศทางที่จะพาเราไปเกิดใหม่

พี่ฉอด : นี่หมายความว่า เรากำลังพูดกันอยู่ว่า ไม่ว่าเราจะเคยทำวิบากกรรมมาอย่างไรแต่ชาติปางไหนก็ตามเนี่ย เราสามารถจะแก้ไขทุกอย่างได้ในวันนี้ เวลานี้ของเรา สามารถที่จะสร้างสิ่งที่ดีๆให้เกิดขึ้นได้

ดังตฤณ : อันนี้ ถ้าสมมติว่าเราพูดถึง ภูมิมนุษย์อย่างเดียว ภพมนุษย์อย่างเดียว จะไม่เห็นภาพชัด แต่ถ้าผมพูดก่อน ...อันนี้พูดสั้นๆว่า อย่างถ้าเป็นเทวดาเนี่ย เขามีหน้าที่เสวยบุญ คือสนุกร่าเริงกันอย่างเดียว หรือสัตว์นรกเนี่ย เขามีหน้าที่เสวยบาป มันไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น มันไม่มีขั้นตอนของการเรียนรู้ มันไม่มีขั้นตอนของการว่า ใครจะมามีบุญคุณแล้วก็จะมาตอบแทน เพราะว่าเขาผุดขึ้นมาแบบนั้นเลย เพื่อเสวยวิบากเดิม อย่างเทวดาเนี่ย ผุดขึ้นมาเต็มตัวเลยนะ มีความรู้ขึ้นมาทันทีเลย มันก็มีมานะขึ้นมาว่าเราไม่ต้องเรียน เราไม่ต้องตอบแทนใคร จำได้ด้วยว่าที่มาเป็นเทวดาแบบนี้ เพราะทำบุญอะไรมา แต่ว่าเกิดเป็นมนุษย์เนี่ย เกิดขึ้นมาพร้อมกับความไม่รู้อะไรเลย ขึ้นมาก็ร้องอุแว้ๆจะเรียกร้องเอาอะไรบางอย่างจากใครบางคน

ซึ่งก็จะรู้ด้วยสัญชาตญาณว่านี่คือพ่อ นี่คือแม่ คนนี้เขาเลี้ยงดูเรา แต่โดยความไม่รู้ ก็ขอให้นั่นเป็นหน้าที่ของพ่อของแม่เนี่ย ก็.. ทำให้เราเกิดมา ก็ต้องเลี้ยงดูเรา อันนี้เป็นเหมือนกับสิ่งที่ต้องมาเรียนรู้ภายหลังว่า นั่นน่ะคือบุญคุณนะ แล้วก็ต้องตอบแทน แล้วโตขึ้นมา เด็กแต่ละคนก็จะต้องเข้าโรงเรียนอนุบาล ต้องถูกครูสอน ต้องได้รับความเห็นอะไรต่อมิอะไรต่างๆมา แล้วมันก็มามีความเห็นของตัวเอง แล้วก็ต้องประสบชะตากรรมอะไรต่อมิอะไรต่างๆ ได้เสวยทุกข์ ได้เสวยสุข มันสลับกัน มันอยู่ครึ่งระหว่างนรกกับสรรค์

พูดง่ายๆว่าเกิดมาเป็นมนุษย์เนี่ยนะ มันทั้งได้เสวยกรรมเก่าด้วย ได้เกิดมาเพื่อเรียนรู้ด้วย เพื่อที่จะตอบแทนใครๆด้วย และก็เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงเส้นทางของตัวเอง 'เลือก' ทางของตัวเองได้ด้วย

อย่างเทวดาเนี่ย ไม่มีทางเลือกทางของตัวเองได้เพราะว่าเกิดมา ตั้งแต่เกิดจนตายก็มีสภาพคงที่อยู่แบบนั้น หรือสัตว์นรก ได้รับกรรมอะไรมันก็มีแต่จะต้องเสวยวิบากแบบนั้นไปเรื่อยๆ มันไม่มีช่วงพัก มันไม่มีช่วงมา เออ ตัดสินใจเลือกใหม่นะ ไอ้เส้นทางแบบเดิมมันไม่ดีพอ แต่มนุษย์เนี่ย เกิดมามันสามารถที่จะมีสิทธิ์เลือกได้นะครับ และเป็นการเลือกทาง ไม่ใช่เฉพาะทางชีวิตปัจจุบัน แต่หมายความว่า 'เลือก' ที่จะเปลี่ยนนิสัยใจคอเดิมๆของตัวเองไปอย่างสิ้นเชิงหรือไม่

ถ้าหากว่าคุณมีนิสัยหรืออะไรอย่างหนึ่งที่ติดตัวมานะครับ รู้ตัวว่า เออ เป็นคนชอบพูดโผงผาง แล้ววันหนึ่งเกิดมีความรู้สึกว่า เออ การพูดโผงผางนี่บางทีมันทำร้ายจิตใจคน ก็พูดให้นุ่มนวลลง อันนั้น อาจจะไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงแค่ชีวิตนี้ชีวิตเดียวนะครับ มันอาจจะหมายถึงการหักมุมเลย ไอ้ที่ทำมาหลายๆชาติเนี่ย จากการเป็นคนพูดโผงผาง ขวานผ่าซาก ไม่ไว้หน้าใครเนี่ย

ได้เปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ที่พูดจานุ่มนวลขึ้น แล้วก็มีการให้เกียรติคนมากขึ้น ซึ่งเส้นทางต่อๆไป ในชาติต่อๆไป มันก็จะหักไปเลย มันจะฉีกไปอีกองศาหนึ่งเลย นั่นล่ะครับ ตรงนี้เนี่ย ถ้าหากว่าเราได้มีโอกาสที่จะรู้ว่าภพอื่นภูมิอื่นเนี่ย... มี แต่ไม่มีโอกาสเท่ากับภพนี้ภูมินี้ของมนุษย์ มันก็จะเกิดความเห็นค่ามากขึ้นว่า เป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเนี่ย มีสิทธิ์ที่จะได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง

พี่ฉอด : แต่ว่าการที่จะแก้หรือเปลี่ยนแปลงอะไรเนี่ยมันก็ต้องทำ ณ ตอนนี้ เวลานี้ หรือในภพนี้

ดังตฤณ : ใช่ครับ

พี่ฉอด : เพราะที่ผ่านมาแล้ว มันก็คือผ่านไปแล้วที่ข้างหน้า บางทีจำไม่ได้ก็ไม่ได้ทำอยู่ดี (หัวเราะ) ใช่ไหมคะ?

ดังตฤณ : ใช่ครับ

พี่ฉอด : เพราะฉะนั้น นี่คือสาเหตุที่ทำให้นางเอกของกรรมพยากรณ์ สามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองได้จากคำพยากรณ์ที่บอกว่า ต้องเป็นอย่างงี้อย่างงั้น ต้องเจออย่างงั้นอย่างงี้เนี่ย

ดังตฤณ : คือพยายามเอาชนะคำพยากรณ์

พี่ฉอด : เอาชนะคำพยากรณ์ ซึ่งคุณตุลย์เชื่อว่า ในชีวิตจริงมันเป็นอย่างนั้นได้จริงๆ

ดังตฤณ : คือ... ผมพูดอย่างนี้ดีกว่าว่า ผมเห็นมาเยอะ ไม่ใช่ว่ามานั่งสมมติเอา แต่ว่าตระหนักว่าการต่อสู้กับอะไรที่มันมองไม่เห็นเนี่ยนะครับ บางคนเกิดมามีแต่เหตุการณ์อะไรที่วุ่นวายซ้ำๆรูปแบบเดิมด้วย และก็หนีไปไหนไม่พ้น แต่ทีนี้พอมาศรัทธา มาเรียนรู้เรื่องวิบากกรรม มาเรียนรู้เรื่องกฎแห่งกรรม 

พอเข้าใจว่า เออเนี่ย ที่ถูกคนโกงมากๆเพราะเคยไปโกงเขาไว้ หรือว่าที่ถูกหักอกมากๆเพราะเคยไปหักอกเขาไว้ อันนี้เป็นภาพคร่าวที่สุด ง่ายที่สุดเนี่ยนะครับ ก็พยายามที่จะทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับกรรมเดิมของตัวเอง อย่างเช่นถ้าถูกโกงมาก ก็พยายามที่จะซื่อมากที่สุด คือ ที่ถูกโกงก็โดนไป อโหสิให้เขาไป ยกโทษให้เขาไป หรือถูกหักอกมากๆแทนที่จะเก็บความคุมแค้นไว้ อาฆาตว่าฉันจะขอตามจองเวรไปทุกชาติอะไรทำนองนี้ ก็เปลี่ยนใหม่เป็นว่า ตั้งใจว่า เราจะพยายามซื่อกับใครๆเขานะ เราจะไม่หลอกใครเขานะ แล้วก็ไม่ไปหักอกใครเขา คิดอย่างไร เราพูดอย่างนั้น รักก็บอกว่ารัก ไม่รักก็บอกว่าไม่รัก นะครับ

ตรงนั้นเนี่ย มันก็เกิดกระบวนการของการใช้กรรมเก่าไป พอใช้หมดไปแล้ว มันก็ไม่มีกรรมใหม่ก่อขึ้นมาอีก มันก็กลายเป็นวิถีทางใหม่ คือยกเอาตัวเองจากเส้นทางแบบเดิม มาอยู่บนอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่ง... เหมือนกับทางรูปธรรมเนี่ย เวลาที่เราเปลี่ยนเส้นทางเดิน เราก็จะเจอสภาพแวดล้อมที่ต่างไป จะเจอผู้คนที่ต่างไป อันนี้ทำนองเดียวกันครับ คือถ้าหากว่าเราตัดสินใจว่าจะเลือกทางที่ไม่ลำบาก ทางที่ไม่ทำให้เกิดความเดือดร้อน ตรงนั้นเนี่ย ในที่สุดเราจะชนะของเก่า ไม่ว่าจะเคยไม่ดีมาอย่างไร วันหนึ่งมันก็จะหักล้างกันได้


พี่ฉอด : ค่ะ ก็คงเป็นสิ่งที่ฟังแล้วคงทำให้หลายๆคนรู้สึกมีความหวังในชีวิตมากขึ้นนะคะ มาถึงตรงนี้เดี๋ยวได้เวลาพักกันอีกแล้ว ฟังข่าวค่ะ สักครู่กลับมา ยังมีชั่วโมงสุดท้ายคอยอยู่สำหรับ คืนพิเศษ คนพิเศษ คืนนี้ที่กรีนเวฟค่ะ

อ่านต่อ >>


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น