วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

วิปัสสนานุบาล วันพิเศษ : EP68

*** เนื่องจากเป็นการถอดความแบบ Real time ดังนั้นอาจไม่ได้ครบทุกคำพูดนะคะ ***


หนึ่ง

 

พี่ตุลย์ : ตอนหยุดพิจารณาธาตุ ถ้าจิตยังไม่นิ่ง ยังเร่งอยู่  

ให้รู้ว่าอาการปรุงแต่งจิต ยังไม่พร้อมรู้สึกถึงความเป็นธาตุ

 

พอเราหยุดค้างไว้ สิ่งที่เราต้องรับรู้คือ

หลับตาลง .. ทำความรับรู้ถึงฝ่าเท้า ที่วางราบกับพื้นอันดับแรกเลย

จะได้แน่ใจว่า มีจุดเริ่มต้นในการรู้ชัดๆ

คือฝ่าเท้า ที่เป็นธาตุดินฝั่งของเรา

ที่รู้สึกว่ามีตัวเราอยู่ เป็นวัตถุหมายเลขหนึ่ง

 

จากนั้นวัตถุหมายเลขสอง

คือพื้น ที่รับน้ำหนักทั้งหมดของวัตถุหมายเลขหนึ่ง

 

แค่รับรู้ได้ ธาตุดินหมายเลขหนึ่ง และสอง กระทำกันอย่างไร

มีธาตุดินหมายเลขหนึ่ง ตั้งฉาก

ธาตุดินหมายเลขสอง วางราบในแนวราบ     

พอใจไม่มีอาการรีบเร่ง

ก็ดูว่าใจแบบนั้น มีอาการพร้อมที่จะรู้ว่า

ท่ายืนหัวตัวแขนขานี้ มีความคงรูปคงร่างอยู่

ไม่ต้องลังเลสงสัยอะไร เพราะคงรูปแบบนี้แน่ๆ มีรูปพรรณแบบนี้แน่

 

จากนั้น ดูว่าธาตุดินที่ยืนเผชิญอยู่กับบานประตู

บานประตู ก็มีความคงรูปคงร่างเหมือนกัน

ถ้าอาศัยเทียบเคียง แล้วรู้สึกได้ว่า

ธาตุดินหมายเลขหนึ่ง และธาตุดินหมายเลขสอง

กินที่ว่าง และมีลักษณะคงรูปร่างเหมือนกัน

ก็จะรู้สึกว่า วัตถุหนึ่งนี้ มีช่องว่างจากวัตถุสองประมาณไหน

จะรู้สึกถึงอากาศว่างขึ้นมา จะรู้สึกธาตุดินที่มาเผชิญกัน

 

ถ้าจิตฟุ้งๆ ก็รู้ว่าจิตฟุ้งๆ ซึ่งจะไม่พร้อมรู้แบบชัดๆ

ก็กลับมาดูได้ว่า สิ่งที่ฟุ้งๆ ฝุ่นๆ อยู่

ทำให้ธาตุดินไม่ชัดเจน ดูพร่าเลือน

 

จากนั้น กลับหลังหัน ดูนะ พอเดินไป ... เริ่มเดินเลย

พอเดินใหม่ จะคืนสติกลับมาว่า

สิ่งที่เรากำลังรับรู้ เป็นอะไรที่เดินไปแบบบทื่อๆ เหมือนหุ่นกระบอก

 

คราวนี้หยุดยืนใหม่

พอรู้สึกถึงช่องว่างระหว่างร่างกายนี้กับประตูได้

จะรู้สึกถึงความเป็นวัตถุที่เสมอกัน

วัตถุหนึ่งมีหัว ตัว แขน ขา

อีกวัตถุหนึ่งมีลักษณะเรียบๆ มีลักษณะกั้นขวาง

พอมายืนขนานกัน รู้สึกถึงช่องว่างใสๆ

เห็นไหม เหมือนมองทะลุเปลือกตาออกไป

รู้สึกระยะห่างวัตถุหมายเลขหนึ่ง และสอง ว่าห่างแค่ไหน

 

คราวนี้กลับตัวก่อนที่จะฟุ้ง พอเรารู้สึกได้ สัมผัสได้

สิ่งที่จะได้ในการเดินคือ รู้สึกว่าธาตุดินที่ปรากฏอยู่เมื่อกี้

ถูกแบกมาจากทางอื่น สวนทิศทางจากเมื่อกี้

 

เอ้า .. หันหลังกลับ

พอไปประจันกันอีกที เราจะรู้สึก

เห็นไหมว่าตอนนี้รู้สึกเหมือนใสๆ และธาตุดินนี้ปรากฏชัดขึ้น

แต่ในหัวมีอะไรที่ฟุ้งๆ บางๆ แต่ฟุ้งน้อยลง

 

ฟุ้งน้อยลง คือเห็นธาตุดินชัดขึ้น

ธาตุดินนี้ กับหมายเลขสอง อยู่ห่างกันประมาณนี้   

 

พอเกิดการเทียบเคียง จะเร้าให้เกิดการรับรู้ว่าธาตุดินสองฝั่ง

เป็นอะไรที่คงรูปร่าง กินพื้นที่ว่างเสมอกัน

 

สิ่งที่ได้ในแต่ละรอบ คือสังเกตว่า จิตจะนิ่งขึ้นใสขึ้น

และรู้ถึงความเป็นธาตุดินได้ถนัดขึ้นไหม

 

ถ้าจุดยืนเป็นจุดที่เร่ง หรือเร้าให้เกิดการรับรู้  

ว่า นี่ธาตุดินฝั่งหนึ่ง และนั่นคืออีกฝั่ง

จะทำให้การเดินจงกรมของเรา

เป็นไปเพื่อรู้เห็นว่า กายนี้ใจนี้สักว่าเป็นธาตุหก

 

ขึ้นต้นง่ายสุดคือ

เห็นกายโดยความเป็นธาตุดิน เสมอกันกับวัตถุชิ้นอื่นรอบตัว

จะพลอยทำให้จิตเห็นว่า กายนี้สักแต่เป็นวัตถุชิ้นหนึ่งเช่นกัน

 

หลักการคือพอยืนนิ่ง อย่ารอให้เกิดการฟุ้งเยอะ

พอเริ่มรู้สึกถึงความปรุงแต่งจิต หรือใจขุ่น ก็กลับตัวเดินมาได้เลย

แต่ต้องแน่ใจก่อนว่า เราไปเทียบธาตุดินกับธาตุดินด้วย

 

พอใจเริ่มเปิดๆ ใสๆ รับรู้เบื้องหน้ากว้างๆ

ใจแบบนี้ จะมีความสามารถรับรู้ได้

ด้านที่เราเดินจากมา จะดูห่างออกไป

พอกลับหลังหัน ด้านที่เราเพิ่งเผชิญ จะมาอยู่ข้างหลัง

เดินออกมา จะรู้สึกถึงความห่างออกจากธาตุดินหมายเลขสองเมื่อกี้

 

สิ่งเหล่านี้ จะทำให้จิตอยู่ในอาการเปิดรอบ

หยุดนิ่งนิดหนึ่ง ให้รู้สึกว่า หัวตัวแขนขาอยู่ในท่ายืน

และประจันอยู่กับกระจก ที่มีความเป็นธาตุดินเสมอกัน

 

ตอนใจมีลักษณะปรุงแต่งฟุ้งๆ ขึ้นมา เรารู้ให้ได้ก่อน

ถ้าเห็นว่าที่ฟุ้งๆ อยู่บนสุดของธาตุดิน

และเรารับรู้ได้ว่ามันคลุ้งๆ อยู่บนสุดของธาตุดิน

มันจะค่อยๆ สลายตัวไป

 

พอใจใสขึ้นนิดหนึ่ง เทียบเคียงเลยว่า

นี่หัวตัวแขนขา ธาตุดินหมายเลขหนึ่ง

กระจก เป็นธาตุดินหมายเลขสอง

ถ้าจิตเปิดเต็ม จะรู้สึกเลย ฝั่งหนึ่งอยู่ใกล้ อีกฝั่งอยู่ไกล

เพียงแต่จะเป็นด้านไกลจากเบื้องหลัง หรือเบื้องหน้าเท่านั้นเอง

 

 

ตอนฟุ้งพิจารณาด้วยว่ามีอะไรฟุ้งๆ ขึ้นมาบนสุดของธาตุดิน

และถ้าใจใสได้ ใจรู้สึกเปิดๆ

เมื่อกี้จะมีบางจังหวะ

แบบนั้นคือ รู้ว่าเบื้องหน้าก็อย่างหนึ่ง เบื้องหลังก็อย่างหนึ่ง

แต่จะรู้แค่รางๆ ซึ่งนี่เราติวกันแบบเบื้องต้น

แต่พอเข้าใจว่าเห็นอย่างไร ก็จะไปพัฒนาต่อเองได้

 

หนึ่ง : เมื่อกี้ฟุ้งเป็นส่วนใหญ่ แต่มีสงบอยู่บ้าง

ตอนที่เดินออกมา อ.บอกรู้สึกถึงวัตถุข้างหลัง

จะมีจุดมาร์กว่าต้องรู้สึกอย่างไรถึงจะถูก

 

พี่ตุลย์ : ตอนนี้อย่าเพิ่งกังวลว่าอันไหนถูกอันไหนผิด

รอบอุ่นเครื่อง ให้ผิดไปเลย

ถ้าผิดๆ ไป ถ้าถูกก็ให้รู้ไปว่าถูก

 

การเดินหลับตา เป็นอะไรที่สวนธรรมชาติ กับมนุษย์

โอกาสจะเดินแล้วถูกเลยมีต่ำ

แต่ถ้ามีจุดในใจที่แม่นยำว่า

จะเดินไปเพื่อรับรู้ธาตุหกของกายใจนี้ได้ชัด

จะทำให้เราเกิดความเข้าใจมากขึ้น

จากการลองผิดลองถูก และการดูคนอื่น

 

ทีนี้ ต้องเข้าใจตัวเองก่อนว่า เราฟุ้งเยอะ

โอกาสเห็นกายใจโดยความเป็นธาตุ มีน้อยหน่อย

 

แต่ประเด็นคือ ถ้าหากเราฝึกสังเกตอย่างที่ชี้ให้ดู

ตอนหยุดยืน ให้มีหลักการนิดหนึ่งว่า

อยู่นิ่งๆ ดูว่าใจใสหรือขุ่น

 

ใสรู้ว่าใส ขุ่นยอมรับว่าขุ่น

ตัดผมสั้นก็ช่วยได้นะ ถ้าผมยาว จะหนักๆ หัว

แต่ถ้าหัวเบา หัวโล่ง จะทำให้ฟุ้งน้อยลง

 

อันดับแรก อย่าเพิ่งเอาผิดเอาถูก

เพราะผิดแน่ๆ ทุกคนจะผิดก่อนแน่

ทีนี้ลองผิดลองถูก เพื่อจับจุดสังเกต

อย่างเมื่อกี้หยุดประจันกับกระจก

รู้สึกความเป็นธาตุดินได้ไหม ถ้าไม่ได้แปลว่าใจขุ่นอยู่

 

แต่ถ้ารู้สึกว่า เหมือนมีไม้กระดานสองแผ่นมาใกล้กัน

และรู้สึกช่องว่างได้ ก็แสดงว่าจิตเราเริ่มใส ใจเริ่มเบา

และเวลาทำต่อ ก็จะต่อยอดมาจากการเริ่มเห็นความเป็นธาตุ

 

ทำได้แน่ ไม่ต้องกลัว แต่อาจมีความไม่แน่ใจในตัวเอง

ว่าอันไหนถูกผิด ลองให้ผิดเยอะๆ ไป

เดี๋ยวส่วนที่ถูกจะทยอยตามมาเอง

 

หนึ่ง : ตอนนอนเป็นอย่างไรบ้างครับ

 

พี่ตุลย์ : ยังฟุ้งอยู่ดี ถ้านอนแล้วฟุ้งเยอะๆ อาจตื่นมาเพลียได้

หรือบางคนถ้าฝืนอาจปวดหัว

ท่านอน หัวต้องโล่งใจต้องเบา

เวลาดันมืออย่าไปจ้องมากไป ให้มีความรับรู้เฉยๆ

ถ้าหัวยังใสเบาให้ทำต่อ แต่ถ้าเริ่มขุ่นก็ให้รู้ว่าขุ่น

ถ้าขุ่นไม่เลิกก็วางมือธรรมดา อย่าไปฝืน

ทำวันละนิดวันละหน่อย จนเราแน่ใจว่า

ทุกครั้งที่ทำ คือทุกคร้งที่รู้ลมหายใจด้วยหัวที่โล่งๆ

 

ปัญหาเราคือ ระหว่างวันห้ามใจไม่ให้คิดฟุ้งไม่ได้

และจริงๆ ก็ไม่ควรห้ามด้วย

 

ไปทดลองเลย อันดับแรก หัวเบาๆ ไปตัดผมสั้นๆ

แล้วลองดูว่าเวลาคิดแบบวนลูป หาทางออกไม่เจอ

ไปพยายามคิดเป็นเส้นตรงให้ได้ อย่าคิดวนด้วยอารมณ์

ไม่อย่างนั้นเวลาทำสมาธิ จะสับสน ไปไม่ถูก

คิดเป็นเส้นตรงให้ได้ทุกครั้ง จะเกื้อกูลกับสมาธิ

------------------

 

แม่ชีต้นข้าว

 

พี่ตุลย์ : พออยู่ในเพศบรรพชิต หรือมีความเป็นเนกขัมมะ

ไม่ว่าจะพระหรือชี หรือผู้ที่ปลีกวิเวก

โดยมีทิศทางของการทำสมาธิได้ผล

และสามารถรู้สึก ถึงความเป็นกายใจว่า

สักแต่เป็นธาตุ เป็นขันธ์ได้

 

จะมีเครื่องเสริมส่งที่แตกต่าง เรียกว่า ความสว่างแบบหนึ่ง

ความสว่างทางธรรม ความสว่างของยูนิฟอร์ม

ที่มาเสริมส่ง ทำให้รู้สึกถึงความปลอดโปร่ง เป็นเนกขัมมะ

 

เมื่อเราเกิดวิตักกะอย่างถูกต้อง

รู้สึกถึงจังหวะเท้ากระทบ เป็นจุดเริ่มต้น

เป็นจุดศูนย์กลางของสติที่ดำเนินไป

 

สิ่งที่จะตามมาเป็นธรรมดาคือ รู้สึกจิตมีที่ตั้ง

อยู่กับร่องกับรอย ทรงตัวเองอยู่ง่าย

 

ทีนี้ เวลาที่เราเจริญอานาปานสติ มาได้

จนกระทั่งจิตใสใจเบา

แล้วมาต่อยอดเป็นการเดินจงกรม จะหลับหรือลืมตา

จะรู้สึกความเบาใสของจิต ที่ได้งอกเงยมาจากอานาปานสติ

ช่วยให้เกิดการรับรู้ การทรงตัวได้แจ่มชัดขึ้น กว่าตอนปกติธรรมดา

 

ทีนี้ พอเรามาเริ่มที่จะฝึกแบบหลับตา

และตั้งทางไว้ชัดว่า เราจะเริ่มรู้ถึงความเป็นธาตุ

พอหยุดยืนนิ่งๆ เราทำความรับรู้ว่า

ธาตุดินในฝั่งที่ตอนนี้ เรารู้สึกเบาๆ สว่างๆ อยู่

ธาตุดินนี้มีความเป็นหัวตัวแขนขา

ทรงอยู่เป็นรูป ไม่เคลื่อนไม่แปรปรวน

 

เสร็จแล้วพิจารณาว่า เหมือนเอากระดานสองแผ่นมาตั้งคู่กัน

ธาตุดินฝั่งเรา ธาตุดินหมายเลขหนึ่ง

กับธาตุดินฝั่งอื่น ตัวผนังที่มีม่านกั้นอยู่นี่นะ

เราจะรู้สึกถึงความเป็นธาตุดินสองฝั่ง

โดยความเป็นสิ่งที่คงรูปร่างเสมอกัน

 

พอมีความคงรูปคงร่างเสมอกัน แล้วมองไปตรงๆ

เหมือนจะมองให้เห็นผนังฝั่งที่อยู่ตรงหน้า

จะรู้สึกถึงช่องว่างที่คั่น ระหว่างธาตุดินนี้และธาตุดินโน้น

 

เมื่อรู้สึกธาตุดินสองฝั่ง และรู้สึกมีช่องว่างคั่นอยู่

ที่จะเห็นตามเป็นธรรมดา คือลมหายใจ

ที่ผ่านเข้าออกในธาตุดินฝั่งนี้

 

เมื่อเห็นว่าธาตุดินสองฝั่ง คั่นด้วยอากาศว่าง

และมีลมหายใจ หรือธาตุลม

ปรากฏผ่านเข้าออก อยู่ในธาตุดินหมายเลขหนึ่ง

จะเห็นว่า ที่รู้สึกเป็นธาตุดินเสมอกันนี้

แตกต่างจากธาตุดินที่เราประจันอยู่อย่างไร

 

ก็คือในฝั่งหัวตัวแขนขา มีของหลอกมากกว่าฝั่งของผนัง

ฝั่งของผนังทื่อๆ เฉยๆ

แต่ธาตุดินฝั่งนี้มีลมหายใจ ผ่านเข้าออก

ทำให้รู้สึกถึงการมีชีวิต

 

และการที่เรารู้สึกถึงการมีชีวิต นี่แหละ

เป็นตัวแบ่งแยกแท้จริงว่า ธาตุดินนี้ฝั่งที่หนึ่ง

กับธาตุดินฝั่งที่สอง ต่างกันอย่างไร

 

จะรู้สึกว่าความมีชีวิต ปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกมีเราขึ้นมา

หันหลังกลับ เดินมา เห็นไหม

เหมือนมีอะไรใสๆ จะเหมือนไม่ใช่ตัวเราเคลื่อน

เหมือนมีหุ่นใสๆ ตัวหนึ่งเคลื่อนอยู่

 

พอเริ่มใสในลักษณะนี้ จะรู้สึกได้ว่า

มีผนังฝั่งที่เราเดินเข้าหา กับผนังฝั่งที่เดินจากมา

 

จะเริ่มรู้สึกว่า มีธาตุดินอยู่เบื้องหน้า และมีธาตุดินเบื้องอยู่หลัง

มีธาตุดินหมายเลขหนึ่งอยู่ตรงกลางเหมือนแซนด์วิช

แค่รับรู้ ไม่ต้องนึก ไม่ต้องพิจารณาทั้งสิ้น

 

จะรู้สึกชัดขึ้นมาเลย

ธาตุดินหมายเลขหนึ่ง ให้ความรู้สึกอย่างหนึ่ง

ธาตุดินหมายเลขสอง สาม ที่อยู่ข้างหน้าข้างหลัง

ก็ให้ความรู้สึกอีกอย่าง มีรูปทรงต่างกัน

แต่มีความเสมอกัน โดยความเป็นธาตุดิน

 

นี่แหละ ที่เราจะเอา

 

จิตที่เบาใส จะรู้ได้รอบทั้งข้างหน้าข้างหลัง

จิตที่สว่าง กว้างขึ้น เพราะเราทำให้มันอยู่ในสภาพรู้

มีสติรู้เป็นต่างหากจากความเป็นธาตุดิน

 

พอธาตุดินปรากฏเหมือนแยกเป็นส่วนๆ

มีส่วนของหมายเลขหนึ่ง หมายเลขสอง หมายเลขสามที่เสมอกัน

จะรู้สึกว่าศูนย์กลางความเป็นเราย้ายที่

 

จากเดิมที่กายนี้ต้องเป็นกายเราแน่ ชัวร์ๆ

กลายเป็น.. กายนี้เป็นส่วนหนึ่งของวัตถุในห้อง

โดยมีใจที่ส่องสว่าง และใจที่สว่างขึ้น กว้างขึ้น

ก็เพราะเราไปทำให้มันอยู่ในสภาพรู้ ไม่ใช่ทำให้อยู่ในสภาพยึด

 

ปกติจิตอยู่ในสภาพยึดตลอดเวลา

ยึดจนกระทั่งเคยชินว่า อย่างไรๆ ก็ต้องยึด

 

ต่อเมื่อเราล้างสัญญาใหม่

ทำให้อัตตสัญญา ละลายกลายเป็นอนัตตสัญญามากขึ้น

โดยพิจารณาเห็นลมหายใจ ผ่านเข้าออกสักแต่เป็นธาตุลม

กายที่ยืน สักว่าเป็นธาตุดิน เทียบเคียงกับธาตุดินอื่น เสมอกันเลย

 

แม้คุณลักษณะรูปทรงต่างกัน

แต่เนื้อหาที่คงรูปอยู่ กินพื้นที่ว่างอยู่ ไม่ต่างกันเลย

ความคงรูปอยู่นี้ ก็บีบคั้นให้ไม่เหมือนเดิมไปตลอดเวลาด้วย

มีกระบวนการชีวเคมี เผาผลาญ

ถ่ายของเก่าออก ถ่ายของใหม่เข้า สลับๆ กันไป

 

ที่พระพุทธเจ้าให้พิจารณาทั้งตอนดื่ม กิน เคี้ยว ขับถ่าย เพราะแบบนี้

 

พอจิตไปถึงจุดที่เห็นกาย สักว่า

เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำมาประชุมประกอบกัน

จะเห็นว่า ธาตุดินนี้ ธาตุน้ำนี้ ถ่ายเข้าถ่ายออก

และรู้สึกว่าไม่มีตัวอะไรตัวหนึ่งจริงๆ

แต่มีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา   

 

ที่นึกว่าธาตุดินนี้ เป็นก้อนตัวตนของเราแน่

จริงๆ แล้วเป็นกระบวนการถ่ายเข้าถ่ายออก

ถ่ายของเก่าออกไป ถ่ายของใหม่เข้ามา

ไม่มีวันสิ้นสุดจนกว่าจะตาย

 

ความรับรู้การมีสติ บางทีใช้ common sense

ใช้สิ่งที่เห็นชัดอยู่แล้วว่าเป็นความจริง มาต่อยอด

เป็นจิตที่มีความนิ่ง เป็นอุเบกขา เป็นสมาธิ

เห็นว่าธาตุแท้ของความเป็นกาย สักแต่ว่าเป็นธาตุดิน

ไม่ได้เป็นก้อนตัวตน ที่มีความคงรูปตลอดเวลา

 

การเห็นสภาพที่มีความเคลื่อนไหว หรือหยุดนิ่ง

จริงๆ แล้วก็เป็นสภาพของความไม่เที่ยงชนิดหนึ่ง

แต่ว่ายังไม่ชัดเท่าการที่ เราเห็นอะไรถ่ายเข้าถ่ายออก

 

เพราะการที่เราควบคุมได้ว่า จะให้หยุด จะให้เดิน

ทำให้รู้สึกว่าอยู่ในอำนาจเรา มีเราเป็นเจ้าของ

ควบคุมได้ บริหารกายนี้ได้

 

แต่การที่เราเห็นกายนี้ มีบางสิ่งถ่ายเข้า บางสิ่งถ่ายออก

จะไม่ใช่อำนาจบังคับของใจ

แต่เป็นกลไกทางธรรมชาติ ที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ถ้าถ่ายออกแล้วไม่ถ่ายเข้า เราก็ตาย

ถ่ายเข้าแล้วไม่ถ่ายออก ก็ตายอีก

 

ตัวที่จะรู้สึกถึงความแตกพังได้ง่าย ถ่ายเข้าแล้วไม่ถ่ายออกนี่

จะช่วยปรุงแต่งจิตแบบหนึ่งว่า ไม่เคยมีกายอยู่เป็นของเราจริงๆ

มีแต่... ที่เปลี่ยนรูปร่างมาตั้งแต่เด็กจนโต

แล้วเดี๋ยวก็จะต้องแก่ตายไป

สักว่าเป็นกระบวนการถ่ายเท

ของใหม่เข้าไป ของเก่าออกมา ตลอดวันตลอดคืน

 

เวลาที่เราจะฝึกถึงความเป็นธาตุดินได้ชัดๆ นี่นะ

สามารถพิจารณาต่อยอดได้แบบนี้

บางทีอาจในรูปของจินตามยปัญญา

 

ต้องจุดชนวนจากจินตามยปัญญาก่อน

เสร็จแล้ว จะเห็นเข้าไปในภาวะทางกายแบบนี้เลย

ในอิริยาบถ แบบนี้ แล้วก็มีกระบวนการ

ที่เรารู้สึกความเป็นไส้ใหญ่น้อย มีความเกรอะกรัง มีอาหารเก่าใหม่

แบบที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ปฏิกูลมนสิการบรรพ

 

ให้เรารับรู้ว่าของข้างใน มีทั้งของเก่าของใหม่

มีทั้งสิ่งที่เกรอะกรังอยู่ รอขับออก

และสิ่งเกรอะกรังใหม่ทับถมเข้ามา

 

พอเริ่มต้นเห็นกายใจ โดยความเป็นธาตุได้

ข้อธรรมอื่นๆทั้งหลายจะไม่เป็นที่กังขาเลย

ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เห็นจริงได้หมด

เห็นชัดๆ ด้วยจิตที่แจ่มแจ๋วราวกับกล้องเอ๊กซ์เรย์

 

ต้นข้าว : ตอนเริ่มต้น ดูต๊อกๆ ที่กลางอกจนเริ่มเห็นได้ทุกรอบ

บางจังหวะเหมือนเห็นรอบๆ ในห้อง

แต่บางทีก็ไม่แน่ใจว่าเป็นภาพจากความทรงจำหรือเปล่า

พอไปถึงใกล้กำแพง ลืมตาก็กะระยะถูกเลย บางทีก็เคลื่อน

 

พี่ตุลย์ : อย่าไปแคร์มากเรื่องเป๋ กะระยะผิด ชนบ้าง นั่นเป็นเรื่องรองจุดมุ่งหมายแท้จริง คือสามารถมีจิตเทียบเคียงได้ว่า

กายเป็นวัตถุธาตุหมายเลขหนึ่ง

สิ่งอื่นในห้องเป็นวัตถุหมายเลขสอง

 

ถ้าเดินชน แล้วยังรู้สึกว่า

วัตถุธาตุหมายเลขหนึ่งและสองชนกัน ไม่ใช่เราชน

แบบนี้ดีกว่าที่เดินแบบไม่ชน แต่ไม่รู้สึกถึงความเป็นธาตุ

ยังคงรู้สึกเป็นกายเรา เราเจ๋งอยู่

 

ตรงนี้ต้องแม่น ทุกคนเลยนะ

 

ถ้าจะฝึกหลับตาเดินจงกรม เราไม่ได้ฝึกเอาความเป๊ะของจิต

เริ่มต้นมาเพี้ยนกันหมดแหละ

แต่พอเดินไป เป้าหมายเราชัดเจนต่อใจมากขึ้นๆ ว่า

วัตถุทั้งหลาย นับแต่หมายเลขหนึ่ง ไปจนวัตถุภายนอกนี้ ฃ

ล้วนแล้วเสมอกันโดยความเป็นธาตุดิน

อย่างนี้เป็นจุดสำคัญที่สุด

 

ถ้าได้จุดนี้ เดินชนเดินเป๋ ไม่ต้องคำนึงเลย

 

ต้นข้าว : ตอนแรกที่พี่ตุลย์บอกจิตเปิดกว้าง ก็รู้สึกกว้างออก สว่างขึ้น

และเริ่มเห็นด้านหลัง ตอนผ่านตู้ก็รู้สึกวัตถุข้างขวาเป็นแถบ

รู้สึกจิตเป็นฐานกลุ่มก้อนมากขึ้น ความคิดในระหว่างวันเบาบางลง

ไม่ซัดส่ายเท่าเดิม รู้สึกจิตต่างไป

 

พี่ตุลย์ : ภาวะความเป็นนักบวชสำคัญตรงนี้

พอเราอยู่ใน uniform และจิตคล้อยตาม uniform ด้วย จะเสริมกัน

 

ชาวโลกไม่เข้าใจ นึกว่านุ่งขาวห่มขาวก็เป็นคนดีแล้ว

หรือนุ่งขาวห่มขาว แล้วถือศีลแปดได้ แปลว่าตัวเองเจ๋ง

 

แต่ตอนนี้เราก้าวข้ามตรงนั้นมา สู่อีกเขตว่า

ความเจ๋ง คือความกระจอก

 

แต่ถ้ารู้ชัด มีเป้าหมาย มีสัมมาทิฏฐิ

มีปัญญาประกอบว่าเราอยู่ในยูนิฟอร์ม

เพื่อรู้ชัดว่า กายนี้สักว่าเป็นขันธ์ห้า ธาตุหก

ในทางธรรม นี้คือเจ๋งจริง

 

เพราะสิ่งที่เหลืออยู่ในจิต ไม่มีใครเจ๋ง

มีแต่ความเสมอกันของสรรพสิ่ง

ที่ทั้งหลายทั้งปวงอยู่ในจักรวาลธาตุหกเหมือนกัน

เริ่มต้นจากที่เราเห็นธาตุดิน

 

แล้วอย่างเมื่อกี้ พอจิตเปิด 360 องศา

คำว่า 360 องศา ไม่ได้แปลว่าเห็นตลอดเวลารอบด้าน

แต่เราพร้อมจะรู้รอบด้าน รอบทิศโดยความเป็นธาตุหก

 

ตรงนี้จะเซฟมากๆ จิตโดยความเป็นพุทธ

จะเห็นว่าสิ่งที่อยู่รอบด้านทั้งหลายจะเสมอกัน

กับวัตถุนี้ที่เป็นศูนย์กลาง ที่จิตครองอยู่

และจิตที่ครองวัตถุหมายเลขหนึ่งนี้

จะไม่สำคัญมั่นหมายว่า วัตถุที่ครองนี้สำคัญสุด

เป็นศูนย์กลางจักรวาล เป็นที่ตั้งของตัวฉัน

 

แต่จะรู้สึกไปอีกอย่างว่า นี่ก็เป็นวัตถุอีกชิ้น

ที่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลธาตุหก

มีวัตถุอื่นที่มีความเสมอกัน ไม่มีความต่างกัน

ถ่ายเทกันไปมา ไม่มีอะไรคงที่

 

พอแม่ชีเริ่มเกิดความรับรู้ได้ว่า

เดินผ่านมาจากธาตุดินที่อยู่เบื้องหลัง

สัมผัส ถึงธาตุดินที่อยู่เบื้องหน้าได้

สัมผัสถึงธาตุดินที่อยู่เบื้องหลังได้

โดยมีธาตุดิน (กาย) นี้อยู่ตรงกลาง

แล้วจะสว่างๆ ใสๆ เสมอกัน

เหมือนธาตุดินนี้ปรากฏเป็นแก้ว

 

ตอนแรกจะเป็นแก้วหนาที่มีเค้ารูปร่าง

แต่จะปรากฏรายละเอียดชัดขึ้นๆ

ตามความสามารถที่จิตจะเข้าไปสัมผัสรู้

 

จิตยิ่งใส เสมอกับธาตุทั้งปวง

ไม่มีตัวเราผู้ทำได้ ไม่มีตัวเราที่มีความสามารถอะไรขึ้นมา

จิตที่เงียบจากเสียงของตัวตน

ที่เงียบจากความปรุงแต่งว่าเป็นตัวเรา นั่นแหละ

ที่จะเห็นอะไรชัดราวกับลืมตาในที่สุด

 

แม่ชี : วัดที่อยู่ จะมีความลี้ลับ มีจุดเชื่อมต่อกับภพภูมิอื่นได้

มีคนเจอสิ่งที่เป็นนิมิตในฝัน ตื่นมาแล้วไม่สบาย

อยากรู้ว่าเรามีโอกาสเจอแบบนี้ไหม

 

พี่ตุลย์ : ตอบแค่ของแม่ชีอย่างเดียว

 

ถ้าเรามีจิตแบบพุทธ อย่างเมื่อกี้ที่เดิน เริ่มมีจิตแบบพุทธเต็มขั้น

ไม่ใช่ได้มรรคผล แต่เริ่มสามารถเห็นกายใจ

โดยความเป็นธาตุหก ขันธ์ห้า

 

แม่ชีจะรู้สึกขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า ข้างในเซฟ สว่างๆ

รู้สึกปลอดภัย รู้สึกว่าตรงนี้ปลอดจากการเบียดเบียน

นี่ไม่ใช่อุปาทาน แต่เป็นรัศมีธรรมะที่ออกมา

 

ถ้าพิจารณาจากจุดที่เราเพิ่งทำได้เลย จะประจักษ์ว่า

ธรรมะที่อยู่ในเส้นทางการเจริญสติ ที่พระพุทธเจ้าประทานทางไว้

จะเหมือนอยู่ในเกราะแก้วที่แข็งแรง ปลอดภัย

น่าอุ่นใจที่สุด ที่เรารับรู้ได้โดยไม่ต้องถามใคร

 

ถ้าเราปักใจแน่วอยู่กับอารมณ์ที่รู้จริงตรงนี้ หรือเรียก อธิโมกข์

ที่อุ่นใจ หนักแน่น ที่รู้สึกว่าเราเซฟ

ส่วนใหญ่ไม่มีอะไรเข้าได้ ไม่มีอะไรมาชักชวนให้เขวได้

เว้นแต่เราจะไปรนหาที่เอง หรือไปฟุ้งซ่านซัดส่ายอยากโน่นนี่เอง

 

ถ้าเราอยู่กับลู่ทางที่พระพุทธเจ้าประทานไว้ และสว่างมากขึ้นๆ

นับวันจะยิ่งรู้สึกว่า ไม่ใช่เราที่ต้องกลัว

แต่เราจะทำให้ผู้อื่น เกิดความรู้สึกอบอุ่นได้ต่างหาก

ไม่ใช่เผื่อแผ่แค่คนรอบตัว

แต่เผื่อแผ่ไปถึงสิ่งลี้ลับ ที่มองไม่เห็นตัวตน

 

ถ้าแค่มีความเข้าใจ เห็นภาพรวมว่า

ความรู้สึกที่เกิดในช่วงนี้ ไม่ใช่อุปาทาน

แต่อุ่นใจจริง หนักแน่น สว่างจริง

ความรู้สึกนี้ ให้เป็นเครื่องนำทาง

ให้เกิดความแน่วแน่ว่า จะปฏิบัติให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

 

พอจับจุดถูกว่าจิตสามารถรับรู้ เบื้องหน้าเบื้องหลัง ได้พร้อมกัน

เรียกว่าจิตเปิด 360

จิตแบบนี้มีความสามารถที่จะสัมผัสรับรู้ว่า

วัตถุนี้ กับวัตถุอื่นเสมอกัน

แล้วยิ่งรู้มากเท่าไหร่ หนักแน่นมากเท่าไหร่

ยิ่งเป็นไปตามบุญขั้นสูงสุด คือการภาวนาแบบพุทธ

และสิ่งนี้มีพลังยิ่งใหญ่สุดในจักรวาล

เกินกว่าอะไรที่มีความมืด หรือเป็นอกุศลจะมาพรากไปได้

 

พอตั้งอยู่ในความเชื่อมั่นแบบนี้ และเห็นว่า

นี่ไม่ใช่ความเจ๋งส่วนบุคคล แต่เป็นเรื่องของความใหญ่จริง

ของสิ่งที่มีพลังมากที่สุดในจักรวาล

ที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบและเอามาประทานให้พวกเรา

 

พิจารณาแบบนี้บ่อยๆ จะมีกำลังแบบหนึ่ง ..

คือธรรมะที่พระองค์ประทานไว้ แล้วเราเข้าถึงได้นี่แหละ

จะช่วยเราเอง เป็นกำแพงแก้วที่ปกป้องเราเอง

 

คนอื่นที่เจอ อาจเพราะจิตอ่อน หรือปฏิบัติถูกแล้ว

แต่ยังไม่เข้มแข็งต่อเนื่องมากพอ ไปสนใจอย่างอื่น บั่นทอนกำลังจิต

มีสาเหตุสารพัด แต่เราไม่ต้องเทียบเขาเทียบเรา

มาอยู่กับตัวเองที่เห็นสภาวะธรรม

ขันธ์ห้านี้ เริ่มก่อรูปก่อร่างทางธรรม

ที่จะทำให้ ขันธ์ห้ารู้ตัวว่าเป็นขันธ์ห้า มากขึ้นทุกวัน

 

แม่ชีแน่ใจได้เลยว่า เราไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น

กับเรื่องที่จะแถมมากับสถานที่วิเวกนะ

--------------------

 

น้าเพ็ญ

 

พี่ตุลย์ : หยุดยืน ดู เหมือนจุด check point นะ ว่า

ขณะนี้มีธาตุดิน ที่มีหัวตัวแขนขา

ยืนประจันอยู่กับตู้ ซึ่งเป็นสองชั้นนะ ของพี่เพ็ญ

จะให้ความรู้สึกเป็นมิติที่ลึกเข้าไป

มีมิติที่ยื่นออกมา และมิติที่ลึกเข้าไป

ตัวผนังหน้าต่างจะลึกเข้าไป ส่วนตู้จะยื่นออกมา

 

ขอให้พี่เพ็ญพิจารณาว่า ธาตุดินฝั่งเรา ที่มีหัวตัวแขนขาอยู่นี้

มีความเสมอกัน กับสิ่งที่เป็นมิติที่ยื่นออกมาสองชั้น

คือตู้ที่ยื่นมา และผนังที่ยุบเข้าไป

ส่วนหัวตัวแขนขา ก็จะมีมิติในแบบที่

บางส่วนยื่นออกมา เช่นปลายจมูก ฝ่าเท้า

ส่วนหัวไหล่ สะบัก ด้านหลังเรา เป็นส่วนที่ลึกที่สุด

 

การที่เราสามารถเห็น อย่างที่พี่กำลังรู้สึก

จะมีสิ่งที่เป็นวัตถุ มีรูปทรง ลึกตื้น หนา บาง

ที่พี่รู้สึกอยู่ตอนนี้ ด้วยใจที่สงบเฉย ด้วยใจที่แค่รับรู้เฉยๆ

ว่ามีอากาศว่าง คั่นอยู่ในมิติของธาตุดิน

ที่มีส่วนยื่นมีส่วนยุบ ที่หดเข้าไป ทั้งสองฝั่ง

 

เห็นไหม ตรงที่เราเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า

มีอากาศว่าง คั่นอยู่ระหว่างธาตุดิน ที่มีชั้น มีมิติต่างๆ เหล่านี้

จะดูราวกับว่า ธาตุดินทั้งสองฝั่ง มีความต่อเนื่องกัน ทั้

งที่มีอากาศว่างคั่นอยู่ แต่เรารู้สึกต่อเนื่องกัน

 

เวลาเผชิญกัน ประจันกัน จะรู้สึกราวกับว่า

ช่องว่างคั่นอยู่นี้มีความเชื่อมต่อกัน

 

อย่างฝ่าเท้า ยืนอยู่ห่างจากส่วนที่ยื่นมามากสุด

ธาตุดินที่เราประจันอยู่ ส่วนหัว ที่ตั้งระยะห่างจากผนัง

มีความเชื่อมกันได้ ด้วยการเห็นระยะของช่องว่าง

คือแม้แต่ช่องว่างจริงๆ ก็เป็นตัวที่ให้ความสัมผัส

เชื่อมโยงกัน ระหว่างธาตุดินหมายเลขหนึ่งและสอง

 

ถ้าจิตนิ่งๆ ใสๆ อยู่ ไม่คิดอะไรเลย ไม่พิจารณาอะไรเลย

แค่รับรู้ความแตกต่าง ระหว่างธาตุดินฝั่งนี้ และธาตุดินอีกฝั่งได้

จะเหมือนมีการเชื่อมโยงกัน

จะเชื่อมโยงผ่านอากาศว่างก็ดี หรือเชื่อมโยงระหว่างธาตุดินกับธาตุดิน

เช่นพื้น .. พื้นต่อกันระหว่างเท้าเรากับขาโต๊ะ แล้วก็ที่เป็นผนัง

 

พอรู้สึกถึงความเชื่อมโยง ระหว่างธาตุดินกับธาตุดินได้

สิ่งที่เกิดอันดับต่อมาก็คือ รู้สึกว่าธาตุดินนี้ ไม่แตกต่างกันเลย

มีความเชื่อมโยงถึงกัน มีความเกี่ยวเนื่องกัน

กินพื้นที่ว่างเหมือนกัน อยู่ใกล้กันในโซนเดียวกัน

 

ลองพิจารณานะว่า ส่วนที่แยกออกมา ต่างจากธาตุดินอื่นๆ ก็คือ

ธาตุดินฝั่งนี้ ที่เป็นหัวตัวแขนขา มีลมหายใจประกอบอยู่

 

ถ้าเรารู้สึกถึงลมหายใจที่ผ่านเข้าผ่านออก

แล้วก็เกิดความรับรู้ขึ้นมาว่า

ธาตุลมนี้ ที่เข้ามาสู่ธาตุดิน

มีหน้าที่หล่อเลี้ยงให้ธาตุดินคุมรูปอยู่

 

ลองดู แค่ทำความรู้สึกเฉยๆ

ตรงที่ลมหายใจ ผ่านเข้าผ่านออก

พี่จะรู้สึกตอนนี้เลยว่า ธาตุดิน จะคุมรูปอยู่ไม่ได้

ถ้าปราศจากการหล่อเลี้ยง ของธาตุลมนี้

 

นี่คือสิ่งที่เป็นการค้นพบเลย

ถ้าหากไม่มีลมหายใจมาคุมรูป

ธาตุดินที่กำลังปรากฏเป็นหัวตัวแขนขา

จะไม่มีอะไรต่างเลย กับธาตุดินภายนอกที่ทื่อเฉยๆ

 

ลมหายใจทำให้มีชีวิต มีความสดชื่น เปล่งปลั่ง

มีชีวิตชีวา มีความรู้สึกนึกคิดขึ้นมา

ลมหายใจ มาปรุงแต่งธาตุดิน ให้เกิดภาวะต่างจากธาตุดินอื่น

 

แต่โดยเนื้อหาสาระดั้งเดิม ก็เป็นธาตุดินเสมอกัน

กับธาตุดินอื่นนั่นเอง

 

กลับหลังหันนะครับ ลืมตาแวบหนึ่ง แล้วเดิน

ความรู้สึกตอนนี้ จะเหมือนกับธาตุดิน

ที่มีความเคลื่อนไหวไป

จะให้ความรู้สึกว่า

จากเดิมที่ตั้งนิ่งอยู่กับที่ ตอนนี้เคลื่อนไหวได้

 

อะไรที่ขับดันให้เคลื่อนไหว ก็คือจิต

ตอนนี้เราจะเข้ามารู้ที่จิต

เวลาเรารู้อยู่ที่จิต พิจารณาง่ายๆ ว่า

ธาตุดินไม่ได้เดิน จิตต่างหากที่เดิน

 

เรากำลังเห็นจิตเดิน ไม่ได้เห็นกายเดินนะครับ

สิ่งที่กำลังเห็นอยู่คือจิตเดิน ไม่ใช่กายเดิน

 

ถ้าจิตไม่เดิน กายจะอยู่นิ่งๆ

ชั่วนาตาปี กายอยู่เฉยๆ นะ ไม่เคยเคลื่อนไหวตัวเองได้

แต่จิตต่างหากที่ทำให้กายเคลื่อนไหว

 

พอมีลักษณะรับรู้อย่างที่เป็นอยู่ เห็นไหม

ตุ๊กตุ่นตุ๊กตา หุ่นกระบอก ที่เคลื่อนไหว

แต่ที่เคลื่อนจริงๆ ไม่ใช่หุ่นกระบอกนี้

คือจิตที่อยู่ข้างในต่างหาก

 

พี่จะเริ่มเห็นขึ้นมาว่าวิญญาณธาตุ หรือจิตที่ครองกายนี้อยู่

หน้าตาเป็นอย่างไร

 

หน้าตาคือ มีความปรุงแต่งในทางเคลื่อนไหว

มีความปรุงแต่ง ในทางที่ทำให้เกิดอิริยาบถเดินขึ้นมา

 

พูดง่ายๆ ตอนนี้ เรากำลังเห็นจิตเดิน ไม่ใช่เห็นกายเดิน

 

ตอนเห็นกายเดิน คือตอนที่มีความรู้สึกว่าเราเป็นผู้เดินอยู่

แต่พอเห็นว่ากายนี้เป็นธาตุดิน จะพลิกไปอีกมุม

ว่าธาตุดินไม่เคยเคลื่อนที่ด้วยตัวเอง

แต่จิตแฝงอยู่ในธาตุดิน และขับเคลื่อนให้ธาตุดินนี้

เกิดท่าเดินตามจิตขึ้นมา

ยิ่งรับรู้ชัดเจนมากเท่าไหร่ จะเกิดความเห็นว่า

ภาวะจิตที่อาศัยกายเป็นอุปกรณ์ มีความต่างไปเรื่อยๆ

 

บางทีมีจิตหยุดเดิน บางทีมีจิตที่เริ่มเดินใหม่

เหมือนไม่มีใครอยู่ในนี้จริงๆ เหมือนหุ่นกระบอกถูกชักใย

และจิตเป็นผู้ชักใย

 

ตรงที่รู้สึกกลวงๆ กายนี้กลวงว่าง

และใจนี้เป็นของสูญเปล่า

เกิดเป็นจิตเดินแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวก็เป็นจิตหยุด

หยุดแป๊บหนึ่งก็กลายเป็นจิตเดิน

แตกดับไปเรื่อยๆ เป็นสิ่งสูญเปล่าทั้งเพ

 

ต่างเลยนะ ตอนนี้จิตพี่จะรู้สึกถึงความเป็นอิสระ

อันดับแรกที่รู้สึกขึ้นมา จะไม่ใช่แค่ว่างๆ แต่เป็นอิสระ

ตรงนี้จะค่อยๆ เข้าใจว่า เป็นอิสระจากความยึดมั่นถือมั่นว่า

รูปนามนี้ เป็นกายใจของตัวเอง

 

น้าเพ็ญ : เห็นใสๆ เห็นตามที่อาจารย์บอก โดยเฉพาะช่วงที่หยุด เห็นใส ว่างมากค่ะ

 

พี่ตุลย์ : ตอนวัตถุเป็นมิติ เห็นตามนั้นไหม

เหมือนมีอะไรแยกเป็นชั้นๆ แล้วก็รู้สึกเหมือนเสมอกัน

มีลดหลั่นตามลำดับ ตื้นลึกหนาบาง ทั้งฝั่งโน้นและฝั่งนี้ (ใช่ค่ะ)

 

ตอนยืนประจัน เห็นวัตถุโดยความเทียบเคียงกัน ชัดมากนะ

และเห็นลมหายใจผ่านเข้าผ่านออก ปรากฏชัดด้วย

 

สาเหตุเพราะใจพี่ตอนนี้

ไม่เอาเรื่องอะไรเลย นอกจากการปฏิบัติ

เลยไม่วอกแวกไปไหน อยู่กับตรงนั้นจริงๆ

ผมอนุโมทนานะ

 

อยากให้เกิดความเข้าใจทั่วๆ กันด้วยว่า

คนที่มาเจริญสติ แตกต่างกัน

ไม่ใช่เพราะใครเก่งกว่าหรืออะไร

แต่ใครมีใจอยู่กับการภาวนาใกล้ 100% กว่ากัน

 

ของพี่เพ็ญกับพี่นีจะได้เปรียบตรงที่ ไม่อยากเอาอะไรแล้ว

โดยกาลเวลาที่มีชีวิตมา ได้เห็นแล้วว่า

ถึงจุดหนึ่งต้องทิ้งหมด ไม่มีอะไรที่ติดตัวไปได้

แม้แต่สังขารร่างกายเรา ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ

 

และจนถึงวันนี้ มีข้อดีอีกอย่างคือ พี่เพ็ญรู้สึกว่า

พะวงหรือข้องกับเวลาน้อยลง

มาเอาใจใส่กับการปฏิบัติ ที่อยู่กับปัจจุบันมากขึ้น

 

เมื่อก่อน จะพะวงเรื่องอนาคตค่อนข้างมาก

ตอนนี้ความพะวงหดสั้นลงๆ มาอยู่กับตรงนี้จริงๆ เป็นปัจจุบัน

ไม่มีว่า เหลือเวลาแค่ไหน จะได้หรือไม่ได้

แต่เอาแค่ตรงนี้ที่มีความพอใจ มีฉันทะที่ได้รู้เห็นกับสิ่งที่เป็นอยู่

 

ต่อไปพี่เอาทางนี้เป็นทางจงกรม

เป็นเครื่องเตือน ให้ระลึกถึงความเชื่อมโยงของธาตุดิน

 

เมื่อกี้ผมชี้ให้ แล้วจิตพี่เชื่อมได้

ถึงธาตุดินที่มีความต่อเนื่องกัน เสมอกัน

พอหยุดแต่ละครั้งตรงจุดนั้น ดูแบบนี้ทุกครั้ง

นานแค่ไหนก็ได้ เท่าที่จิตรู้สึกพอใจที่ได้ดู

และกระตุ้นด้วยการเดินไปกลับ

ให้การรับรู้ถึงความเสมอกันของธาตุดินทั้งหลายมากขึ้น ชัดขึ้น

จิตจะปล่อยได้เอง

ปล่อยจากความยึดว่าธาตุดินนี้เป็นเราได้เอง

 

จะเห็นว่ากายนี้สักแต่เป็นหนึ่งในธาตุดิน

หนึ่งในวัตถุที่วางเรียงอยู่ ในจักรวาลธาตุหกนะครับ

 

จิตพี่ตอนนี้สาวขึ้นๆ ทุกที อ่อนเยาว์ลงเรื่อยๆ

ขอให้พี่เกิดฉันทะเท่าที่มีในปัจจุบัน

ทันเวลาแน่นอนครับ

--------------------

 

วิรัตน์

 

พี่ตุลย์ : แค่สังเกตตัวเองว่า ณ ขณะหนึ่งๆ

มีภาวะอะไรที่ปรากฏเด่นที่รู้ควบคู่ไปกับลมหายใจได้

 

ถ้าว่าง สุข รู้ว่าสุขหายใจออก

แล้วความรู้สึกสุขว่างๆ ค่อยๆ ใส เบ่งบาน

กินพื้นที่มากขึ้นเกินกาย

ความรู้สึกนั้นที่รู้พร้อมลมหายใจออก

จะทำให้ทั้งภาวะทางใจ และทั้งลมหายใจที่เกิดควบคู่กัน

ให้สติเกิดการรับรู้ จะชัดขึ้นๆ

แล้วก็.. อย่างช่วงนี้น่าจะกลับมาเดินจงกรมมากขึ้นนะ

สติดูดี อยู่กับเนื้อตัวมากขึ้น

 

ช่วงนี้เดินจงกรมเยอะขึ้นไหม (ครับ)

 

พี่ตุลย์ : เห็นไหม เดินกับไม่เดินคนละเรื่องเลยนะ

 

วิรัตน์ : ยังอยู่ในทิศทางใช่ไหมครับ

 

พี่ตุลย์ : เมื่อกี้ที่รู้สึกถึงความสุขแบบว่างๆ

และตอนนี้มีความสามารถเห็นภาวะสุข และใสๆ

ไม่มีบุคคลเป็นแค่ความปรุงแต่งทางใจชั่วขณะหนึ่งได้

 

เดิม ของเรา จิตพอสุขปุ๊บ จะเห็นว่าฉันมีความสุข

แต่ตอนนีเริ่มแยก สุขอยู่ส่วนสุข

ลมหายใจเป็นเครื่องกำกับสติอยู่

ทำให้จิตส่วนหนึ่งเห็นว่า ความสุขเป็นสิ่งถูกรู้ ไม่ใช่ตัวฉัน

 

เดิมจิตอยู่กับความสุข ติดแนบแน่น ว่ามีตัวฉันแน่ๆ

แต่ตอนนี้จิตออกมาเป็นต่างหากได้

ภาวะความสุขเริ่มเป็นต่างหาก

 

ก็พิจารณาอย่างนี้แหละว่าความสุขเป็นแค่ภาวะ

และสังเกตขนาดมัน

บางทีก็ขยายขนาด เบาสบาย บางทีก็หดแคบเข้ามา

 

ตัวที่เห็นขนาดแตกต่างกันได้

จะยิ่งไปตอกย้ำเข้าไปว่า

มันสักแต่เป็นภาวะ ไม่ใช่ตัวใครถาวร

 

วิรัตน์ : ยังฟุ้งซ่านคิดเยอะครับ

 

พี่ตุลย์ : แข็งแรงขึ้นมามากแล้วนะ

เมื่อก่อนจิตย่อยยับ แต่ตอนนี้จิตมีกำลัง ดีกว่าคนทั่วไปโดยเฉลี่ย

มีอะไรสะดุดนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็เคลื่อนต่อ

แต่ไม่ใช่วูบๆ วาบๆ เหมือนคนทั่วไป

ก็ต้องให้คะแนนตัวเองนิดหนึ่ง

 

ระหว่างวันแม้เราจะรู้สึกยวบยาบอยู่ แต่ถ้าหาก ..

เอ้า ลองไปเดินจงกรมหลับตาแบบคนอื่นเขาดูนะ

 

วิรัตน์ : เดินแล้วเซครับ

 

พี่ตุลย์ : อย่าไปสนใจเรื่องเซ

แต่ให้ดูว่าเทียบได้ไหม ธาตุดินกับธาตุดิน

ถ้ามีความรู้สึก ณ จุดยืนขึ้นมาได้

นั่นคือให้คะแนนตัวเองได้แล้วว่าเริ่มทำได้

เดินลืมตาไปก่อนก็ได้ ไปดูเบสิค น้ำอบ คิวแรกของ EP61

และอย่าเพิ่งไปคาดหวังว่า ต้องทำมาตรงเป๊ะเหมือนบางคน

คนที่ทำได้ เดินตรงเป๊ะ

เราไม่รู้หรอกว่าเขาเดินชนกันมาเท่าไหร่

เรามาเห็นตอนที่เก่งแล้ว บอกเลย ไม่มีใครไม่เป๋

อย่าไปเอาเรื่องเป๋ เอาความเข้าใจว่าจะเดินไปทำไม

นั่นคือที่สุดของการเริ่มต้น

 

วิรัตน์ : ไม่แน่ใจว่ามีวิจาระมากพอหรือยัง

แต่เคยเดินในห้างแล้วรู้สึกข้างบนว่าง ข้างล่างชัดแว้บหนึ่ง

 

พี่ตุลย์ : นั่นแหละ เกิดวิจาระ แล้ว

วิจาระแบบนั้นเพียงพอที่จะมาทำต่อแบบหลับตา

 

ถ้าเราเดินหลับตาได้ จิตจะแข็งแรงขึ้น

และรู้สึกว่า ระหว่างวัน เป๋น้อยลง

แต่ต้องแม่นว่าเดินหลับตาไปทำไม ไม่ใชเอาเท่

 

บอกทุกคนเลยนะ อย่าตั้งแบบนั้นเด็ดขาด

เดินผิด เดินถูก เดินเป๋ ผมไม่สนใจเลยนะ ไม่ให้คะแนน

เพราะเป็นธรรมดาของคนฝึกใหม่

แต่ความเข้าใจ สำคัญที่สุด

 

ที่จะเข้าไปในหัวในใจของคนภาวนานี่ก็คือ

นั่งนิ่งได้นาน หลายชั่วโมงคือเก่ง

เดินจงกรมเป็นสิบชั่วโมง เจ๋ง

 

จำนวนชั่วโมง หรือเดินเป๋เดินตรง

ที่แท้แล้วเป็นอะไรที่ทำกันได้มาไม่รู้กี่ชาติ

แต่ที่จะทำให้พ้นไปคือความเข้าใจ

ซึ่งเกิดได้ยากที่สุด

 

กว่าคนๆ หนึ่งจะเข้าใจ ฟังเป็นพันรอบไม่เข้าใจ

แต่พอปฏิบัติได้แล้ว เห็นถึงสิ่งที่เป็นของจริง ถึงจะคลิก

 

วิรัตน์ : การรู้จิตหายใจออก รู้จิตหายใจเข้า กับการดูจิต เหมือนกันไหมครับ

 

พี่ตุลย์ : แล้วแต่ใครจะนิยาม

แต่พี่เอาที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอานาปานสติสูตรว่า

เวลาที่เริ่มต้น เรารู้ลมหายใจให้ชัวร์ก่อน

เสร็จแล้ว พอมีความรู้สึกว่ากายสงบระงับ

จะมีปีติ ความชุ่มชื่นใจขึ้นมา

แล้วก็เกิดความกำซาบซ่านทั้งกาย เรียกมีปีติ

รู้ปีติ แล้วพอมีกำลังปีติ ระงับความคิดได้

นั่นแหละถึงจะเริ่มรู้ว่าจิตเป็นอย่างไร

 

แต่จะเอามาไกด์กันต้องดูแบบตรงตัว แต่ละคน

 

รู้ที่จิตหมายความว่าอย่างไร

ส่วนใหญ่พี่จะเอาตรงที่ว่า ถ้ารู้สึกผ่องใสแล้ว เคลียร์แล้ว

ไม่มีความคิดฟุ้งห่อหุ้ม หรืออาจคิดบ้างแต่เบาบาง

เสร็จแล้วรู้สึกถึงความผ่องใส ที่แผ่ผายออกไป

ตรงนั้น เอาตามสเป็คของอานาปานสติสูตรว่า

รู้เข้ามาที่จิต หายใจออก รู้เข้ามาที่จิต หายใจเข้า

 

การรู้เข้ามาที่สภาวะจิต อย่างไรก็เป็นจิตนั่นแหละ

ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อแบบไหน สายใดก็คือจิต

อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

จะเรียกจิตก็ดี ใจก็ดี มโน มนัส คือจิตอันเดียวกันนั่นแหละ

เพียงแต่ต่างหน้าที่

 

อย่างบอกว่า เป็นกุศลจิต อกุศลจิต อย่างนี้เรียกจิต

หรือจิตโดยความเป็นธาตุรู้ก็เรียกจิต

 

แต่ถ้าเป็นการรับรู้อายตนะ ว่าอายตนะฝั่งหนึ่ง

ถูกกระทบโดยอายตนะภายนอก อย่างนี้เรียกใจ

---------------------

เอ๋

 

เอ๋ : นั่งสมาธิเมื่อคืน แล้วมีภาวะอะไรบางอย่างมาอยู่ข้างหลัง เห็นใสๆ เห็นแขนยกขึ้นลง ไปต่อไม่ถูกว่าต้องดูอะไร

 

พี่ตุลย์ : เวลาเกิดภาวะอะไร ก็ตาม

จะรู้สึกมีอะไรมาข้างหลังหรือแขนยกเอง

ให้มองว่า ขณะนั้น จิตเราเป็น ผู้รู้ หรือ ผู้เล่น

 

ถ้าเป็นผู้เล่น จะคล้อยตามอาการที่เกิดขึ้น

จะเป็นปฏิกิริยาทางใจว่าตกใจ ระแวง คิดมาก  

หรือสงสัยว่าเกิดอะไรกับเรา

 

แต่ถ้าเป็นผู้ดูอยู่เฉยๆ จะเห็นแค่ว่า

มีอะไรมาข้างหลัง มือยกขึ้น

แล้วไม่ไปปรุงแต่งเปรียบเทียบกับอดีต ที่อาจดูหนังผีมา

 

ถ้าเทียบกับหนังผี อาจรู้สึกกลัว

แต่เทียบกับสภาพจิตเราก่อนหน้า

ที่เป็นอุเบกขา หรือไม่เป็นอุเบกขา

นี่แหละที่จะรู้เรื่อง จะเข้าเรื่องทางธรรม

 

ที่ยกเอง ถามตัวเองง่ายๆ ว่า เรายังรู้อยู่หรือเปล่าว่าเป็นธาตุดิน

ถ้าสักแต่เป็นธาตุดิน ใสๆ ใจเราไม่เปลี่ยน ..

เอ้า มันยก คือธาตุดินยกให้ดู

แค่นี้.. เท่ากับเช็คว่าจิตเรา

ยังไม่เคลื่อนจากความเป็นอุเบกขา ออกจากเรื่องราวธรรมะ

 

แต่ถ้าคิดว่า เอ๊ะ! ใครมายก

แบบนี้นอกเรื่อง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดประโยชน์ทางธรรม

 

สรุปเป็นสามข้อ

ข้อแรก ถ้านึกถึงว่า มีอะไรมาข้างหลัง

เราไปนึกถึงหนังผีสักเรื่อง แล้วกลัว เกิดปฏิกิริยาทางใจ ลอกแลก

อย่างนี้เรียกเป็นจิตของคนปกติ

ที่จะไม่ได้ประโยชน์อะไร จากการที่รู้สึกว่า

มีภาวะอะไรมาข้างหลังเลย มีแต่ความกลัวที่สูญเปล่า

 

สอง รู้สึกว่ามีอะไรมาข้างหลัง

ดูปฏิกิริยาทางใจตัวเองว่า กลัวหรือเฉย

ถ้าเฉยๆ ไม่เห็นเป็นไร ช่างมัน

เรียกว่ามีตัวเอ๋ เป็นคนที่ไม่กลัวกับสิ่งที่มาแบบจู่โจม

.. ก็ยังมีตัวเอ๋อยู่ดี ..

 

แต่ถ้ามีอะไรมาข้างหลัง แล้วรู้สึกว่า

ใจเราไม่ไปไหน ใจเราใสๆ

และรู้ว่านั่นเป็นความปรุงแต่งภายนอก มากระทบใจ

ทำให้เกิดความปรุงแต่งภายในขึ้นมา

 

ธาตุดินตั้งอยู่ และวิญญาณธาตุ ถูกปรุงแต่ง

ให้มีสัญญาขันธ์ รู้มาว่ามีอะไรอย่างหนึ่ง

เสร็จแล้วมีสังขารขันธ์ คือกลัว หรือเฉยๆ

 

รู้ตามจริง ตามสภาพจิตที่ปรากฏ ณ ขณะนั้นจริงๆ

นี่เรียกว่าสภาวะ เห็นสภาวะ

ตัวเอ๋หายไป มีแต่ภาวะทางใจ ว่ากลัวหรือไม่กลัว

มีปฏิกิริยา หรือไม่มีปฏิกิริยา

 

ซึ่งพอมีสภาวะเห็นสภาวะ

สิ่งที่เกิดจริงคือ อุเบกขาบริสุทธิ์

 

ตอนที่บอกว่า เกิดอะไรขึ้น ช่างมัน

นี่ยังมีตัวเอ๋ ที่เป็นผู้ทำความรู้สึกเฉยๆ

แต่ถ้าสภาวะเห็นสภาวะ จะมีความรู้สึกว่า

จิตอันเป็นธาตุรู้นี้ ไปรู้ความปรุงแต่งอะไรอย่างหนึ่ง

ที่มากระทบ ผ่านห้วงมโนทวาร

สิ่งที่จะตามหลังมา คือความเป็นธรรม มีธรรมะเกิดขึ้น

 

คำว่าธรรมะเกิดขึ้น ก็คือ สภาวะเห็นสภาวะ และไม่เกิดบุคคลขึ้นมา

เกิดแต่สภาพธรรมที่เป็นอย่างนั้นของมันเอง

ไม่มีใครที่เก่ง ไม่มีใครทำได้ ไม่มีใครหวาดกลัว

ไม่มีใครที่ต้องมารับผล เสวยผล กับการที่ถูกรบกวนหรือถูกระทบ

 

ตัวนี้แหละที่มีสามทางเลือก

หนึ่ง เอ๋เป็นคนธรรมดา

สอง เอ๋เจ๋งกว่าธรรมดา

สาม ไม่มีเอ๋ มีแต่สภาวะเห็นสภาวะ

 

เราอยู่ในหมวดของการทำความเข้าใจภาพรวมว่า

มีทางเลือกจิต ให้เกิดปฏิกิริยาแบบนี้ สามทางเลือก

พิจารณาบ่อยๆ  .. ช่วงหลังเราเริ่มเห็นจิตเป็นภาวะได้ ก็ดีอยู่แล้ว

ก็ดูไปว่าสิ่งที่เป็นภาวะ จะถูกรู้จริงๆ ได้แค่ไหน

ทั้งที่มาจากอายตนะภายนอกที่หยาบๆ และมโนทวาร

____________

วิปัสสนานุบาล วันพิเศษ : EP 68

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=AYQqBGtkF5A

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น