วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

วิปัสสนานุบาล EP 83 (เกริ่นนำ) : เหตุผลที่ควรสวดมนต์ 28 ก.พ. 65

EP 83 |28 กุมภาพันธ์ 2565

 

พี่ตุลย์ : อรุณสวัสดิ์ครับ

เป็นวันเริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ ที่เราทุกคนได้มาเจริญสติด้วยกันนะครับ

 

ยิ่งวัน ทุกอย่างยิ่งง่ายขึ้น พอเข้าฝักแล้ว

.. เริ่มจากเข้าจุดก่อน ถ้าเริ่มที่จะฝึกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน

พร้อมกับหายใจออก หายใจเข้า ตามสูตรอานาปานสติ

ก็เกิดมีความสามารถขึ้นมาที่จะรู้ภายใน รู้ภายนอก

 

รู้ภายใน คือใจ

รู้ภายนอก คือ ลมหายใจ ที่ผ่านเข้าผ่านออก

.. มันผ่านจากข้างนอกเข้ามา

แล้วก็ผ่านออกไปกลับคืนสู่ความว่างเหมือนเคย

 

แล้วก็รู้ผัสสะกระทบอะไรต่างๆ

ที่ทำให้จิต ภาวะภายในแปรปรวนไปอย่างไร

ในขณะเดียวกัน ก็มีความสามารถ

ที่จะอาศัยลมหายใจเป็นเครื่องกำกับสติ

เริ่มจากง่ายๆ พอเข้าจุดแล้ว เสร็จแล้วก็ถึงจุดที่จะเข้าฝัก

 

เข้าฝักคือ อะไรๆ ก็ง่าย

รู้ลมหายใจนิดหน่อย ก็เกิดความรู้สึกว่า จิตมีความใส

ใจมีความเป็นสมาธิขึ้นมา

 

แล้วเรามาเดินจงกรมกัน

เริ่มจากรู้เท้ากระทบให้มีวิตักกะ ให้ใจสงบ

มีวิจาระ จากนั้นก็เขยิบขึ้นมาเรื่อยๆ

ตอนนี้ เดินจงกรมหลับตา ก็กลายเป็นเดินแบบปิดไฟ

 

อะไรๆ ก็ดูเหมือนกับแตกต่างไปเรื่อยๆ

แต่ความรู้สึกจะง่ายลง ง่ายลงๆ

 

พอความรู้สึกง่ายลง หลายๆ คนพบว่า อธิบายยากนะ

ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิตใจของเราบ้าง

 

ความยากที่จะอธิบาย ทำให้ย้อนกลับไปเห็นว่า

พระพุทธเจ้าท่านทรงเป็นผู้ฉลาด ในการจำแนกธรรมขนาดไหน

 

ที่เรามาใช้คำศัพท์ ที่เรามาใช้คำเรียก

ตั้งมุมมองให้เห็นกายใจโดยความเป็นขันธ์ห้า หรือธาตุหกนี่

ไม่ใช่ว่ามีใครคนใดคนหนึ่งมาคิดเอาเอง

พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติขึ้นมาทั้งนั้น

 

และการที่เรารู้ตามเห็นตามพระองค์

ก็ไม่ใช่จะสามารถมาจำแนกอธิบายได้ละเอียดลึกซึ้ง แบบที่พระองค์ทำ

 

ก็ทำให้ย้อนกลับไปเห็นได้นะครับว่า

พระองค์ทำของยาก

ให้กลายเป็นของง่ายสำหรับพวกเราไว้แล้วอย่างไร

ไม่สมควรที่ใครจะไปอวดอ้างว่า ตัวเองเข้าใจธรรม

มีความรู้ลึกซึ้งในธรรมขึ้นมา

โดยที่เป็นความสามารถของพวกเรากันเอง หรือของคนใดคนหนึ่ง

 

แต่เป็นงานที่พระศาสดาสร้างไว้ทั้งนั้น

 

เรื่องความสำคัญผิด มีมาทุกยุคทุกสมัย เป็นเรื่องน่าหนักใจ

บางคนใช้คำว่าขันธ์ห้า

หรือใช้คำว่าอะไรที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้

แต่บอกว่าตัวเองค้นพบเอง คิดค้นเอง

ราวกับว่าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

หรือเป็นพระพุทธเจ้ามาเกิดใหม่เสียเอง

 

ตรงนี้ เป็นจุดที่เราน่าจะรีบทำไว้ในใจตั้งแต่เนิ่นๆ ว่า

สิ่งที่เราได้มา สิ่งที่เราประสบอยู่

เป็นสมบัติที่พระพุทธเจ้าท่านประทานไว้ให้ทั้งนั้น

 

ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมเราจึงควรสวดมนต์กันนะครับ

 

เพราะถ้าไม่สวด ไม่ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า

บางทีก็ลืม เหมือนลูกลืมบุญคุณของพ่อแม่

ลูกลืมบุญคุณของผู้ที่สั่งสอนเลี้ยงดูเรามา

 

ตรงที่เป็นความลืม เป็นธรรมชาติของมนุษย์

ที่ไม่ค่อยมีความสามารถในการทบทวน

 

แต่พวกเราขอให้จำไว้แม่นๆ เลยว่า

อะไรๆ ที่เราได้มา อะไรๆ ที่ได้ดิบได้ดีมา

ไม่ใช่ด้วยความบังเอิญครับ

 

แล้วก็ไม่ใช่เพราะมีคนยุคนี้ได้มาสร้างสรรค์ หรือว่าริเริ่ม

หรือว่ามาปรุงแต่งอะไรในภายหลัง

แต่เป็นพระพุทธเจ้าทั้งนั้น

 

ถ้าใครลืม ถ้าใครไม่ทบทวน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนสวดมนต์เป็นโอกาสนะ

ถามใจตัวเองว่าเราสวดไป

.. นี่ รู้ไหมว่า เรากำลังขอบคุณพระพุทธเจ้า ที่ท่านให้ธรรมะเรามา

 

ยิ่งธรรมะในตัวของเราเบ่งบานมากขึ้นเท่าไหร่

ยิ่งของที่ปรากฏเป็นประสบการณ์ภายในง่ายลงเท่าไหร่

ยิ่งต้องเร่งไประลึกว่า จริงๆ ไม่ใช่ง่ายนะ ไม่ใช่เจอกันได้ง่ายๆ

ถึงแม้เราจะบากบั่นพากเพียรขนาดไหน

ก็คงไม่เท่ากับที่พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญเพียร .. หกพรรษา

 

แล้วก็ไม่ใช่ง่ายนะ ไม่ใช่ด้วยความสุข

ท่านเต็มไปด้วยความทุกข์กลางป่า

อยู่คนเดียวตามลำพัง หกปี ไม่ใช่น้อยๆ

ลองนึกดูว่านานขนาดไหน

 

และการที่พวกเราได้ดีมาจากท่าน

เพียงแค่มาสวดมนต์ แล้วระลึกถึง

ถ้าทำไม่ได้ ก็ในที่สุดจะเหมือนกับอีกหลายๆ คน ที่ลืม

นึกว่าตัวเองเป็นผู้ค้นพบธรรมะ หรือว่าเอาธรรมะมาเปิดเผย

เอาธรรมะมาแจกแจง

 

พวกเราก็อย่าลืมก็แล้วกัน

 

เรามาเริ่มเช้าวันนี้จากการสวดมนต์ร่วมกันครับ

 

(สวดมนต์บทอิติปิโสร่วมกัน)

 

----------------------

(ปิดท้าย) หลายคนคิดว่าทำได้ดีแล้ว กะเกณฑ์ให้ตัวเองต้องได้ดี

แล้วก็วนเวียนกับความอยากอะไรแบบนี้

ได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา

 

พอมองย้อนไป

.. คือต้องผ่านมาจุดหนึ่งถึงจะมองย้อนไปได้ว่า

เป็นเรื่องเหลวไหล ไม่สมเหตุสมผล

เป็นเรื่องของคนที่ยังกระดูกอ่อน ..

 

ไม่ได้ว่าใคร แต่จะรู้สึกจริงๆ ว่า บนเส้นทางของการเจริญสติ

เรากำลังสู้กับกิเลส .. ช่วงต้น กระดูกอ่อนกันหมด

 

ความอยากก้าวหน้า อยากเอาดี

ตัวนี้ที่ขวางตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงขั้นใกล้เส้นชัย เป็นพระอรหันต์เลย ..

ที่เราทำๆ อยู่ อยู่ในขั้นที่ต้องทำความเข้าใจมากๆ

 

ถ้าเราจะเดินแบบปลอดโปร่ง มีฉันทะจริงๆ

อย่าไปกะเกณฑ์ว่าจะเอาเมื่อนั้นเมื่อนี้

วันนี้ได้แค่นี้ พรุ่งนี้ต้องได้ขั้นนั้น

หรือ ได้สมาธินิดๆ หน่อยๆ

ก็คิดว่าต้องได้ฌาน ได้ญาณ ... แบบนี้ เหนื่อย

 

ในระยะยาว จะเหนื่อย เพราะจะวนกลับมาที่เก่า

ที่รู้สึกใจเย็นเป็นพ่อพระแม่พระ

วันดีคืนดี โวยวายเป็นแม่ค้าปากตลาด

ทำให้เรารู้สึกว่าไปไม่ถึงไหน

 

ฆราวาสคือ part-time ไม่ใช่ full-time

ไปด้วยความคงเส้นคงวา

 ดีกว่าไปตั้ง spec ว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้นะ

_____________

วิปัสสนานุบาล EP 83

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิปเต็ม : https://www.youtube.com/watch?v=vC_vI2zf2CY

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น