วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

วิปัสสนานุบาล EP 84 (เกริ่นนำ/ปิดท้าย) : อาจิณณกรรม / ฉันทะ 1 มีค. 65

EP 84 | อังคาร 1 มีนาคม 2565

 

พี่ตุลย์ : อรุณสวัสดิ์ครับทุกท่าน

วันนี้มาพบกัน เช้าวันอังคาร ตั้งแต่เก้าโมงถึงเที่ยง

 

คนเราเวลาจะตาย

ถ้าหากว่าดูจากสถานการณ์ทางจิตของคนทั่วไป

เอาแน่เอานอนไม่ได้นะ

แล้วแต่ว่าใครเอาจิตไปผูกไว้กับอะไรโดยมาก

 

แล้วสิ่งที่จิตของคนผูกอยู่โดยมาก ก็ขอให้สังเกตคือ

เวลาที่อยู่ระหว่างวัน คิดอะไรโดยมาก

หรือมีความเคยชิน ที่จะพูด ที่จะคุยอะไรโดยมาก

 

อาการที่ใจไปคลุก ใจไปวนเวียนคอยจะเข้าหา

นั่นแหละ ที่เรียกว่าเป็น อาจิณณกรรม

 

แล้วคนยิ่งใช้ชีวิตมาเรื่อยๆ ก็จะยิ่งมีความผูกพัน

มีความผูกมัดอยู่กับนิสัยทางใจ อย่างไรอย่างหนึ่ง

เช่น คิดมากไม่เป็นเรื่อง

 

ตอนยังหนุ่มยังสาว อาการคิดมากนั้น บางทีตัดใจได้

แต่ยิ่งอายุมากขึ้น แล้วสะสมความเคยชินแบบนั้นมา

.. ไม่มีนะ ที่พออายุมากขึ้นแล้วเห็นโลกมากขึ้น

ผ่านร้อนผ่านหนาวมากขึ้น แล้วจะเบื่อไปเอง

 

ต้องมีเหตุอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย

เหนื่อยหน่าย อยากร้างลาจากนิสัยเดิมๆ

 

หรืออีกทีหนึ่ง คือสะสมยิ่งขึ้นๆ ทุกวัน

จนกระทั่งกลายเป็นคนขี้บ่น จู้จี้ ติดวนอยู่กับความคิดเดิมๆ

ปักใจอะไรแล้วไม่ยอมเปลี่ยน

ไม่ว่า จะด้วยการใช้เหตุผล

ไม่ว่าด้วยการใช้หลักฐานอะไร ไม่สน

เอาอารมณ์ตัวเองเป็นหลักฐาน เอาอารมณ์ตัวเองเป็นที่ตั้ง

ประเภทแบบนี้ที่เราเห็นกันโดยมาก

ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเอง

 

ทุกอย่างจะเลวร้ายลง ถ้าหากสะสมอารมณ์ลบไว้มากๆ

นานเดือน นานปีไป

 

ทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากสะสมอารมณ์ที่เป็นบวก ที่เป็นกุศล

วันต่อวัน มีการพิจารณาตัวเอง มีการติตัวเอง มีการเตือนตัวเอง

มีการคิด ที่จะปรับตัวเองเข้าสู่จุดที่เป็นกุศลในชีวิต

 

อันนี้ เรียกว่าเป็นสิ่งที่จะติดอยู่ในใจ ในช่วงท้ายๆ

คือรวมแล้ว สร้างหลุมดำ หรือว่าหลุมขาวไว้ มีพลังหนักแน่นมากกว่ากัน

 

นี่แหละ ที่ช่วงท้ายๆ จิตจะไปปักอยู่กับหลุมดำหรือหลุมขาว

 

ถ้าปักอยู่กับหลุมดำ ก็จะมีแต่เรื่องคิดร้าย คิดลบ

ตั้งแต่เด็กๆ มานึกว่าลืมไปแล้ว ก็ผุดขึ้นมาเป็นภาพต่อเนื่อง

แล้วก็เป็นสายยาวมาจนกระทั่งโต จนกระทั่งเป็นหนุ่มเป็นสาว

จนกระทั่งแก่เฒ่า จะเห็นเลย เป็นอารมณ์ลบ

 

เพราะว่า หลุมดำ ถ้าหากไปเกิดช่วงท้ายๆ ชีวิต

จะผลิตเอาสิ่งที่ไม่ดี มาเป็นหลักฐานยืนยัน

ให้จิตรู้ว่าทั้งชาติ ทั้งชีวิตนี้มีแต่เรื่องแบบนี้

 

แต่ถ้าหากว่าเป็นหลุมขาว ก็จะดึงดูดเอาเรื่องดีๆ มา

บอกว่าชาตินี้ทำไว้ดีแล้ว ทำไว้พอสมควร ที่จะสบายใจ

รู้สึกอุ่นใจในช่วงท้ายๆ และรู้สึกปลอดภัย เดี๋ยวจะได้ไปดี

 

ตรงนี้ ที่เขาเรียกว่าเป็น ปุญญาภิสังขาร กับ อปุญญาภิสังขาร

 

ปุญญาภิสังขาร คือหลุมขาว

ที่จิตจะรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดเข้าหาสิ่งที่ดี ภาวะที่ดี

 

ส่วนหลุมดำ .. อปุญญาภิสังขาร

ก็จะดึงดูดเอาภาพความทรงจำ หรือปรุงแต่ง ให้จิตอยู่ในภาวะมั่วซั่ว

พูดง่ายๆ คือ มั่วซั่ว สับสน ร้อนรน เต็มไปด้วยความระอุ

รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะได้รับอันตรายใหญ่หลวง ก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ

 

เป็นครั้งเดียวในชีวิตที่จะมีอะไรแบบนั้นปรากฏให้เห็น

 

ถ้ามีอะไรแบบนั้นปรากฏให้เห็นบ่อยๆ

รับรองคนไม่ทำบาป ไม่ทำกรรม และไม่คิดมากกัน

จะคิดดีแล้วก็คิดน้อยๆ คิดให้เข้าจุดทั้งนั้น

 

แต่ทีนี้ ถ้าเราทำได้ดีกว่านั้น

คนที่เจริญสติ ระหว่างมีชีวิตอยู่ อาศัยกายนี้ กายแบบมนุษย์

อาศัยจิตสำนึกแบบมนุษย์ ใจแบบนี้

มาเป็นเครื่องพิจารณาว่าอะไรๆ เกิดจากเหตุปัจจัยไม่เที่ยง

สักว่าเป็นธาตุหก สักว่าเป็นขันธ์ห้า

 

ตอนตาย ก่อนจะตาย

ถึงแม้ว่ายังไม่เคยรู้จักมรรคผลมาก่อน

ยังไม่เคยเห็นว่านิพพานเป็นอย่างไร ก็จะได้เห็น

เพราะว่าก่อนตาย จิตจะหนักแน่น

มีความแน่วเข้าไปในสิ่งที่ตัวเองสร้างไว้

 

ถ้าเจริญสติ ไม่ได้เรียกว่าหลุมขาว แต่เรียกหลุมใส

หลุมของความโปร่งแสง หลุมของความโปร่งเบา

หลุมของความไม่เอาอะไร จิตไม่ไปเกาะกับภาวะไหนๆ อีก

 

ตัวนี้ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในขันธสูตร ธาตุสูตรว่า

ใครก็ตามเห็นกายใจโดยความเป็นขันธ์ห้าได้เรื่อยๆ

ไม่มีทางตายก่อนได้โสดาบัน

 

หรือ ใครก็ตาม เห็นกายใจโดยความเป็นธาตุหกได้

โดยเป็นปกติด้วยนะ คือเห็นเรื่อยๆ เห็นเป็นประจำทุกวัน

จนติดอยู่ในสัญญาขึ้นใจ

อย่างนี้ ก็ไม่มีทางตายก่อนได้โสดาบันเช่นกัน

 

พูดง่ายๆ ว่า ถ้าเราเจริญสติ

อาศัยกาย อาศัยใจเป็นเครื่องมือนี้ไว้

ถึงแม้ว่าจะลุ่มๆ ดอนๆ บ้าง ทำเล่นๆ บ้าง เอาจริงเอาจังบ้าง

แต่ขอให้ติดอยู่ในจิตจริงๆ เถอะ

 

ขอให้มีความรู้สึกเข้ามาเรื่อยๆ ว่า

กายนี้ใจนี้ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน

เกิดจากเหตุปัจจัย และต้องเสื่อมไปเป็นธรรมดา

 

ภาวะที่เราสร้างหลุมใสขึ้นมา

จะกลายมาเป็นพลัง ที่เหนือบุญเหนือบาป

ตอนช่วงท้ายๆ ของชีวิต จะไม่ไปคิดเรื่องอื่น

จะไม่ไปคิดเรื่องอะไรที่ต้องทิ้งไว้ในโลก

 

แต่จะคิด หรือให้ความสนใจ ให้ความใส่ใจ มีเป้าหมายชัดเจนว่า

จะดูความเป็นกายนี้ ความเป็นใจนี้ในวาระสุดท้ายว่า

จะแสดงความไม่เที่ยงอย่างไร

จะแสดงความไม่ใช่เราอย่างไร

จะสนใจอยู่แค่นั้น

 

แล้วพอจะตาย จิตก็เข้าวิถีที่จะถึงมรรคจิต ผลจิต

 

ตรงนี้ ก็สรุปได้ว่า ถ้าหากเป็นคนธรรมดาทั่วไป

ตอนตาย จะไม่มีเป้าหมาย ไม่มีความชัดเจนว่าเราจะนึกถึงอะไร

 

ถ้าหากว่าสะสมบุญมามากพอ ก็เหมือนสร้างหลุมขาวรอไว้

ถ้าสะสมบาปมามากกว่า ก็เป็นการสร้างหลุมดำไว้รอท่า

 

ส่วนคนที่เจริญสติ มีความชัดเจน มีเป้าหมาย

ว่าชีวิตนี้ ขอเอามรรคเอาผล

ก็จะจดจ่ออยู่ตรงนั้นว่า ทั้งชีวิตมายังไม่ได้มรรคผล

ขอให้ได้เป็นคนที่สามารถมาพิจารณากายใจ

โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นอนัตตาก่อนตายก็ยังดี

 

ถ้าจิตแน่วเข้าไป

อย่างน้อยที่สุดก็ได้โสดาฯ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

บางคนนี่ อาจอยู่แถวๆ นี้ ในห้องนี้ก็ได้

บางคนก็อาจพิจารณากายใจ โดยความเป็นอนัตตามาบ้าง ก่อนตาย

 

อาจยังไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็มีทุน คือมีจิตพร้อมปล่อย พร้อมวาง

ขอแค่มาดู มารู้ จนเกิดสมาธิ

ก็อาจเป็นชาติสุดท้ายก็ได้ ในอัตภาพนี้

 

อย่างในธรรมบท มีอยู่บทหนึ่ง ของพระอรหันต์

ท่านกล่าวไว้บอกว่า ถ้าเธอเห็นกายนี้ใจนี้ โดยความเป็นของไม่เที่ยง

ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่บุคคลเราเขา

ร่างนี้ ในที่สุดจะวางเหมือนขอนไม้ทิ้งเปล่าอยู่ในโลก

แล้วก็อัตภาพนี้จะเป็นอัตภาพสุดท้ายของเธอ

 

อันนี้นะที่ท่านผ่านกันมาแล้ว

แล้วท่านพบความจริงเกี่ยวกับกายใจมา ก็มาบอกต่อ

 

ถ้าหากว่าเราๆ ท่านๆ ได้เจริญรอยตาม

อย่างน้อยที่สุดอุ่นใจได้ว่า

อย่างไรๆ ก็ต้องได้ดิบได้ดีกับท่านเขาไป

--------------------

 

(ปิดท้าย) แต่ละคน จะทราบด้วยตัวเอง

อยู่ในห้องนี้มาเห็นคนอื่นมา แล้วก็ตัวเองปฏิบัติไปด้วยนี่

จะมีอยู่จุดหนึ่ง ทุกคนแหละ พอไปถึงความใสความเบา

จะรู้สึกว่ามีสิทธิ์กันทุกคน

จะรู้สึกว่าเป็นไปได้นะ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตเราขึ้นมาจริงๆ

 

ทีนี้ ที่จะไปถึงตรงนี้ ไม่ใช่แค่อาศัยรอจังหวะฟลุ้คๆ

ทุกคน จะอยากให้มรรคผลลอยมาจากอากาศ

หล่นตุ้บลงกลางหัวใจเรา

 

แต่ในโลกความเป็นจริงคือ

เราต้องทำ เราต้องเพียร เราต้องมีฉันทะ

ต้องมีแรง ที่จะขวนขวาย เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

 

ไม่ใช่ว่าไปตั้งสเปคไว้ อีกสิบเมตร เดี๋ยวอีกสองกิโล แล้วจะถึง

แบบนั้นมีแต่ในจินตนาการ

แล้วบางคนต้องมีจินตนาการแบบนั้นไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติ

กว่าจะถึงจริงๆ

 

แต่ถ้าหากเรามีความเบา มีความใส

มีความเพียร มีฉันทะไม่เลิก

และไม่ยอมแพ้กับกิเลสที่มาขวาง

ไม่ยอมแพ้แม้กระทั่งกิเลสที่มีความหยาบ

อยากจะเอาเดี๋ยวนี้เลยนี่

 

ในที่สุด ทั้งหลายทั้งปวงจะเข้าสู่ภาวะสงบ

สงบทางใจ สงบจากความอยากแบบโลกๆ

และสงบจากความอยาก แม้กระทั่งจะเอามรรคเอาผล

 

ถึงตรงนั้น ที่จิตมีความเป็นไปเอง

ที่มีความเป็นอุเบกขาอย่างยิ่ง

ที่มีความเป็นอุเบกขาในลักษณะอยากใคร่พ้นไป

ที่เรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ ถึงจะเห็นตัวเอง แบบหนึ่ง

 

ชีวิตจะเป็นไปอีกแบบหนึ่งว่า ไม่ใช่เพื่อใคร

ที่ทำอยู่นี้ไม่ใช่เพื่อเอาอะไร แต่เพื่อตรงนี้แหละ

ตรงความเข้าใจที่อยู่ในวินาทีนี้ว่า นี่ไม่ใช่เรา

 

เมื่อมีวินาทีนี้ที่ไม่ใช่เรา มากขึ้นเรื่อยๆ

ต่อเนื่องกระทั่งจิตมีความเป็นปึกแผ่น

สามารถรวมดวงได้โดยความเป็นไม่ใช่เรา

นั่นแหละ ที่สักกายทิฏฐิจะขาดจริง

 

จะไม่พูดแบบเก๋ๆ ว่า ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน

เพราะของแบบนี้เป็นกำลังไม่ได้นะ

แต่ละคนต้องบิ๊ว (built) กำลังขึ้นมาเอง

 

แต่จะพูดว่าที่ทำกันอยู่แล้วนี่ .. ทำต่อไปเถอะ

เอาจริงๆ มีสิทธิ์กันทั้งนั้นแหละ ทุกคนแหละ

 

แต่ว่าสิทธิ์นั้นคุณจะได้มา หรือไม่ได้มา

ขึ้นกับ ฉันทะ ขึ้นกับความเพียรที่จะต่อเนื่องแค่ไหน

ไม่ใช่ว่ามีสิทธิ์แล้ว อย่างไรๆ ต้องได้แน่

ไม่ใช่แบบนั้นเลยนะ

 

ที่มีสิทธิ์แล้ว แล้วหลุดไปอีกเป็นพันเป็นหมื่นชาติ มีเยอะแยะ

มีให้เห็นมากมายในสังสารวัฏนี้ .. ก็เพียรกันต่อ

แล้วก็มีกำลังทั้งทายกายทางใจ เพื่อที่จะไปให้ถึงก็แล้วกัน

_____________

วิปัสสนานุบาล EP 84

วันที่ 1 มีนาคม 2565

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิปเต็ม : https://www.youtube.com/watch?v=Jj95ul2tiac

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น