พี่ตุลย์ : ถ้าเราเดินจงกรมถูก สิ่งแรกที่จะตั้งเป็นข้อสังเกตได้เลยก็คือ
การมีความรู้สึกต๊อกๆ ในใจ ที่มีความแน่นอนมากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าใจมีต๊อกๆ อยู่ บอกตัวเองได้ว่ามีวิตักกะแน่นอน
ทีนี้วิตักกะนั้น จะเจริญขึ้นต่อยอดเป็นวิจาระหรือเปล่า
ต้องดูที่ใจ
อย่างที่เราเรียนรู้กันมาจากการนั่งสมาธินะครับว่า
วิจาระเกิดขึ้น เมื่อจิตเริ่มแสดงตัว เหมือนกับเป็นดวงอะไรดวงหนึ่ง
คือไม่ได้เห็นเป็นวงกลม แต่เห็นเป็นความรู้สึกว่า
มันมาอยู่ตรงกลาง มากกว่าอยู่ในหัว
ถ้าอยู่ในหัว สิ่งที่จะปรากฏเป็นธรรมดาก็คือ
สภาพทางใจที่แตกแยกเป็นเสี่ยงๆ
เดี๋ยวไปทางโน้น เดี๋ยวไปทางนี้ ขึ้นกับว่าความฟุ้งซ่านจะซัดไป
แต่ถ้าหากออกมาจากตรงกลาง
ที่จะเรียกกลางอกก็ได้ หรือเรียกกลางตัว .. แต่ไม่ใช่ที่ท้องนะ
ที่กลางความรู้สึก ตรงใจกลางความรู้สึก ที่รู้อยู่เป็นธรรมดา
ที่ว่าง ที่ออกมาจากความว่างหนึ่งเดียว
ความว่าง ถ้าพูดว่าว่าง ไม่มีสองว่าง สามว่าง..
มีว่างเดียว
แต่ถ้าความคิด มีหลายคิด มีหลายเสี่ยง
เสี่ยงซ้าย เสี่ยงขวา เสี่ยงหน้า เสี่ยงหลัง
ขึ้นกับว่าความฟุ้งซ่านจะซัดไปทางไหน ทิศทางไหน
ไปข้างหลัง คือไปในอดีต
ไปข้างหน้า คืออนาคต
ไปซ้ายทีขวาที คือเรื่องนั้นเรื่องนี้
แต่ถ้าหากเรารู้สึกถึงความว่างได้
จะออกมาจากตรงกลาง มีอยู่หนึ่งเดียว
ความเป็นหนึ่งเดียว ทำให้รู้สึกถึงจิต ที่เป็นดวงอยู่ดวงเดียว
การที่เรานั่งสมาธิ แล้วมีลมหายใจ ช้า ชัด
นิ่มนวล
ปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวขึ้นมา
จะไม่ยาก เป็นเหมือนอะไรที่ไม่เกินเอื้อมเท่าไหร่
แต่การเดินจงกรม แล้วมีเท้ากระทบต๊อกๆ ในใจ
จนกระทั่งเกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียว
มีความว่างออกมาจากตรงกลาง อันนี้จะยากขึ้น
ซึ่งถ้าหากเราเจริญอานาปานสติ
แล้วมาต่อยอดด้วยการเดินจงกรมต่อ จะดูง่ายขึ้น
เป็นไปได้ง่ายขึ้น
เพราะเรารู้จักวิตักกะ วิจาระมาก่อนแล้ว
มีฐานของจิต มีความตั้งมั่นมาก่อนแล้ว
มีฐานของความรู้สึก ในความว่าง
ในการที่เราไม่ปล่อยจิตปล่อยใจ
ไปตามแรงซัดของความฟุ้งซ่านมาเป็นฐาน
ตัวนี้ พอมาเดินจงกรม ก็เลยเหมือนกับ..
พอได้ต๊อกๆ ในใจ ไม่นานจิตก็รวมลง
หรือเข้าสู่ภาวะรวมศูนย์
ที่จะรู้สึกได้ถึงความว่าง เหมือนหัวหายไป
ข้างบนว่าง ข้างล่างชัด หรือจังหวะขาที่สลับๆ
กันไป
ตามจังหวะกระทบ ที่เราสามารถรู้สึกได้
ก็ได้วิตักกะ วิจาระอีกแบบ
ไม่ใช่วิตักกะ วิจาระ ในแบบที่ เห็นนิมิตลมหายใจ
เป็นเครื่องตั้ง
แต่เป็นไปในแบบที่ รู้สึกถึงนิมิตความเป็นกาย
ที่ว่างอยู่ข้างบน แล้วข้างล่างปรากฏชัด
พอรู้สึกถึงความเป็นกายที่เคลื่อนไป โดยไม่มีใครเป็นผู้เคลื่อน
จะมาเป็นจังหวะๆ บางที ก็มีความรู้สึกถึงตัวเราที่เป็นผู้เดินไป
ตอนที่มีตัวเราเป็นผู้เดินไป ขอให้สังเกตว่า
น้ำหนักของจิตจะเพิ่มขึ้น จะเหมือนมีอะไรหนาๆ
ขึ้น
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า กายนี้เคลื่อนไป โดยไม่มีใครเป็นผู้เดิน
ใจจะเบา ใส เปิดโล่ง
สังเกตแค่ตรงเบสิก ตรงนี้นะ
ใจหนา ใจหนัก ความรู้สึกเป็นแบบหนึ่ง
มีน้ำหนักตัวตนขึ้นมา
แต่ถ้าใจเบาโล่ง เหมือนหายไป เหมือนส่วนบนหายไป
จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ไม่มีใครเดินอยู่
มีแต่จังหวะกระทบที่เกิดขึ้นให้รับรู้
ฝั่งตรงข้ามเป็นประตูกระจกใช่ไหม
น้ำอบ : ใช่ค่ะ
พี่ตุลย์ : น้ำอบ ลองไปยืนห่างจากประตูกระจกสักหนึ่งก้าว
หันหน้าเข้าหาประตูกระจก หลับตาลง
ดูว่าพอหลับตาลงแล้ว
เราจะรู้สึกถึงระยะห่างหนึ่งก้าว ระหว่างตัวเรากับกระจก
ทีนี้ ทั้งที่หลับตา ลองกลับหลังหันทีละครึ่งรอบ
เปิดตา.. แล้วเดินเข้ามา
เมื่อกี้ ระหว่างที่หลับตา แล้วรู้สึกถึงระยะห่าง
ระหว่างตัวของเรา กับประตูกระจก
รู้สึกถึงช่องว่างระหว่างตัวเรากับประตูกระจกไหม
(พยักหน้า)
ที่รู้สึกนี่ รู้สึกว่า เหมือนเราคล้ายกับลืมตาขึ้น
มองกระจกไหม
เอาความรู้สึกนะ
(พยักหน้า)
น้ำอบ : ตาหลับก็จริง
แต่ข้างในเหมือนรู้สึกถึงระยะห่างค่ะพี่ตุลย์
พี่ตุลย์ : มันมีช่องว่างอยู่
ใช่ไหม
รู้สึกถึงช่องว่าง และรู้สึกถึงความเป็นกระจกที่กั้นอยู่
(ใช่ค่ะ)
กลับไปยืนใหม่นะ
พอไปอยู่ระยะห่างนี้ แล้วน้ำอบทอดตาไปตรงๆ
ข้างหน้า
เหมือนเรากำลังมองดูกระจกด้วยตาเปล่า
เรารู้สึกถึงช่องว่างระหว่าง กายที่กำลังยืน
กาย ที่กำลังมีหัว มีตัว มีแขน มีขา
อยู่ในท่ายืนนี้
กับกระจกที่เป็นแผ่นเรียบ มีลักษณะ ที่ใส
ที่เราเคยรับรู้อยู่แล้ว ด้วยตาเปล่า
แต่คราวนี้ เรามารับรู้ด้วยความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง
เหมือนกับวัตถุ คือกายนี้ของเรา
เป็นวัตถุหมายเลขหนึ่ง มีความเป็นธาตุดิน
พอเรารู้สึกถึงวัตถุหมายเลขสอง ที่เป็นประตูกระจกอยู่
จะมีความต่างกัน โดยลักษณะรูปพรรณสัณฐาน
แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ มีความคงรูปคงร่าง ที่เสถียร
ที่ต่อเนื่อง
คราวนี้ ดูนะ ระหว่างรูปกาย ที่มีหัว มีตัว
มีแขน มีขานี้
กับรูปกระจก ที่มีลักษณะเรียบใสเป็นบาน
มีสิ่งหนึ่งที่คั่นอยู่ระหว่างกลาง
คืออากาศว่างเป็นช่องว่าง
หรือที่เรียกว่าอากาศธาตุนั่นเอง
และในอากาศธาตุนี้มี สิ่งที่โผล่มาแล้วไป
โผล่มาแล้วไป
นั่นก็คือธาตุลม ซึ่งก็คือลมหายใจ
ที่ผ่านเข้ามาในธาตุดินนี้ และผ่านออกไปจากธาตุดินนี้นี่เอง
อย่างที่เรากำลังรู้สึกอยู่ ว่ามีธาตุดิน
อันได้แก่วัตถุหมายเลขหนึ่ง คือกายนี้
และวัตถุหมายเลขสอง คือกระจกที่อยู่ตรงหน้า
นั่นแหละ ที่รู้สึกอย่างนั้นแหละ
จะรู้สึกว่าตัวของเราหายไป เหลือแต่ธาตุดินที่จ่ออยู่ด้วยกัน
และมีช่องว่าง อันได้แก่อากาศธาตุ คั่นอยู่ระหว่างกลาง
และในอากาศว่างนั้น มีธาตุลม
ซึ่งมีรูปแปรปรวน ผ่านเข้ามาแล้วผ่านออกไป
ทีนี้ ตัวที่เป็นใจของเรา อยู่ตรงไหน?
อยู่ตรงที่มันรู้มันดูอยูทั้งหมดนั่นแหละ
ตรงที่รู้ที่ดูอยู่ทั้งหมด คือใจ
คือจิตของเรา หรือว่าวิญญาณธาตุ
เห็นไหม วิญญาณธาตุ ตอนที่สงบ
ก็จะรู้สึกถึงธาตุดิน ธาตุลม และธาตุอากาศ
แต่พอมีอะไรฟุ้งๆ ขึ้นมา
ความเป็นธาตุเหล่านั้นก็ลดความชัดเจนลง
พอมีความฟุ้งซ่านเข้ามา เราก็เห็นว่า
วิญญาณธาตุหรือจิต ถูกปรุงแต่งไป
คราวนี้ ลองมาทำความรู้สึกถึงลมหายใจเป็นศูนย์กลางก่อน
พอเวลาฟุ้งขึ้นมา เราอาศัยลมหายใจเป็นศูนย์กลาง
เรารู้สึกถึงสายลมหายใจ ผ่านเข้าผ่านออก
ถ้าหากว่ามีความระลึกได้ มีสติระลึกได้ว่า
ลมหายใจ กับความฟุ้งซ่านเป็นคนละอันกัน
ก็จะเห็นว่าธาตุลมก็อย่างหนึ่ง
ความปรุงแต่งจิตก็อย่างหนึ่ง
ตัววิญญาณธาตุ ที่ถูกปรุงแต่งด้วยความฟุ้งซ่าน
จะปรากฏเป็นจิตที่มีความฟุ้งซ่าน
และเป็นคนละอันกันกับลมหายใจ
ถ้าเมื่อไหร่จิตของเรา มีความสงบ มีความนิ่ง
จะเห็นว่า ธาตุลมอยู่ส่วนธาตุลม
ธาตุดินอยู่ส่วนธาตุดิน
และความว่างระหว่างกายยืน กับบานประตู
มีอยู่ประมาณนี้
จิตจะรู้อยู่จะเงียบๆ รู้อยู่นิ่งๆ
เหมือนจิตเป็นอะไรดวงหนึ่งใสๆ
เหมือนเป็นแผ่นอะไรแผ่นหนึ่ง
ที่ไม่มีรูปร่าง ไม่มีหน้าตาตัวใคร
ทีนี้ลอง.. หลับตา กลับตัวนะ กลับตัวมา
ทีนี้ ลองลืมตาแล้วเดินปกติ
พอมาหยุดตรงนี้ แล้วกลับหลังหันปกติเลย
เสร็จแล้วหลับตา ปิดตาลง
ทำความรู้สึกว่า กายที่ยืนอยู่นี้เป็นธาตุดิน
เป็นวัตถุหมายเลขหนึ่ง
มีระยะตั้งห่างจากวัตถุหมายเลขสองคือบานประตู
ประมาณหนึ่ง ที่เราจะรู้สึกได้
เมื่อกี้นี้ พอหันหลังกลับไป
ตาเปล่าเรา จะสามารถเห็นได้ว่าห่างประมาณไหน
เอ้า ลองลืมตาขึ้นมาแวบหนึ่ง แล้วปิดตาเลย
นี่.. จะห่างประมาณนี้
เราทำความรู้สึกว่า มีระยะห่าง
ระหว่างวัตถุหมายเลขหนึ่ง กับวัตถุหมายเลขสอง
เป็นช่องว่างประมาณนี้
นี่แหละที่เรากำลังทำความรู้จักกับธาตุดิน
สองชิ้น
วัตถุสองชิ้น คือวัตถุชิ้นหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงนี้
กับวัตถุอีกชิ้นหนึ่งที่ตั้งห่างออกไป
ผ่านระยะห่างของอากาศธาตุ
และในระยะห่างระหว่างวัตถุหมายเลขหนึ่ง กับวัตถุหมายเลขสอง
มีลมหายใจ ผ่านเข้าผ่านออกอยู่ นี่คือธาตุลม
พอจิตรู้อยู่นิ่งๆ เราจะรู้สึกได้ว่า หัว ตัว แขน
ขา หรือท่ายืนนี้
เหมือนกับระนาบหนึ่ง
และอยู่ห่างจากอีกระนาบหนึ่งคือประตู
ห่างออกไป เหมือนแผ่นสองแผ่น ที่เรากำลังรู้สึกอยู่นี่
คราวนี้ลืมตา
แล้วเดินไปหยุดห่างจากประตูหนึ่งก้าวเหมือนเมื่อกี้
เดินลืมตาไปปกติ เสร็จแล้วหลับตา
ปิดตาลง ทำความรู้สึกถึงธาตุดิน ที่วัตถุหมายเลขหนึ่ง
มีหัว มีตัว มีแขน มีขา
นิยามของธาตุดิน คือมีความคงรูปคงร่าง
มีความเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยน
แตกต่างจากธาตุลม เป็นรูปเหมือนกัน
แต่มีความเปลี่ยนไปตลอดเวลา
ตอนนี้ เรารู้สึกถึงธาตุดินอันเป็นวัตถุหมายเลขหนึ่ง
รู้สึกถึงธาตุลม ที่ผ่านเข้าผ่านออกอยู่นี้
รู้สึกถึงความว่าง เป็นช่องว่างแคบๆ
ระหว่างธาตุดิน อันเป็นวัตถุกาย
กับธาตุดิน อันเป็นประตูกระจก ที่แบนราบ
รับรู้อย่างนั้น
เสร็จแล้ว มองดูนะว่าใจเรา
ถ้าหากมีความเต็มดวง ถ้าหากมีความใส
ถ้าหากมีความว่างจากความฟุ้งซ่าน จะมีความรับรู้รูปที่ปรากฏ
อันได้แก่วัตถุกายหมายเลขหนึ่ง
กับแผ่นกระจกอันเป็นวัตถุหมายเลขสอง
ผ่านช่องว่าง ซึ่งก็คืออากาศธาตุ
นี่ .. มีความชัดเจน มีความแจ่มใส ราวกับว่าเราลืมตาดูอยู่
แต่เป็นการลืมตาขึ้นมาในอีกมิติหนึ่ง
ถ้าเรารู้สึกถึงจิตเต็มๆ ที่มีความใส มีความว่าง
มีความนิ่ง
วัตถุนี้ กับอีกวัตถุหนึ่ง .. วัตถุหมายเลขหนึ่ง
กับวัตถุหมายเลขสอง
จะมีความปรากฏต่อใจ ที่เหมือนกับเราไม่เคยเห็นมาก่อน
เป็นวัตถุสองชิ้น ที่มาตั้งวางอยู่ใกล้กัน
และไม่มีใครอยู่ในวัตถุทั้งสอง
วัตถุหมายเลขหนึ่ง กับวัตถุหมายเลขสอง มีความเสมอกัน
เห็นใช่ไหม มีความรู้สึกเหมือนกับว่า
ไม่มีตัวใครอยู่ในวัตถุระหว่างนี้
ไม่มีของๆ ใครที่อยู่ในวัตถุทั้งสอง
คราวนี้หมุนตัวกลับ ด้วยตาที่ปิดอยู่ ..
เปิดตา แล้วเดินมา ..
เสร็จแล้วกลับหลังปกติ แล้วหลับตา ..
ดูความรู้สึกตรงนี้
คราวนี้ น้ำอบจะเริ่มมีความรู้สึกขึ้นมาอีกแบบหนึ่ง
ใจจะใสนำหน้าขึ้นมา
ใจที่ใสนำหน้าขึ้นมานี้ จะมีความรับรู้
ตอนนี้เริ่มรับรู้แล้ว เริ่มคุ้นแล้วว่า
วัตถุหมายเลขหนึ่ง คือกายนี้ เป็นธาตุดิน
มีความเสมอกันกับวัตถุหมายเลขสอง
คือประตูกระจก ที่ตั้งอยู่ห่างออกไป
และตอนนี้เราจะรับรู้ถึงระยะห่าง ซึ่งก็คือ
อากาศธาตุ .. ธาตุอากาศ
ช่องว่างที่อยู่ระหว่างวัตถุหมายเลขหนึ่ง กับ วัตถุหมายเลขสอง
พอเรารู้สึกถึงอากาศว่าง
ระหว่างวัตถุหมายเลขหนึ่ง กับ วัตถุหมายเลขสอง
เหมือนห่างๆ กัน
ตอนนี้ น้ำอบดูนะว่า น้ำหนักความรู้สึกความเป็นน้ำอบ
จะมีแค่ตอนที่พี่พูดชื่อน้ำอบ
แต่ว่าจิตจะรับรู้อยู่ว่า
ถ้าไม่มีกระทบทางหูเป็นชื่อ ‘น้ำอบ’ ขึ้นมา
ก็จะเป็นอะไรว่างๆ ใสๆ อยู่ เหมือนไม่มีตัวใครอยู่
คราวนี้ น้ำอบเดินไปครึ่งทางด้วยการลืมตา ..
(เดินไปครึ่งทาง)
ทีนี้ หยุดนิดหนึ่ง ดูระยะห่างระหว่างตัวเรากับกระจก
ทีนี้หลับตา ตั้งใจเดินช้าๆ ไม่ต้องรีบนะ
แล้วรับรู้ถึง(เท้า) กระทบ หนึ่ง สอง สาม สี่ ..
สี่ก้าว
ลองดูเลย หลับตา ..
(เดินหลับตาไปจนหยุดหน้าประตูกระจก)
แล้วหยุดเท้าเสมอกัน
คราวนี้โดยไม่ลืมตา เราสามารถรู้สึกถึงวัตถุหมายเลขหนึ่ง
ที่ตั้งอยู่ห่างก้าวหนึ่งกับกระจกได้
ถ้าหากเรารับรู้ถึงความเป็นวัตถุธาตุ
คือวัตถุหมายเลขหนึ่ง คือกายนี้
กับวัตถุธาตุหมายเลขสอง คือกระจก ได้ราวกับลืมตาเห็นอยู่
อันนี้ก็คือว่า จิตเริ่มมีความรับรู้ถึงความเป็นกาย
ที่ตั้งระยะอยู่ห่างกับบานประตูกระจก
โดยมีช่องว่างอากาศธาตุคั่นอยู่
ก็ดูว่าในอากาศที่ว่างๆ นี้ มีธาตุลม ผ่านเข้าผ่านออกในธาตุดินนี้
ธาตุดินหมายเลขหนึ่งอยู่
ถ้าหากว่ารู้สึกใสๆ
รู้สึกเหมือนไม่มีใครอยู่ในนี้ มีแต่ความเป็นธาตุดิน
เห็นไหม พอไม่มีความฟุ้งซ่าน
ทุกอย่างปรากฏชัดหมดเลย
ใจทั้งดวงจะรู้สึกใสๆ และเหมือนกับเห็นออกมาจากข้างใน
ว่ารูปพรรณสัณฐาน หัว ตัว แขน ขานี้
แตกต่างจากรูปพรรณสัณฐานแบนราบ ของกระจกอย่างไร
นี่เป็นการเดินจงกรม
เพื่อที่จะรับรู้ถึง ความเป็นธาตุหกออกมาจากจิตตรงๆ
ปกติเราเดินจงกรม
ต่อให้คิดถึงธาตุดินอย่างไร ก็ได้แต่ใช้จินตนาการเอา
แต่พอเราหลับตาปุ๊บ และมีสัมผัส ถึงความเป็นหัวตัวแขนขานี้จริงๆ
แล้วก็สัมผัสถึงอากาศว่างจริงๆ
สัมผัสถึงวัตถุที่อยู่รอบตัวได้จริงๆ
เราจะรู้สึกถึงความเป็นธาตุดินที่เสมอกัน
ยิ่งถ้าหากว่าจิตมีความใส ใจมีความเบา
ราวกับเปิดตาออกมาเห็นได้อย่างแจ่มชัด จะยิ่งมีความสัมผัส
คือจิตที่มีวิตักกะ วิจาระ
จะสัมผัสวัตถุ ทั้งหมายเลขหนึ่ง และ วัตถุหมายเลข
สอง สาม สี่
ได้ราวกับเอามือไปจับเลย แต่ไม่ได้สัมผัสแบบเอามือไปจับของ
จะเป็นสัมผัสแบบ จิตไปรู้สึกถึงความเป็นธาตุดิน
และจะรู้สึกว่า เราเข้ามาอยู่ในจักรวาลอันเป็นของหลอก
จักรวาลของธาตุหก
คราวนี้ทั้งหลับตานะ ลองกลับตัวมา ..
เปิดตา เห็นไหม ความรู้สึกที่เห็นโลกภายนอก ..
เอ้าหลับตาลง เปรียบเทียบ ตอนนี้ถ้าใจใสอยู่ ..
.. เอ้าตรงนี้ นึกมากเกินไป ..
เปิดตาใหม่ .. เวลาหลับตาลง จะมีภาพติดตาเกิดขึ้นมา
แล้วถ้าหากใจเราใส จะมีสัมผัส
ถึงสิ่งที่เป็นของจริงรอบนอก
ที่ยังจำได้ติดตา ปรากฏอยู่ด้วย
ลองหลับตาใหม่ .. ต้องไม่คิด ต้องไม่นึก
ต้องไม่หน่วงอะไรไว้ทั้งนั้น
แค่ทำความรู้สึก ตามที่เราจำได้ว่า
ภาพตรงหน้าปรากฏอย่างไร
ลืมตา .. ทีนี้เดินเข้ามา ..
กลับตัว หลับตา ..
หลับตา ด้วยอาการจำว่าเราเพิ่งเห็นอะไร
คราวนี้น้ำอบจะรู้สึกถึงจิตที่ใสๆ
ที่มีความเหมือนกับจิตทั้งดวง
พร้อมเห็นทะลุเปลือกตาออกไป
จะเป็นความเห็นอีกแบบหนึ่ง
ถ้ามีความคิดปนอยู่ จะเหมือนมีอะไรเคลือบ
เหมือนมีอะไรบัง
เมื่อกี้ตอนที่รอบสอง รอบสาม
ที่ไปยืนประจันอยู่กับบานกระจก
ตอนที่ใจนิ่ง เงียบ และรู้สึกใสจริงๆ เห็นอะไรบ้าง
ลองเล่าหน่อย
น้ำอบ : ครั้งแรกที่พี่ตุลย์ให้หลับตา
จะเห็นเหมือนกับร่างกาย
เห็นตัวธาตุดิน ที่ยืนอยู่กับกระจก
และตู้ทั้งสองข้าง
ที่ผนังเท่ากันหมดเลยค่ะ เสมอกัน
ไม่ได้มีความเป็นคน ไม่ได้มีความเป็นกระจก
ไม่ได้มีความเป็นตู้ แต่เป็นแค่อะไรสักอย่างที่อยู่ตรงนั้นเห็นแบบนั้นจริงๆ
พี่ตุลย์ :
มีความเป็นรูปธรรม .. รอบสุดท้ายนี่รู้สึกอย่างไร
น้ำอบ : เหมือนใจเบา
ไม่มีอะไร ว่างๆ เบาๆ
แต่ตอนแรกที่เห็น ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น
พอแค่พี่ตุลย์ให้หลับตา
ให้ดูความเป็นธาตุดิน ระหว่างตัวที่หนึ่งกับตัวที่สอง
พอแค่นั้น ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น น้ำตาไหลๆๆ
แต่ข้างในก็บอกว่า เป็นแค่สภาวะ
แต่จิตก็พยายามปรุงต่อ
พี่ตุลย์ : พี่ถึงบอกว่า
มีความฟุ้งขึ้นมา มีความปรุงขึ้นมา
แต่รอบต่อๆ มา จิตเงียบนิ่ง แล้วก็ใส แล้วก็ไม่มีความคิด
ตรงนี้ ที่จิตเริ่มเห็นตัวเองเป็นวิญญาณธาตุ
พี่อยากให้น้ำอบลองไปซ้อมอย่างนี้ดู
เปิดคลิปนี้ แล้วก็ดูซ้ำไปซ้ำมา
ทำไปด้วยฟังไปด้วยอีก
แล้วดูว่าผลเป็นอย่างไร
______________
เดินจงกรมหลับตา : คลิปแรก
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=vaR5bRaoCf8&t=หนึ่งสอง68s
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น