วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

วิปัสสนานุบาล EP 79 (เกริ่นนำ) : สัญญาณบอกทิศทาง 23 กพ. 65

(ช่วงเกริ่นนำ)

พี่ตุลย์ : อรุณสวัสดิ์ครับทุกท่าน พบกันช่วงเช้าตั้งแต่เก้าโมงถึงเที่ยง

 

บนเส้นทางแบบพุทธ ในการเจริญสติที่เราทำๆ กัน

ถ้าหากมีความเข้าใจ ก็จะรู้ว่ามีทิศทาง ที่ตรงไปสู่เป้าหมายแบบไหน

 

แต่ที่จะมีกำลังใจ ก็คือมีความรู้สึกว่า

ใจของเรามั่นคง ตั้งมั่น คงเส้นคงวา

 

เมื่อมีกำลัง ซึ่งไม่ได้หมายถึงการได้รับคำปลอบโยน

หรือว่าการได้รับคำให้กำลังใจจากใคร

แต่เป็นความรู้สึกว่าใจเรามีกำลังจริงๆ

 

คุณจะมีความรู้สึกมั่นใจว่า

สิ่งที่ตัวเองรู้ ตัวเองเข้าใจว่ากำลังจะเดินไปไหน

จะมีกำลังที่ไปได้ถึงจริงๆ

 

ซึ่งหลายคนในห้องเรา

ก็เริ่มจะมีความรู้สึกทำนองนั้น ขึ้นมาแล้วเป็นจำนวนไม่น้อย

 

พอเริ่มมีกำลังใจ หลายคนก็จะเริ่มมีความคาดหวัง

แล้วก็อยากรู้อยากเห็นว่า ถ้าข้ามเส้นแรก ได้โสดาปัตติผลไป

อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตตัวเอง

 

จริงๆ แล้ว ตอนที่คุณกำลังปฏิบัติ

ตอนที่คุณกำลังรู้สึกว่า กายนี้ใจนี้ ไม่มีใคร ไม่มีเรา

มีแต่ธาตุประชุมกัน หลอกให้รู้สึกว่ามีเรา นั่นแหละ

แล้วก็สลับไปสลับมา เดี๋ยวก็กลับมามีกิเลส

 

อันนั้นแหละ

ความรู้สึกเดียวกันกับ หลังจากได้โสดาปัตติผล

 

ที่พูดนี่เพราะอะไร

เพราะเราไม่ได้วัดจากตัวโสดาปัตติผลอย่างเดียว

เราดูจากที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า หลังจากได้สกทาคามิผล

.. ข้ามช็อตไป ถึงสกทาคามิผล ..

เมื่อได้เป็นพระสกทาคามีแล้ว

ราคะ โทสะ โมหะ จะเบาบางลง

 

นั่นแปลว่าอะไร

นั่นไม่ได้มีให้ตีความเป็นอย่างอื่นนะ

 

คือเป็นพระโสดาบันนี่ กิเลสยังครบ

ยังมี ราคะ โทสะ โมหะ เหมือนกับตอนที่ก่อนข้ามเส้น

ก่อนได้เป็นพระโสดาบัน ยังเต็มที่กับชีวิตได้ทุกแบบ

 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่จะข้ามเส้นเป็นพระโสดาบันได้

ไม่ใช่มีกิเลสแบบดิบๆ ไม่มีการควบคุมพฤติกรรมใดๆ

ศีลห้าไม่สนใจ แบบนั้น ไม่ได้นะ

 

อย่างน้อยที่สุด ศีลห้า ต้องสะอาด

และอย่างน้อย ต้องรู้ว่า ใจไม่ได้มีความตระหนี่ถี่เหนียว

เท่าปุถุชนธรรมดาที่ขี้งก

 

เป็นคนที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

อย่างน้อยใจต้องมีความรู้สึกสามารถสละออกได้

 

ถ้าใจสละออกไม่ได้

โอกาสที่จะสละความเห็นผิด สละอุปาทานในตัวตน เป็นศูนย์เลยนะ

 

นี่คือความสัมพันธ์ คือความเชื่อมโยง ระหว่างทาน ศีล และภาวนา

 

ถ้าใจโดยพื้นฐาน สละออกไม่เป็น

เป็นคนที่เห็นแก่ตัว เอาเข้าตัวอยู่ตลอดเวลา

เป็นคนที่เข้าข้างตัวเองอย่างเหนียวแน่น

ไม่ยอมฟังความคิดเห็นของใครอื่น

โอกาสจะได้โสดาบัน เป็นศูนย์เลย

 

และถ้าศีลไม่ดี สมาธิก็ไม่ได้

สมาธิไม่ได้ ก็ไม่มีโอกาส ที่จะรวมลงถึงฌาน

แบบที่จะล้าง หรือว่าประหารสังโยชน์ข้อแรก

ที่เรียกกันว่า สักกายทิฏฐิ

 

ความรู้สึกในตัวตน ความรู้สึกที่เชื่อ

ปักใจเชื่อว่าต้องมีตัวเราอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง

ถ้าไม่ใช่ในกายใจนี้ ก็ในโลกหน้า

 

พระโสดาบัน ตัดสักกายทิฏฐิได้

ซึ่งจะตัดได้ ก็ต้องมีทั้งทานและศีลเป็นฐาน

เป็นพานทองรองรับ เป็นพื้นฐานที่ขาดไม่ได้อยู่

 

ทีนี้ อย่างในห้องเราตอนนี้

ก็สามารถที่จะเห็นเครื่องหมายบอกกันได้

 

อันนี้ไม่ได้พูด เพื่อให้เกิดกำลังใจ

ไม่ได้พูดเพื่อให้รู้สึกฮึกเหิม

แต่พูดให้เห็นถึงสัญญาณบอก

 

ถ้าจิตใสใจเบาได้เรื่อยๆ และมีความรู้สึกว่า

จะนั่งเจริญอานาปานสติก็ตาม หรือว่าเดินจงกรมก็ตาม

แล้วเกิดความเห็นว่า กายนี้ใจนี้ ไม่มีใครอยู่

มีแต่ความเป็นธาตุ เป็นธาตุดิน เสมอกับวัตถุอื่นๆ

 

หรือเป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าแค่แป๊บหนึ่ง เป็นภาวะผุดขึ้นมาแป๊บหนึ่ง

เช่น ความโกรธ ความสุข ความคิดฟุ้งซ่าน ความคิดอ่อนๆ

แล้วเกิดความรู้สึกว่า เดี๋ยวมันก็หายไป

 

ถ้าเกิดขึ้นได้เรื่อยๆ ก็เป็นสัญญาณบอกว่า ทานและศีลของเราใช้ได้

เป็นเหมือนปลายทาง ที่บอกว่าต้นทาง มาโอเคไหม

  

ถ้าเรามองจากจิตแต่ละวัน ว่าคืบหน้าไปเรื่อยๆ

ถึงแม้จะย้อนกลับมาบ้าง มีความรู้สึกย้อนหน้าย้อนหลังบ้าง

แต่ถ้าหากเรามีความรู้สึกขึ้นมาเอง เป็นปกติมากขึ้นทุกทีๆ

เหมือนกับที่หลายๆ คนเกิดความรู้สึกว่า

จะอยากก็ดี ไม่อยากก็ดี .. ที่จะได้ไปถึง

ก็แค่ความปรุงแต่งแป๊บหนึ่ง

 

แล้วในที่สุดก็รู้สึกเฉยๆ รู้สึกว่า

ดูความเป็นธาตุไป ดูความเป็นขันธ์ไป

รู้สึกว่า ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่มีตัวตน แล้วก็มีความชัดเจนมากขึ้นๆ

 

ตัวนี้ ขอให้บอกได้ว่า

มีสัญญาณบอกทั้งก่อนหน้า และไปข้างหน้าด้วย

 

ก่อนหน้าคือ มีทานและศีลใช้ได้

มีเส้นทางที่มาถูกทิศถูกทาง

มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ที่จะมองกายใจ

 

และได้กำลังของจิต ที่ไม่ใช่แค่กำลังใจแบบแป๊บๆ

แต่เป็นกำลังของจิตจริงๆ มากพอที่จะชี้บอก

ให้รู้สึกถึงอนาคตเบื้องหน้าได้ว่า

อยู่ในแนวทาง อยู่ในเส้นทาง

อยู่ในวิถีของการที่จะถอดถอนอุปาทานออกไป

 

ฉะนั้น ไม่ต้องเร่ง

ขอให้บอกตัวเองว่า ถึงข้ามเส้นไปแล้ว เป็นพระโสดาบันไปแล้ว

ก็ความรู้สึกนี้แหละ ประมาณนี้แหละ

 

รู้สึกว่า บางทีก็เกิดความเห็นขึ้นมากระจ่าง

ตอนที่จิตมีความใส เบา มีกำลังของสมถะพอสมควร

จะรู้สึกขึ้นมาเองว่า กายนี้ใจนี้สักว่าเป็นธาตุ เป็นขันธ์

ไม่มีใครอยู่ในนี้ และจะเร่งไปทำไม

 

คือตอนนี้เราก็ทำได้อยู่แล้ว

การที่เราทำไปเรื่อยๆ โดยไม่เร่ง โดยไม่มีความคาดหวัง

ไม่มีความอยาก ไม่มีตัวภวตัณหา หรือยางเหนียว

อยากได้อยากดี อยากมีอยากเป็น

ไม่ได้อยากเอามรรคผล

 

แต่อยากแค่มีฉันทะ มี passion

ที่จะมองกายนี้ใจนี้โดยความเป็นขันธ์ห้า ธาตุหกไปเรื่อยๆ

 

ตัวนี้ ถึงแม้จะยังไม่ได้โสดาบัน ก็เหมือนได้อยู่แล้ว

ชัวร์อยู่แล้ว ประกันอนาคตอยู่แล้ว

 

แล้วก็จริงๆ ข้อต่าง จะนิดเดียว คือ

พระโสดาบัน เห็นนิพพาน และประกันว่าไม่ต้องไปอบายอีกชัวร์ๆ

 

แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสนะ

ไว้ในธาตุสูตร อายตนสูตร ขันธสูตร อะไรแบบนี้

ท่านรับประกันว่า ถ้าใครเห็นขันธ์ห้า ถ้าใครเห็นธาตุหก

เห็นกายนี้ใจนี้โดยความเป็นขันธ์ห้า โดยความเป็นธาตุหก

ได้เรื่อยๆ ได้เป็นปกติ

ไม่มีทางตาย ก่อนได้โสดาบัน

 

หมายความว่า ต่อให้ระหว่างชีวิตยังไม่ได้ก็ตาม

แต่ตอนกำลังจะตาย อย่างไรก็ต้องได้

เพราะวิถีจิตของคนที่จะตาย มีความหนักแน่นมาก

มีความหนักแน่นไปในวิถีของความตาย

 

วิถีจิตที่จะตาย มรณวิถี มีความหนักแน่น

ไม่ได้คิดฟุ้งซ่านอะไรแบบนี้

เป็นการรวบรวมเอากรรม บุญ หรือบาปทั้งหลาย

มาโฟกัส รวมจุด เข้าที่

 

ซึ่งถ้าหากว่าใครเจริญสติ

เห็นกายใจนี้เป็นขันธ์ห้า ธาตุหกได้เรื่อยๆ

ก็จะรวมจุดในแบบที่ รวมลงเป็นฌาน

 

เห็นว่ากายนี้ทอดวางอยู่ไม่ต่างกับขอนไม้

และภาวะต่างๆ ไม่ว่า ไออุ่นค่อยๆเย็นชืดลง

ลมหายใจ ค่อยๆ แผ่วรวยริน

แล้วก็มีภาวะที่เป็นจิตวิญญาณ เหมือนมอเตอร์

ที่ปั่นตัว ไปสู่ความดับ

 

ไปสร้างกรรมนิมิตบ้าง ไปเห็นว่าตัวเคยทำอะไรมา

แล้วผู้ที่เจริญสติ พอใกล้ตาย

นิมิตที่จะปรากฏเยอะที่สุดคือ

นิมิตของการเห็นภาวะทางกายทางใจ เป็นรูปนาม

 

ฉะนั้นเวลาที่รวมลงเป็นฌาน ก็คือตัดสักกายทิฏฐิได้

อย่างน้อยตัดสักกายทิฏฐิได้ก่อนตาย

 

ตรงนี้ ไม่ต้องไปห่วงกังวลถึงอนาคต

ขอแค่เรามีฉันทะ อย่างต่อเนื่อง

รู้สึกถึงทิศทางที่ตรง ที่ใช่

แล้วก็มีกำลังใจ กำลังจิตที่ทำให้เกิดความรู้สึกอุ่นใจ

เชื่อมั่นในตัวเองได้ แต่ละวันๆ .. ไม่ช้าไม่เร็วหรอก

_______________

ไลฟ์วิปัสสนานุบาล EP 79

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=OH5_YR22Wa0

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น