วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2564

04 ก้าวไกลไม่ลืมก้าวแรก : รวมฟีดแบ็คหลังนั่งสมาธิ

- อนุโมทนาค่ะ การแสดงภาพประกอบช่วยได้มากค่ะ

 

ดังตฤณ : แน่นอนล่ะ เพราะว่าการเห็นภาพ ไม่ต้องตีความ

 

การฟังคำบรรยายอย่างเดียวนี่ บางทีต่างคนต่างตีความ ตามความจำหรือประสบการณ์ของตัวเองที่ผ่านมา

 

แต่ว่าภาพ จะเหนี่ยวนำเข้าไปสู่ภาวะปัจจุบันที่เอาเป็นว่า น่าจะรับรู้ได้ใกล้เคียงกันมากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้นะครับ

 

***

- มาเรียนครั้งแรกค่ะ อ.สอนดี เข้าใจง่าย มีภาพประกอบค่ะ มีสติแต่ไม่เกิดปีติสุขค่ะ

 

ดังตฤณ : ไม่ต้องไปเร่งนะ ตัวปีติสุขนี่ แต่ผมไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ถ้าจะเอาสมาธิแบบพุทธ ก็ต้องมาทางนี้

 

อานาปานสติ เป็นตัวจุดชนวนให้เกิด วิตักกะ วิจาระ ปีติ สุข และเอกัคคตา

 

ถ้าถึงปฐมฌาน จะได้องค์ประกอบของฌานห้าข้อนี้ครบ ถ้าเราไม่หลีกเลี่ยงหรือว่าไม่ไปพูดถึงปีติสุข กลัวว่าจะเป็นตัวกระตุ้นความอยาก หรือว่าเป็นตัวทำให้มองไม่เห็นตามจริง ในที่สุดเราก็จะขาดหลักเกณฑ์หรือว่าเครื่องชี้วัดนะ ว่าเรามาถึงไหนแล้ว

 

แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับท่านที่เพิ่งเริ่มต้น ก็ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องไปอยากได้ปีติและสุข

 

ปีติและสุข จะไม่เกิดขึ้นจากความอยากได้ แต่กันตรงข้าม ปีติและสุขเกิดจากวิเวก .. วิเวก เกิดจากการที่ใจไม่ดิ้นรน ไม่อยากไม่เอาอะไรนะครับ

 

***

- วันนี้พอนึกถึงลมหายใจที่ไม่มีชื่อไม่มีมีตัวตน เป็นพลังงานดินน้ำลม

ไฟ น้ำตาไหลเลยค่ะ มีความรู้สึกโล่งปีติค่ะ

 

ดังตฤณ : คุณจำไว้ เอาเป็น trick ไว้ใช้นะครับ ถามชื่อ ถามนามสกุล เวลาที่คุณเห็นภาวะอะไรชัดขึ้นมา ถามไปเรื่อยๆ ตอนแรกๆ จะมีความปรุงแต่งอย่างนี้แหละ คือยังไม่ใช่สติแบบเพียวๆ

 

แต่ว่าเป็นทิศทาง เป็นเข็มทิศนะ ที่จะเหนี่ยวนำให้จิต ไปรู้ไปดูภาวะที่กำลังปรากฏโดยความเป็นรูปเป็นนาม ต่อไป พอรู้สึกชัดๆ รู้สึกเป็นปกติว่ากายนี้ใจนี้สักแต่เป็นรูปสักแต่เป็นนาม ไม่มีบุคคล ไม่ต้องถามชื่อก็จะรู้เลยว่าสิ่งนี้ไม่มีชื่อ สิ่งนี้ไม่มีนามสกุล

 

***

- เห็นเพียงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปค่ะ

 

ดังตฤณ : อนุโมทนาสาธุการครับ

 



ผมอยากขอพูดถึงโพลสักนิด เพราะตัวเลขน่าจะแน่นอนแล้ว เพราะว่าตัวเลขเกินร้อยไปเยอะ

 

บอกว่าเข้าใจเพิ่ม 70% .. ตัว 70% นี้ เหมารวมทั้งมือใหม่และมือเก่านะครับ .. เข้าใจและก้าวหน้าเพิ่ม  

 

ถ้าหากว่าเป็นมือเก่าที่เคยทำสมาธิได้ดีอยู่แล้ว เห็นลมหายใจสว่าง เห็นลมหายใจชัด เกิดปีติเกิดสุข

 

คุณจะเห็นว่าถ้าเราเข้าใจหลักการ ที่จะนำมาต่อยอดเป็นวิปัสสนา .. นี่เพิ่งเป็นจุดเริ่มต้น

 

คนที่อยู่ใน 70% นี้ สำหรับคนที่ได้เห็นลมหายใจสว่าง อาจจะสัก 20 – 30% ไม่ใช่ทั้ง 70 นี้หรอก

 

นี่ผมพูดถึงคนที่มีประสบการณ์มาแล้วนะครับ เห็นลมหายใจสว่างมาแล้ว เกิดปีติและสุขแล้ว คุณจะพบว่านั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้น ที่จะนำมาใช้ในงานวิปัสสนา มารู้มาเห็นกายใจโดยความเป็นรูปนาม

 

แต่ถ้าคุณไม่มีความเข้าใจเป็นทุนไว้เลย คุณก็จะเหมือนนักทำสมาธิทั่วไป นักเล่นสมาธิ นักเลงสมาธิ ที่มาถึงตรงนี้ก็จะเกิดความชุ่มฉ่ำ แล้วก็เหมือนกับกระโจนเล่นน้ำ แบบอิ่มหนำสำราญ ลืมโลก ไม่สนใจว่าโลกจะแตก ไม่สนใจว่าใครเขาจะเป็นจะตายอะไรอย่างไร คุณมีความชุ่มฉ่ำของคุณอยู่ เป็นเอกเทศจากโลก ก็จะเพลินอยู่แค่นั้น

 

ทั้งชีวิต จะอาจจะหมกมุ่นอยู่กับการทำสมาธิ หรือว่าพัฒนาให้สมาธิต่อยอดยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อที่จะมีความสุข มีความอิ่มหนำสำราญเพิ่มเติม หรือไปใช้ .. ตรงนี้นะ ถ้ามีความสว่างขึ้นเป็นปกตินี่นะ .. คุณสามารถใช้ดูโลกอื่นได้ มิติอื่นได้

 

สามารถใช้ดูคนตาย สามารถใช้ดูภูติผีปีศาจได้ เทวดา อินทร์ พรหม ยมยักษ์ได้

 

เทวดาอินทร์พรหม ถ้าคุณมีเพื่อนเก่าอยู่ ถ้าเขาเห็นคุณทำได้ เขาอยากมาปรากฏตัวอยู่แล้ว จะมีเครื่องหมายบอกในโลกวิญญาณ

 

ถ้าคุณได้สมาธิระดับที่สว่างเห็นลมหายใจได้ จะมีคนอยากมาให้เจอเยอะ ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเปิดออกไปหรือเปล่า ถ้าเปิดออกไป แล้วไปเพลิดเพลินอยู่กับตรงนั้น ก็โอกาสเสียเวลาเปล่าอีกชาติหนึ่ง ก็เป็นไปได้สูง

 

แต่ถ้าตั้งจิตตั้งใจไว้ก่อนว่า จะเอาความสว่าง มารู้มาดูเรื่องภายใน เพราะอย่างที่เห็นนะ ถ้าเราทำอานาปานสติได้ผล แล้วก็มีความสว่างของลมหายใจเกิดขึ้น จะนำเข้ามาสู่ภาวะภายใน

 

ยิ่งเห็นภาวะภายในชัดเจนขึ้นเท่าไหร่ ว่าไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน คุณยิ่งเซฟมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเข้าใกล้ไปได้ถึงฝั่งที่ไปได้ยาก คือนิพพาน

 

ส่วนคนที่บอกว่าเข้าใจเพิ่ม ก้าวหน้าเพิ่ม โดยที่ยังไม่มีปีติสุข ยังไม่ได้มีแสงสว่าง อย่างน้อยที่สุดนะครับ คุณได้กำลังใจแล้วว่า การจะมีสมาธิหรือไม่มีสมาธิก็ตาม ขอแค่มีความเข้าใจเป็นฐาน เป็นทุน อย่างไรๆ ก็ต้องไปได้ไกลขึ้นแน่ๆ

 

ประเภทบอกว่าท้อ ทำมาไม่รู้กี่ปีไม่ไปถึงไหน พายเรืออยู่ในอ่างเหมือนเดิม คุณได้มาเห็นคืนนี้แหละว่า ด้วยความเข้าใจ ซึ่งสำคัญกว่าสมาธินี่นะ พาคุณไปได้ไกล ครั้งละสเต็ปเสมอ

 

ความเข้าใจสำคัญมากนะ

 

ส่วนท่านที่บอกว่าเข้าใจเท่าเดิม มีปีติสุขสว่างอยู่แล้วจำนวน 5%

 

เป็นแค่กลุ่มตัวอย่างที่โหวตมานะครับ .. ผมจะบอกว่าท่านที่ปีติอยู่แล้ว สว่างอยู่แล้ว และเข้าใจเท่าเดิม ขอให้พิจารณานิดหนึ่งว่า เรามีหลักการที่จะรู้ที่จะดูเข้ามา ในภาวะกายใจว่าไม่เที่ยง ว่าไม่ใช่ตัวตน ได้มากน้อยชัดเจนแค่ไหนด้วยนะครับ

 

เพราะถ้าหากว่ามีความปีติ มีสุข มีสว่างอยู่แล้ว คุณบอกตัวเองได้เลยนะ คุณมาถึงจุดที่มาถึงได้ยากมากในสังสารวัฏ จ่อประตูอยู่แล้ว อยู่ตรงประตูนี่

 

จะเปิดได้ หรือเปิดไม่ได้ ขึ้นอยู่กับความเข้าใจตรงนี้ ขึ้นอยู่กับการตกลงใจตรงนี้แหละว่า คุณจะใช้ความสว่างนั้น ใช้ปีติใช้สุขนั้น ใช้คุณภาพของจิตแบบนั้น ไปรู้ไปดูภาวะความไม่เที่ยงของกายของใจหรือเปล่า

 

ตัวนี้จะน่าอนุโมทนาสูงสุดกับกลุ่ม 5% นี้ เมื่อคุณใช้สิ่งที่มีอยู่ได้คุ้มค่า สามารถที่จะเปิดประตู สามารถที่จะอันล็อค สิ่งที่อันล็อคยากที่สุดในจักรวาลได้

 

หรือ ข้ามพ้นไปจากอุปาทานนั่นเอง

 

ส่วนท่านที่บอกว่าเข้าใจเท่าเดิม รู้ลมหายใจชัดต่อเนื่องอยู่แล้ว ลองทบทวนนิดหนึ่งนะว่า สิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นให้มาถึงตรงนี้ เราทำครบทุกขั้นทุกตอนหรือเปล่า

 

ผมพยายาม break down นะ พยายามแตกรายละเอียดออกมาเป็นขั้นๆ เป็นท่าเป็นทาง ก็มีท่าหนึ่ง ท่าสอง ท่าสาม นี่นะครับ ก็เพื่อให้เราได้ทบทวนอย่างชัดเจนว่า เส้นทางการทำสมาธิของเรา มีความก้าวหน้ามากน้อยแค่ไหน เราอยู่ถึงตรงไหนแล้ว

 

ส่วนท่านที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ หรือไม่เข้าใจอะไรเลย อาจจะเพิ่งมาทำหรือว่าอาจจะทำแล้วสองสามครั้ง ทบทวนใหม่นะครับ

 

การที่เราทำอยู่ด้วยกันแบบนี้ แล้วเห็นว่ามีคนทำได้นี่ อย่างน้อยที่สุดน่าจะเกิดแรงบันดาลใจ น่าจะเกิดความรู้สึกว่า เขาทำได้เราก็ต้องทำได้เพราะอยู่ด้วยกัน ทำอยู่ด้วยกันนะ อาการ 32 เหมือนกัน

 

***

- ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ เข้าใจในเรื่องวิปัสสนากระจ่างขึ้นค่ะ

 

ดังตฤณ : จะเขยิบขึ้นไปทีละนิดทีละหน่อยนะ เดี๋ยวพอพูดเรื่องสังขารขันธ์ พูดเรื่องการพิจารณา การกระทบ คู่กระทบนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็ดูสังโยชน์ภายใน ดูปฏิกิริยาภายในที่เกิดขึ้นจากคู่กระทบต่างๆ อะไรนี่ ก็จะมีความเข้าใจกระจ่างมากขึ้นๆ โดยที่เราไม่ต้องพูดอ้อมค้อมนะ

 

เอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ตรงๆ เป็นขั้นเป็นตอน เป็นข้อๆ มาจาระไน แล้วสามารถสำรวจภายในของเราได้เลยว่า ก้าวขึ้นไปเป็นขั้นๆ ก้าวไกลไปตามลำดับ บนเส้นทางที่จะนำไปสู่สิ่งที่ พระพุทธเจ้าประสงค์จะให้สาวกของพระองค์ไปได้ถึงหรือเปล่านะครับ

 

***

- ช่วงท้ายๆ กายหายไปแวบหนึ่งค่ะ

 

ดังตฤณ : จะหายไปแวบหนึ่ง หรือหายไปนานก็ตามนะครับ นั่นก็คือการปรุงแต่งจิตชนิดหนึ่ง มองไว้อย่างนี้เลยนะ

 

ต่อไปจะเกิดประสบการณ์ภายในอย่างไรก็ตาม มองเป็นจิตให้หมด เป็นประสบการณ์ภายในที่จิตประสบ เเล้วก็คุณจะเห็นภาพรวมนะว่า จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ประสบการณ์ภายในเหล่านั้น ไม่เที่ยง ไม่เหมือนเดิม อาจจะกลับมาซ้ำๆ อาจจะกลับมาบ่อยๆ หรืออาจจะไม่กลับมาเลย

 

เป็นประสบการณ์ภายในที่เกิดขึ้นจริงๆ ทั้งสิ้น แล้วก็หายไปจริงๆ ทั้งสิ้นเช่นกัน

 

***

- เข้าใจความสัมพันธ์ของ กาย เวทนา จิต ธรรม ต่อเนื่องกันมากขึ้น

สมาธิตั้งมั่น โปร่ง โล่ง สบาย

 

ดังตฤณ : อนุโมทนาครับ อันนี้ก็เป็นกลุ่มแรกที่บอกว่าเข้าใจเพิ่ม แล้วก็ก้าวหน้าเพิ่ม  

 

***

- เข้าใจเพิ่มแบบแวบๆ แล้วหายไป แล้วพอพาไปดูจุดใหม่ ก็เข้าใจแวบๆ แบบวางใจว่าต้องกลับมาลองอีก

 

ดังตฤณ : อนุโมทนาครับ นี่ก็เป็นอีกความเข้าใจหนึ่งจริงๆ นะ ที่บอกว่าแวบๆ นี่เพราะว่าเป็นประสบการณ์ใหม่

 

แต่พอเราทำไปซ้ำๆ ทำไปบ่อยๆ จนกระทั่งเกิดความชำนาญ เกิดความเคยชิน อย่างเช่นถามหาชื่อ ถามหานามสกุลของภาวะแต่ละภาวะ แล้วไม่เจอนี่นะ ต่อไปไม่ต้องถามหาชื่อนามสกุล พอภาวะปรากฏต่อใจชัดๆนี่ ใจจะจดจำได้เองว่านี่ไม่มีชื่อ ไม่มีนามสกุลไม่มีตัวใคร

 

***

- เข้าใจเพิ่ม ก้าวหน้าเพิ่ม เห็นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปค่ะ และมีตัวรู้ขึ้นมาด้วย ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มากๆ ค่ะ ปีติมาก

 

ดังตฤณ : ตอนที่มีตัวรู้ผุดขึ้นอันนี้ผมเข้าใจ และเชื่อนะว่าเกิดขึ้นจริงๆ

 

พอมีความว่างภายในผุดขึ้นเหมือนน้ำพุของปีติ ให้สังเกตดูด้วยว่าจะมีซ้อนกันอยู่ อย่างของคุณจะมีซ้อนกันอยู่นะ

 

ตัวหนึ่งที่รู้อยู่เบื้องหลัง เป็นแบ็คกราวน์ รู้ว่างๆ อยู่เฉยๆ เหมือนไม่มีตัวใครแต่ตัวที่ปีตินี่ มีตัวตนของคุณอยู่ มันซ้อนอยู่ด้วยกันได้นะ ตัวที่มีความรู้สึกว่ามีตัว กับอีกตัวที่เป็นแบ็คกราวน์จริงๆ ที่รู้สึกว่าไม่มีใคร

 

พอเรามาถึงตรงนี้ได้นี่ ให้สังเกตว่าตัวที่เป็นแบ็คกราวน์จะเกิดขึ้นอีกซ้ำๆ ตัวจิตผู้รู้นี่นะ ถ้ามีขั้นมีตอนแน่นอนให้เกิดขึ้นได้ แล้วทำซ้ำๆ บ่อยๆ ทุกวันเลย ในที่สุดเกิดขึ้นเป็นปกติ

 

เหมือนกับใช้ชีวิตประจำวันไป เราไม่ได้ตั้งใจทำสมาธิ ไม่ได้ตั้งใจเจริญสติอะไร แต่ปรากฏอยู่ๆ ก็ย้อนกลับมาเกิดขึ้นเอง โดยที่เราก็ไม่รู้เหนือรู้ใต้หรอกว่า นี่ฉันทำอะไรถึงได้รางวัล

 

ตรงนี้ จริงๆ ไม่ใช่รางวัลนะ เป็นธรรมชาติธรรมดาของจิตที่ฝึกแล้วอย่างถูกทางนะครับ ถ้าหากว่าเกิดจิตผู้รู้ เกิดจิตที่ตื่นเห็นอารมณ์อยู่เบื้องหลัง เป็นแบ็คกราวน์ ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ไม่มีหน้าตา มีแต่จิตว่างๆ จิตที่ว่างอย่างรู้ จิตที่พร้อมจะมีความรู้ ความเห็น ตรงตามจริง เท่าที่เหตุการณ์จะปรากฏให้รู้นี่

 

จิตแบบนี้ เราตั้งใจทำให้อยู่ติดตัวเราไม่ได้ แต่เราตั้งใจทำสมาธิ ให้จิตผู้รู้แบบนี้นี่เกิดขึ้นบ่อยๆ เองได้

 

คือพอทำเหตุปัจจัยตามมรรคมีองค์ 8 มีสัมมาทิฏฐิ มีดำริออกจากกาม และพยาบาท มีสัมมาอาชีวะ มีความเพียรต่างๆ เครื่องประกอบทั้งหลายที่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วนี่ ของจริงทั้งนั้นเลยนะ

 

คือถ้ามีเครื่องประกอบยิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ ตัวจิตผู้รู้จะยิ่งกลับมาปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ บ่อยขึ้นเรื่อยๆ

 

จิตผู้รู้ จำไว้นะ คุณสร้างไม่ได้นะ ตั้งใจทำสมาธิก็ไม่ได้นะ หรือว่าไปใช้ความจำว่า หน้าตาของจิตผู้รู้เป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้น ฉันจะตั้งจิตแบบนั้นไม่ได้นะ

 

สำคัญนะ นี้เป็นจุดเริ่มต้น เป็นเบสิคอีกเบสิคหนึ่งที่สำคัญมากๆ เป็นแอดวานซ์แล้วแหละ แต่ว่าคุณก็ต้องเข้าใจเบสิคความจริงข้อนี้ก่อน

 

จิตผู้รู้สร้างไม่ได้นะครับ คุณไม่สามารถไปปั้นแต่งขึ้นมา แต่ว่าคุณสามารถเพียรที่จะทำสมาธิ เพียรที่จะเจริญอานาปานสติ เพียรที่จะใช้ชีวิตในแบบที่ตรงตามมรรคมีองค์ 8 แล้วเอื้ออำนวยให้จิตผู้รู้นี้ เกิดขึ้นเองได้บ่อยๆ

 

จำไว้ ถ้าไม่เข้าใจกรุณาถามนะ ตรงนี้เป็นจุดสำคัญนะครับ เป็นจุด หัวเลี้ยวหัวต่อเลยนะ

 

ถ้าจะเกิดจิตผู้รู้ได้อีกบ่อยๆ อีกเรื่อยๆ นี่มาจากความเข้าใจด้วยนะ เพราะหลายคนเกิดจิตผู้รู้ขึ้นมาทีหนึ่ง แล้วไปพยายามทำให้เกิด ไปก็อปปี้ผลลัพท์เก่ามา อย่างนี้กลายเป็นว่าไม่เกิดนะ จะไม่มีภาวะแบบนี้ขึ้นมาเลย

 

จิตผู้รู้ต้องเกิดจากการที่มีพื้นฐาน มีธรรมชาติอะไรบางอย่าง มีเหตุปัจจัยที่จะบันดาลให้เกิดขึ้น แล้วนั่นก็คือมรรคมีองค์ 8 นั่นเอง ถ้าทำถูกต้องแล้วนี่ในที่สุดก็ปรากฏแน่ๆ

 

***

- รู้สึกจิตเบา ตัวเบาค่ะ

 

ดังตฤณ : ตัวนี้แหละ ที่เป็นกายวิเวก และเป็นจิตวิเวกนะ

 

ซึ่งถ้าหากว่ากายวิเวก และจิตวิเวกเกิดขึ้นบ่อยพอ ก็เกิดปีติ เกิดสุขชุ่มฉ่ำ เอ่อขึ้นมาตามธรรมชาติตามธรรมดา และในที่สุดก็ สามารถก้าวไปสู่เป้าหมายใหม่ คืออุปธิวิเวก คือ จิตที่ไร้กิเลส

 

***

- ครั้งนี้นิ่งสงบกว่าครั้งก่อน ท่าที่ 1 ยังมีความคิดแทรกมาเบาๆ แต่จิตแค่เห็นไม่ไหลไป พอเริ่มท่าที่ 2 นิ่งอยู่กับลมไม่วอกแวก พอท่าที่ 3 นิ่งสบาย มีความสว่างวาบขึ้นมา แต่ก็อยู่ไม่นาน มีความฟุ้งไหลไป ก็เลยกลับไปทำท่าที่ 2 เพื่อให้ใจจดจ่อใหม่ และพอพิจารณาตามที่อาจารย์บอก ก็เห็นตามได้

 

ดังตฤณ :  ขอบคุณที่บรรยายมาละเอียด

 

การที่สามารถเห็นตามที่ผมบอกว่า ภาวะทั้งหลายไม่มีชื่อ ไม่มีนามสกุล คุณลองมาดูตอนเปรียบเทียบกับในระหว่างใช้ชีวิตประจำวัน ตอนกำลังฟุ้งซ่านอยู่ ตอนกำลังแต่เหมือนกับเล่นอะไรเพลิดเพลินสนุกอยู่

 

แล้วถามแบบเดียวกันนี้ คุณจะพบว่า มีแต่ตัวฉันนะ ภาวะของตัวฉัน ความรู้สึกในตัวฉัน ปรากฏเด่น ที่จะมารู้สึกว่า ไม่มีชื่อไม่มีนามสกุลนี่ จะทำไม่ได้

 

ตรงนี้ก็จะเป็นความเข้าใจอีกระลอกหนึ่ง ว่าการที่เราจะเห็นภาวะของกายใจเป็นรูปเป็นนามตามจริงได้ ต้องมีสมาธิพอสมควร

 

ตรงนี้ถึงได้บอกว่าต้องทำสมถะมา ที่อยู่ๆ อยากกระโดดไปทำวิปัสสนาและบอกว่าจะเห็นรูปเห็นนามได้ในที่สุด ก็อาจจะเห็นนะ เพราะว่าเพียรไปมากพอ มีสมาธิมากพอ แต่จะเอาแน่เอานอนไม่ได้ และไม่มีขั้นตอนที่ชัดเจนว่า จะกลับมาสู่การเห็นนั้นได้อย่างไร

 

แต่ถ้าหากว่าเรามีสมถะดี เรามีขั้นตอนที่ชัดเจนว่า จะเข้าทางสมาธิอย่างไรแล้วมารู้ แบบนี้วิปัสสนาเกิดขึ้นทุกวัน

 

แล้วถ้าวิปัสสนาเกิดขึ้นทุกวัน

อินทรีย์อย่างแก่ .. 7 วันบรรลุ

อินทรีย์ อย่างกลาง .. 7 เดือนบรรลุได้

อินทรีย์ยังอ่อนสุด .. ไม่เกิน 7 ปี อย่างไรก็ต้องบรรลุ

 

การบรรลุธรรม มาถึงขั้นนี้ คุณจะเห็นว่าไม่ใช่การได้อะไรมา

แต่เป็นการทิ้งอะไรออกไป

คือการตีแตกเปลือกอุปาทาน ที่ห่อหุ้มอย่างหนาแน่นอยู่

ถูกกระเทาะออกไปเรื่อยๆ ทีละเป๊งๆ

 

ยิ่งมีความพากเพียรยิ่งทำบ่อยมากขึ้นเท่าไหร่

เปลือก ยิ่งถูกกระเทาะออกไปมากขึ้นเท่านั้น จนในที่สุด พอเปลือกหายไปเลยเหลือแต่แก่นนะครับ ที่ไม่มีอะไรเลย

 

พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบเหมือนเป็นกล้วยต้นกล้วย

เราลอกเปลือกออกมาทีละกาบ ทีละใบ

โดยหวังว่าจะไปพบแก่น

แต่ในที่สุดพอลอกออกมาหมด

ไม่มีอะไร แก่นไม่มีนะ แก่นก็คือตัวตน ความมีตัวใครอยู่ ไม่มีจริงๆ

 

ตรงนี้แหละที่คุณจะค้นพบ พอค้นพบตรงนั้นนี่ ไม่ใช่ได้มรรคผลมาให้ใคร

 

ไม่ได้มีตัวใครมาเอารางวัลนะ มีแต่ความทุกข์ก้อนหนึ่งที่หายไป

 

อย่างที่มีพระเถรีในสมัยพุทธกาลท่านเคยพูดไว้คมคายมาก บอกว่า

 

จริงๆ แล้วนอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรตั้งอยู่

นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับไป

นั่นแหละที่คุณจะค้นพบ

 

***

- ตอนท่าที่ 2 ทำได้เข้าใจมากขึ้น หายใจได้ลึกขึ้น ตอนที่อาจารย์ถามว่า มีตัวตน ชื่อ นามสกุลไหม ปิ๊งปุ๊บเลยว่า ไม่มี .. ขอบคุณนะคะ ชัดขึ้นเลยค่ะ เคยนั่งแบบนิ่ง ว่าง ตอนนี้เข้าใจแล้วค่ะ ไม่เคยถามตัวเองแบบนี้เลย เบาค่ะ

 

ดังตฤณ : ตรงที่รู้สึก บอกว่าเบารู้สึกว่ามีความโล่ง มีความเหมือนกับทิ้งอะไรออกไป นั่นก็คือปัญญาแบบพุทธนะ เป็นครั้งหนึ่งที่ปัญญาแบบพุทธเกิดขึ้น และยิ่งเกิดบ่อยแบบนี้มากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่จะทิ้งจริงยิ่งสูงขึ้นเท่านั้นนะครับ

 

***

- วันนี้นิ่งมากค่ะ พอถึงตอนที่อาจารย์ถามว่าลมหายใจมีชื่อไหม เกิดความสว่างขึ้นมาเลยว่า เรานั้นไม่มี

 

ดังตฤณ : ดีครับ อนุโมทนานะ ก็น่าจะคล้ายๆ กันทุกท่าน แล้วก็คงจะเป็น 70% หนึ่งใน 70 เปอร์เซนต์ที่บอกว่าเข้าใจเพิ่มขึ้นแล้วก็ก้าวหน้าเพิ่มนะ

 

***

- อยู่ดีๆ ตอนที่เลิกใช้มือแล้ว ก็เห็นลมหายใจเป็นสายขึ้นมาเองเลยค่ะ ปกติไม่เห็นชัดขนาดนี้

 

ดังตฤณ :  นี่แหละคือถ้าใช้สติ ใช้กำลังสติที่มีอยู่ ตามลมหายใจอย่างเดียวก็ไม่เห็น ก็เห็นยาก

 

แต่พอใช้มือไกด์แล้ว สติค่อยๆ รู้ตามมือนะ คือมือเคลื่อนไปที่ไหน ลมหายใจเคลื่อนไปที่นั่น รู้ไปพร้อมกัน ในที่สุดแล้วพอเลิกใช้มือนี่ สิ่งที่เหลืออยู่ ก็คือครึ่งที่เหลืออยู่ ที่จะปรุงแต่งให้เกิดการเห็น เกิดการรู้ เกิดการดูอย่างแจ่มชัด ซึ่งก็คือลมหายใจเพียวๆ

 

อันนี้ก็มาถึงความเข้าใจว่า เราใช้มือไกด์ เพื่อที่จะช่วยออกแรงเสริม ทุ่นแรงให้กับสติ

 

สติ ปกติตามลมหายใจอย่างเดียวไม่ได้ แต่พอมาใช้มือไกด์ ช่วยได้นะครับแล้วพอเลิกใช้มือ คุณก็ไปสังเกตเอานะว่าแต่ละครั้ง ความสามารถที่จะรู้ลมหายใจมีไม่เท่ากัน แต่ความสามารถที่จะรู้สึกถึงมือที่เคลื่อนไหวนี่ จะมีความแน่นอนสูงกว่า ง่ายกว่านะครับ

 

***

- ผมไม่มีอะไรเลยครับ วิตก วิจาร น่าจะมี แต่ปีติและสุขไม่เกิดครับ มีแต่ความตื่นอยู่ตลอดเวลากับลมหายใจครับ

 

ดังตฤณ : ถ้าตื่นอยู่ตลอดเวลากับลมหายใจนั้นแหละ คือวิตก วิจาร

 

ตัววิตก วิตักกะ นี่ คือการนึกถึงลมหายใจ ส่วนวิจาร หรือวิจาระ นี้คือการที่ใจเราเป็น หนึ่ง กับลมหายใจนะครับ

 

ปีติ สุข นี่อยู่ๆ เกิดเองไม่ได้ ต้องนำมาด้วยกการที่จิตนี่รู้อะไรอย่าง หนึ่ง และก็มีวิเวกอยู่กับสิ่งนั้น จิตไม่ดิ้นรนไปทางอื่นนะครับ

 

***

- ร่วมนั่งครั้งนี้ ครั้งที่ 3 แล้วค่ะ ที่เคยบอกว่า หายใจเบา หายใจได้แผ่วเบา วันนี้ดีมากๆ ที่สุดเลยค่ะ รู้สึกตามทุกอย่าง และเข้าใจทุกประโยคที่อาจารย์พูดเลยค่ะ น้อมกราบค่ะอาจารย์ จะปฏิบัติต่อไปค่ะ

 

ดังตฤณ : อนุโมทนานะครับ ก็เป็นอีก หนึ่ง ความเข้าใจนะที่พอเข้าใจแล้วนี่ จะเข้าใจเลยนะ จะไม่กลับมาไม่เข้าใจอีก

 

ขออนุโมทนาสาธุการครับ

 

***

- เดิมทำสมาธิได้ นิ่ง สว่าง ลมหายใจหายไป แต่ไม่เคยพัฒนาขึ้นเป็นวิปัสสนาได้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รู้ว่า ต่อไปเราจะต้องพิจารณากายอย่างไร

 

ดังตฤณ : อนุโมทนาเช่นกัน ดีครับ ก็นะรู้สึกว่ามีคนที่เกิดปัญญาแบบพุทธมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ดีใจครับ

 

***

- การปฏิบัติครั้งนี้ เมื่อเคลื่อนไหวได้สักพัก จนเห็นสายลมชัด มือก็หยุดเคลื่อนไหวเอง เพราะเห็นลมหายใจชัดเจน ท่าที่ 2 เมื่อยแขนไปหน่อยค่ะ แต่ลมหายใจยาวขึ้น พอเห็นชัดก็หยุดการวาดแขนค่ะ

 

ดังตฤณ : จุดประสงค์ของเราคือการเห็นลมชัดนะ แล้วก็การที่จะมีผลพวงตามมา พอเห็นลมหายใจชัด เกิดจิตวิเวกแล้ว ไม่ดิ้นรนไปทางอื่นแล้ว ในที่สุดก็เกิดปีติ เกิดสุข อันมีวิเวกเป็นที่ตั้งนั่นเองครับ

 

จะวาดมือ หรือไม่วาดมือ ขอให้เข้าใจว่าเป็นการช่วยไกด์ ไม่ใช่จุดประสงค์ ไม่ใช่ท่าการทำสมาธิ ไม่ใช่การเดินพลังลมปราณ หรืออะไรทั้งสิ้นนะ

 

***

- อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ วันนี้รู้สึกสงบสบาย ระหว่างที่อาจารย์บรรยายไป รู้สึกเหนี่ยวนำจิตให้กระจ่าง และต่อยอดไปทางวิปัสสนาได้มากขึ้นค่ะ

 

ดังตฤณ : อนุโมทนาครับ น่าจะเป็นอีก หนึ่ง ใน 70% นะ ที่รู้สึกว่าเข้าใจมากขึ้นแล้วก็ก้าวหน้าเพิ่มขึ้น  

 

***

- เริ่มเห็นเส้นเลือดในร่างกาย เห็นการไหลเวียนของเส้นต่างๆ ในร่างกาย เส้นเลือดแดง ดำ เขียว แต่ชั่วครู่เดียวค่ะ

 

ดังตฤณ : การเห็นรายละเอียดภายในของร่างกาย จะเห็นมากหรือเห็นน้อยก็ตาม คือไม่ต้องไปคาดหวัง

 

เวลาทำอานาปานสติ เราคาดหวังแค่ว่า เราจะรู้ตามจริงว่ากำลังหายใจเป็นอย่างไรนะ หายใจยาวได้ไหมและลมหายใจไปถึงไหนแล้ว

 

ถ้ามาบวกกับความเข้าใจหรือว่าทุนที่มีอยู่เดิมว่า พอเห็นลมหายใจชัด

 

มีความสว่างเกิดขึ้นกับลมหายใจแล้วนี่ เราจะเอาความสว่างนั้นเข้ามาดูของภายใน

 

ของภายในจะโชว์ตัวเองเป็นอย่างไรต่อจิตนี่ ไม่ต้องสนใจไม่ต้องคาดหวังไม่ต้องอยากได้ไม่ต้องอยากรู้ จะมีธรรมชาติธรรมดา เป็นขั้นเป็นตอนปรากฏขึ้นมาเอง

 

คือพอเห็นลมหายใจชัด จิตใส จิตเบา จะไม่รู้อะไรอย่างอื่นที่เป็นของภายนอก จะรู้แต่ของภายในที่ชัดขึ้นๆ ความปรากฏชัดขึ้นนี่ ตอนแรกๆ อาจจะน่าตื่นเต้น หรือบางคนเห็นเป็นเรื่องน่ากลัว แต่พอปรากฏชัดอยู่เองโดยที่ชัดอยู่เป็นปกติ เกิดขึ้นเองบ่อยๆ เราจะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา

 

ที่เราเคยสงสัย เราเคยร่วมถกเถียงว่าเห็นได้ เห็นไม่ได้ เป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องไม่จริง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ใช่หรือไม่ใช่อะไรต่างๆ จะมีความรู้สึกว่า โอ้ นั่นเป็นมุมมองที่เกิดจาก การอยู่ในช่วงชีวิตที่ไม่รู้นะ ยังไม่รู้อะไร ยังถูกอวิชชาปิดบังอยู่เต็มเหนี่ยว

 

ต่อเมื่อจิตเริ่มสว่างขึ้น ทำอานาปานสติเป็น มีความเข้มแข็งมากขึ้น แล้วอานาปานสตินั้น นำความสว่างเข้ามาเป็นกล้องเอ็กซเรย์ รู้จากภาวะทางกายได้อย่างแจ่มแจ้งนี่

 

เราจะเข้าใจเลย ที่ท่านเรียกว่าเป็นปัจจัตตัง รู้เห็นเฉพาะตนนี่ เป็นอย่างไร

 

เอาไปบอกใครไม่ได้นะ ว่าเราเห็นชัดๆ เห็นอยู่จะจะ เห็นอยู่เจ๋งๆ อย่างนี้ว่าข้างในนี้ไม่มีอะไรสักอย่างเดียว ไม่มีอวัยวะสักชิ้นเดียวที่เราเคยออกแบบ ไม่มีอวัยวะสักชิ้นเดียวที่เราเคยก่อสร้าง

 

มีแต่ภาวะทางธรรมชาติที่ก่อตัวขึ้นมา มารวมรูปด้วยกรรม

 

คือสมาธิต้นๆ นี้จะยังมองไม่เห็นนะ ว่าแรงกรรมเป็นอย่างไร ที่มารวมเอาเอาดินน้ำไฟลมมาเป็นรูปแบบนี้ แต่พอเริ่มที่จะ คือกำลังสมาธิถ้าไปพ้นรูปได้

 

คืออย่างได้ตั้งแต่ปฐมฌาณขึ้นไปนี่ รู้รูปชัดจนกระทั่งจิต แยกออกจากกันเป็นต่างหากอย่างชัดเจน มีภาวะเอกัคคตาของจิตเด่นดวง ไม่ปะปนกับความเป็นกาย

 

ตรงนั้น พอย้อนกลับมารู้ กลับมาดูว่า กายกับจิตนี่มาอยู่ด้วยกันได้อย่างไรจะเริ่มเห็นพลังอีกแบบหนึ่ง ที่ซ้อนอยู่ ที่เป็นคล้ายๆ กับ เดิมนี่เป็นเส้นใยเป็นสายอะไรที่ถักทอ เป็นเครือข่ายอะไรที่มองไม่เห็น แม้ด้วยจิตที่เป็นสมาธิ

 

แต่พอเริ่มมีความชัดเจนขึ้นว่า นี่สักแต่เป็นรูป นี่สักแต่เป็นนาม แล้วมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาน มาเป็นตัวส่องดู มาเป็นตัวส่องรู้ จะเริ่มเห็นว่า ภาวะที่รวมรูปรวมร่างอะไรแบบนี้ มีแรงอะไรอยู่เบื้องหลังจริงๆ นะครับ

 

แล้วก็ที่อยู่เบื้องหลังนั้นนี่ เป็นกองบุญหรือกองบาป

 

ถ้าเป็นกองบุญ จะมีลักษณะซ้อนเข้ามาในชีวิต ที่เป็นแสงสว่างเบื้องหลัง และมองย้อนกลับไปจะเห็นเลยว่า ที่ได้ดิบได้ดี มีชาติความเป็นมนุษย์แบบนี้ได้ เพราะเคยทำอะไรมาโดยมาก จะเห็นเป็นนิมิต

 

ความสว่างนั้นจะปรากฏเป็นนิมิตกรรม .. เป็นกรรมนิมิตว่า เพราะเคยไปทำอย่างนี้มามาก เพราะเคยไปทำอย่างนั้นมามาก ถึงเกิดเหตุการณ์เป็นขณะๆแบบหนึ่งๆ ขึ้นมา

 

จริงๆ เพื่อที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน ไม่จำเป็นต้องเห็นถึงขนาดนั้น แต่ว่าเราจะค่อยๆ รู้ เริ่มต้นจากรู้อะไรแบบนี้แหละ ว่าข้างในกายตกลงไม่เหมือนกับผิวนอกที่หลอกตาอยู่

 

ที่เป็นผิวเนียนๆ เรียบๆ เป็นเนื้อหนังมังสาอะไรแบบนี้นี่ เป็นของหลอกตาภายนอก ที่ซ่อนอยู่ข้างในนี่มีอะไรมากกว่านั้น แล้วก็ยังมีอะไรซ้อนๆ ลงไปอีกหลายชั้นหลายมิติ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีต้นทุนทางความรู้ที่จะส่องเข้าไปดู ส่องเข้าไปเห็นอย่างไรนะครับ

 

__________________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ก้าวไกลไม่ลืมก้าวแรก

ช่วงรวมฟีดแบ็คหลังนั่งสมาธิ

วันที่ 29 สิงหาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=IZiPjryMuRI

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น