วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

วิปัสสนานุบาล EP 81 (เกริ่นนำ) : มาตรวัดความเฉียดมรรคผล

EP 81 'มาตรวัดความเฉียดมรรคผล'

 

พี่ตุลย์ : สวัสดีครับทุกท่าน

 

เมื่อคืนพูดถึงเรื่องของความสงสัย เกี่ยวกับว่า

บรรลุมรรคผลหรือยัง เฉียดแล้วหรือยัง

 

ก็มีข้อสงสัยตามมาว่า ถ้ายังไม่เคยที่จะบรรลุ จะรู้ได้อย่างไร

ว่าเราใช่แล้วหรือยัง หรือว่าอย่างน้อยเฉียดแล้วไหม?

ที่ทำๆ อยู่ รู้สึกว่าไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนแน่แล้ว

 

แล้วอะไรล่ะที่เป็นตัวขวางไว้

หรือว่าจะมาเป็นข้อจำกัด ว่ายังไม่ถึงอะไรแบบนี้

 

ก็อย่างเวลาที่พระพุทธเจ้าท่านให้สอบทาน

หรือตรวจสอบผู้ที่อ้างว่าบรรลุมรรคผลแล้ว

ซึ่งในระดับอรหัตผล ท่านก็ตรัสไว้ใน ฉวิโสธนสูตรว่า

อย่าเพิ่งไปให้คำรับรองยินดี แสดงความยินดี

หรืออย่าเพิ่งไปคัดค้าน เวลาใครมากล่าวอ้างว่าตนบรรลุธรรมแล้ว

อย่างน้อยต้องถามเขาว่า ที่บรรลุธรรมนี่

บรรลุเพราะเห็นกายใจเป็นขันธ์ห้า เป็นธาตุหก หรืออย่างไร

 

ถ้าหากว่าเราพิจารณาจากหลักเกณฑ์

ที่พระพุทธเจ้าท่านประทานไว้เป็นแนวทาง

เราก็จะน้อมเอามาพิจารณาตัวเองได้

 

เช่น บอกว่าเราบรรลุมรรคผล หรือเฉียด ใกล้ที่จะบรรลุ

มีอะไรเป็นสัญญาณบอก มีอะไรเป็นนิมิตหมายแสดง

 

อย่างบางคน แค่มีความรู้สึกว่างๆ

มีความรู้สึกว่าเห็นกายนี้ใจนี้ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน

 

ตัวนี้ ถ้าเราทำความเข้าใจว่า การเห็นแบบนี้เรียกว่า

เห็นโดยมีอนัตตสัญญา ซึ่งแม้แต่คนธรรมดาก็มีกันได้

ยกตัวอย่างเช่น อย่างคนทั่วไป ไม่เคยที่จะมีภาวะที่พิเศษพิสดาร

หรือแตกต่างจากที่รู้สึกนึกๆ คิดๆ อย่างนี้

 

วันหนึ่งไปบล็อกหลัง ความรู้สึกหายไปครึ่งตัว

เกิดประสบการณ์ ว่าตัวเราหายไป เหลือแต่ความคิด

ร่างกาย เหมือนไม่ใช่ของเราอีกต่อไป ชาๆ เหมือนท่อนไม้

เหมือนไม่มีความสามารถกระดุกกระดิกได้

 

แบบนี้ก็เป็นความรู้สึกว่าไม่มีตัว ไม่มีตนแบบเดิมๆ เหมือนกัน

มีตัวตนแปลกใหม่ขึ้นมาเป็นความคิด

 

หรือถ้าใกล้ตัวเข้ามา บอกว่าเดินจงกรมไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเดินจงกรมหลับตาแล้วเห็นผลกันเร็วๆ

มีความรู้สึกเทียบธาตุดินกับธาตุดิน

แล้วรู้ชัดว่า นี่ธาตุดินเสมอกันกับธาตุดินอื่น

เป็นวัตถุที่มีความเป็นหนึ่ง ในวัตถุหลากหลายรอบด้าน

 

แล้วเกิดความรู้สึกว่าตัวเราเล็กลงมา

เหลือแต่ความคิดกระจ้อยร่อย ที่โผล่มาแวบหนึ่งแล้วหายไป

 

ถามว่า นี่ต่างจากบรรลุมรรคผลอย่างไร ก็เห็นว่าไม่ใช่ตัวตน

 

ตรงนี้ ก็ต้องเคลียร์กันให้ชัด

 

ตอนที่เราเห็นกายใจ ถนัดชัดเจนโดยความเป็นธาตุดิน

เห็นความคิดปรุงแต่งโดยความเป็นสัญญาขันธ์ โดยความเป็นสังขารขันธ์

รู้สึกว่าไม่ใช่ตัวตน รู้สึกเป็นสภาวะ

 

ก็เรียกว่ามีอนัตตสัญญาอีกเหมือนกัน

คือ มีความรู้สึกว่าไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน

 

หรือพอเห็นมันเกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัย แล้วดับหายไป

เกิดอนิจจสัญญาขึ้นมา อย่างนี้ก็น่าสงสัยอีกเหมือนกันว่า

เราบรรลุมรรคผลแล้วหรือยัง

 

ตัวนี้ เวลาที่จะดูง่ายๆ เลย

ถ้าถอดเป็นใจความแบบชาวบ้าน ใช้ภาษาชาวบ้านคือ

ถ้ายังคิด ถ้ายังรู้สึกว่า เดี๋ยวเราจะบรรลุมรรคผล

เราอยากจะบรรลุ เราจะเพียรเพื่อที่จะบรรลุมรรคผล

.. นี่ยังยึดสัญญาขันธ์ อยู่ ยึดสังขารขันธ์อยู่ โดยความเป็นตัวเรา

 

ซึ่งอันนี้ พระพุทธเจ้าให้ตรวจสอบ อย่างฉวิโสธนสูตร ท่านตรัสไว้ชัดเจน

 

ถ้าหากเห็นว่า สัญญาขันธ์ เห็นว่า สังขารขันธ์เป็นของอื่น ไม่ใช่ตัวตน

พรากออกมาได้เด็ดขาด อย่างนี้เป็นอรหัตผลจริง

ซึ่งเราก็จะสามารถสำรวจสอดส่อง สอบทาน

ในระดับที่ล่างๆ ลงมาได้ว่าตอนที่นึกว่าเราจะบรรลุมรรคผล ..

ความนึกว่าๆ นั้นมีตัวเราอยู่หรือเปล่า

 

ถ้ามีความกระเหี้ยนกระหือรือ กระตือรือร้น

อยากให้ใครรับรู้ว่า นี่เราบรรลุมรรคผลแล้ว ..

แบบนี้คือยังยึด สัญญาขันธ์ ยึด สังขารขันธ์ แน่นอน

 

หรือ ยึดในสุขเวทนาอันเกิดจากความรู้สึกว่า

จิต นิ่ง สงบราบคาบ ไม่มีความรู้สึกในตัวในตน

เสร็จแล้วพอถอนจากความรู้สึกนั้น

กลายเป็นความรู้สึกธรรมดาๆ มองย้อนกลับไป

อ้าว..นั่นบรรลุมรรคผลหรือเปล่า

 

ถ้ามีตัวเราผู้รู้สึกถึงความเป็นเวทนานั้น ว่าเราเป็นเจ้าของเวทนานั้น

คือกลับมามีความรู้สึกนึกคิดตามธรรมดา แล้วย้อนทบทวนไป

มีความรู้สึกว่า ที่ผ่านมาเมื่อกี้นี้ มีเราเป็นเจ้าของเวทนา

ที่มีความสุขสงบราบคาบ ไม่มีตัว ไม่มีตน

นี่คือยึดเวทนาที่ผ่านมาแล้วล่วงมาแล้วว่าเป็นตัวเรา นั่นคือยังไม่ได้นะ

 

เพราะถ้าบรรลุมรรคผลแล้ว และเห็นนิพพานจริง

รู้จักนิพพานที่เป็นด้านกลับ ที่เป็นอะไรอีกมิติหนึ่ง

คือมีอยู่แล้วตรงหน้าเรานี่แหละ

แต่เรามองไม่เห็นเพราะเจอกำแพงที่เป็นขันธ์ห้าบังไว้

 

ตัวสัญญาขันธ์

ตัวสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่ง โดยความเป็นตัวเป็นตนนี่แหละ

ตัวดีที่สุด กำแพงที่ขวางไว้หนาหนักที่สุด

 

หรือแม้กระทั่งล่อลวงให้นึกว่า นั่นเป็นการสำเร็จมรรคผล

ตัวที่เป็นตัวขวางหนาหนักที่สุด สัญญาขันธ์ กับสังขารขันธ์นี่แหละ

ไปปรุงแต่งต่างๆ นานา

 

ถ้าเรายังยึดอยู่ว่าจะมีเราบรรลุมรรคผล

พูดง่ายที่สุดก็คือนั่นเป็นสัญญาณบอกว่า ยังไม่เฉียด ยังไม่ใกล้

 

แต่ถ้าหากเราพิจารณา จะอาศัยอานาปานสติก็ตาม

อย่างเช่น พอไปถึงขั้นที่จิตมีความสุขสงบ

มีความสุขรู้ว่าหายใจออก มีความสุขรู้ว่าหายใจเข้า

เกิดความรับรู้อย่างแจ่มชัดขึ้นมาว่า

ความสุขสักแต่เป็นเวทนา เป็นความรู้สึก

เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งเป็นภาวะชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน

 

ลมหายใจ เป็นธาตุลม สักว่าเป็นภาวะชนิดหนึ่ง

ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอีกเหมือนกัน

และจิตออกห่างมา มีความรู้สึกเหมือนกับว่า

การรับรู้นี้ เป็นการรับรู้ออกมาจากอีกฝั่งหนึ่ง

อีกฝั่งหนึ่งของภาวะ รู้สึกว่าภาวะที่แสดงออก เป็นความสุขก็ดี

หรือภาวะที่แสดงออกเป็นลมหายใจ เป็นสายๆ ก็ดี

เป็นสิ่งถูกรู้ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวใคร

 

และจิตก็เกิดความรับรู้ขึ้นมา ถึงความเป็นวิญญาณขันธ์

หรือความเป็นวิญญาณธาตุ ว่าสักแต่เป็นธรรมชาติรู้

เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย และดับไปตามเหตุปัจจัยที่หมดไป

ไม่รู้สึกว่าเป็นตัวเป็นตน

และมีความนิ่ง เป็นปกติสงบอยู่ กับความรับรู้แบบนั้น

โดยไม่มีความกระเหี้ยนกระหือรือ

ไม่รู้สึกอยากให้ตัวเองบรรลุมรรคผล

 

อันนั้น คือถอนจากความยึดจริงๆ ว่า

สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ หรือวิญญาณขันธ์เป็นตัวเรา

 

ภาวะที่ปรากฏ จะรู้สึกนึกคิดอย่างไรก็ตาม

มีเวทนาเป็นสุขแค่ไหน มีเวทนาเป็นทุกข์แค่ไหน

สบายหรืออึดอัดอย่างไร ไม่สน

 

สนแค่ว่า มีสติรู้ว่ามันเกิดขึ้น และมันหายไปตามเหตุปัจจัย

 

เหมือนเข้ามาอยู่ในหุ่นหลอกๆ หุ่นหนึ่ง

หรือเข้ามาอยู่ในโพรงไม้ เหมือนวิญญาณดวงหนึ่ง

ที่อยู่ๆ ผุดเกิดขึ้น และเข้ามาสิงในโพรงไม้

เกิดความรู้ เกิดปัญญาว่าโพรงไม้นี้ ไม่ใช่ตัวของมัน

 

และตัวจิตวิญญาณเองก็รู้สึกว่า ตัวเองเป็นอะไรสว่างๆ

มีความรับรู้แป๊บหนึ่งแล้วเดี๋ยวก็ดับหายไป

 

ประมาณอย่างนี้

 

ถ้าเกิดสมาธิ เห็นความเป็นอย่างนี้ได้เป็นปกติ

ไม่รู้สึกว่ามีใครจะได้บรรลุมรรคผล

ตัวนี้แหละสัญญาณบอก

อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในฉวิโสธนสูตร

เวลาที่จะตรวจสอบ เวลาที่จะสอบทานใคร

หรือแม้แต่ตัวเราเองก็ตามว่า

มีสัญญาณบอก มีลางบอก มีนิมิตบอกไหม

ตรงนี้แหละ .. ยึด หรือ ไม่ยึด

 

และจิตมีความรับรู้แบบเสถียร หรือไม่เสถียร

 

ถ้ายังมีความกระโดกกระเดก เดี๋ยวก็สงบ เดี๋ยวก็พลุ่งพล่าน

อยากบรรลุมรรคผล วันนี้ พรุ่งนี้

อันนั้นยังไม่เฉียด ยังไม่ใช่สัญญาณบอกความใกล้

 

แต่ถ้าจิตมีความสงบนิ่งราบคาบ

และมีความรู้ชัดอยู่ในกายนี้ใจนี้ นับเริ่มตั้งแต่ลมหายใจ

ไปจนกระทั่งความรู้สึกความนึกคิด หรือจิตวิญญาณ

ว่าแต่ละขณะ แต่ละสภาวะ มันแป๊บหนึ่ง ของแป๊บหนึ่ง แล้วหายไป

ไม่มีตัวใครเกาะตาม เป็นเงาติดตามไป .. นี่ ตัวนี้ที่เป็นสัญญาณบอก

 

ถ้าจิตใสใจเบา ไม่มีความอยากเอามรรคผลเพื่อใคร

และมีความพอใจ มีฉันทะที่จะเห็น

เหมือนกับเราสร้างเหตุปัจจัย ให้ภาวะเห็นภาวะไปเรื่อยๆ

ตัวนี้สัญญาณบอกที่แจ่มชัดมากๆ

 

แล้วอย่างเมื่อวานก็มีคนสงสัยว่า ผมระบุตัวเลขหกคนในปีนี้ เอาอะไรมาวัด

 

ก็ตรงนี้แหละครับ คือมีนะ คนที่โผล่ขึ้นมาแต่จริงๆ ยังไม่เสถียรทีเดียว

แต่มีสิทธิ์ อยู่ในทิศทางที่จิตจะอยู่ในสภาพที่

มีสติรู้ ประกอบด้วยปัญญา ประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิ

สักแต่รู้สักแต่เห็น ว่ากายนี้ใจนี้แสดงความเป็นภาวะเป็นขณะๆ

ไม่มีใคร ไม่ใช่ตัวตน และเลิกคาดหวังจะเอามรรคผลมาให้ใคร

มีแต่ให้ปัญญาเดินไปจนสุดทาง

 

คือรู้ อยู่ในอาการรับรู้ว่า เดินไปอย่างนี้แล้ว

ในที่สุด จะพ้นจากอุปาทานขึ้นมา

 

อันนี้คือเท่าที่สังเกต เท่าที่รับรู้จากที่ได้สัมผัส

และเห็นด้วยตาเปล่าในไลฟ์อย่างนี้แหละ

 

และตัวเลขหกคนนี้อย่างที่เมื่อวานบอกไว้แล้ว และมาย้ำอีกที

คือเอาเท่าที่เห็นชัดๆ แต่ว่าไม่ได้บอกว่าล็อคอยู่แค่หกนี้

หรือต้องได้หกแบบนี้แน่ๆ

คือมีความเป็นไปได้สูง และ เชื่อว่าด้วยสปีดระดับนี้

ด้วยความเพียรระดับนี้ยังคงเส้นคงวาอยู่

ผมเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรับรองไว้

ในขันธสูตร อายตนสูตร หรือว่าธาตุสูตร

 

ท่านบอกว่า ถ้าเห็นได้เป็นปกติ ไม่มีทางตายก่อนได้โสดาบัน

และเชื่อแบบนั้นจริงๆ เพราะนิมิตหมายบอกเลยนะ

 

จิตของคนที่ไปถึงความเสถียรที่จะเห็นได้เรื่อยๆ ว่า

กายนี้ใจนี้สักว่าเป็นขันธ์ห้า สักว่าเป็นธาตุหก

สักว่าเป็นสภาวะ ไม่มีบุคคล มีแต่รูปนาม จะฉายแววจริงๆ

 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับความเพียร ขึ้นกับฉันทะ

อาจมากกว่าหกคนในปีนี้ปีเดียว

 

เพราะเอากันจริงๆ ข้ามเส้นแรก ไม่ได้ยากอะไรมาก

ถ้าหากทำอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านประทานแนวทางไว้เป็นขั้นๆ จริงๆ

 

และจริงๆ สี่เดือน ถือว่า ถ้าเป็นสมัยพุทธกาล

พระระดับข้ามเส้นเป็นพระโสดาบัน ถือว่าช้าแล้ว

นี่พูดจริงๆ ไม่ใช่แกล้งพูดอะไรทั้งสิ้น

 

สมัยพุทธกาล พอท่านทำกัน

และมีบรรยากาศของความเป็นพระอรหันต์เยอะด้วย

อย่างที่วันมาฆบูชาพูดถึง แค่เก้าเดือน

พระพุทธเจ้าท่านผลิต พระอรหันต์อภิญญาหก ได้ถึง ๑๒๕๐ รูป

ซึ่งมีความตั้งมั่น มีพลังสว่างอย่างใหญ่

มากพอที่จะทำให้พุทธศาสนาปักหลักมั่นคงขึ้นมาได้

 

 

พอมีกระแสแบบนี้เป็นตัวตั้งเป็นตัวนำ

ไปที่ไหนก็เจอพระอรหันต์ หันไปทางซ้าย หันไปทางขวา

เต็มไปด้วยอริยบุคคล

 

คืออริยบุคคล เก้าเดือนอาจมีเป็นหมื่นๆ คน

ทั้งฝ่ายบรรพชิต ทั้งฝ่ายคฤหัสถ์ ฆราวาส

อาจมีโสดาบันเกลื่อน เดินไปไหนก็เจอ

หรือได้ยินว่าที่นั่นที่นี่ บ้านนั้น ถิ่นโน้น ตำบลนี้

ได้บรรลุโสดาบันกันวันไหน และพระพุทธเจ้าได้รับรองแล้ว

 

ก็เกิดความรู้สึกถึงสภาพแวดล้อม พลังแวดล้อม

ที่กระตุ้นให้จิตได้อยู่ในทิศในทาง

ที่จะเข้าถึงความจริงเกี่ยวกับพระนิพพานขึ้นมา

 

ก็เลยไม่ใช่เรื่องที่เป็นเรื่องลี้ลับ หรือเกินเอื้อม พ้นยุคสมัยอะไร

เหมือนอยู่ในยุคสมัยที่เหมาะที่คนจะบรรลุธรรมกัน

 

ทีนี้ ถ้าอย่างในห้องนี้ มีความเพียรกันจริงๆ มีฉันทะกันจริงๆ

แล้วก็มีความตรงทาง จริงๆ อาจไม่ใช่แค่หกก็ได้

แต่ผมก็ไม่รู้ แปรไปตามเหตุปัจจัย ของแต่ละคน

 

ก็เรียนให้ทราบตรงๆ ว่าบางคนโผล่มาจากไหนไม่รู้

ผมก็แอบนั่งอ้าปากค้างอยู่นะ .. เออ มาจากไหน

หลายคนก็บอกว่า ซุ่มอยู่นานแล้ว ดูอยู่หลายเดือน แล้วก็ทำมาตลอด

พอได้ฤกษ์ส่งขึ้นมาก็โอเค คือ ก็อยู่ในทางที่ใช่ อยู่ในทิศในทางที่ใช่

 

ผมเองก็ไม่สามารถบอกได้หรอกว่าจะกี่คนกันแน่

อย่างเมื่อวานบอกไปอย่างน้อยที่สุดหกคน ที่ผมเห็นว่ามีแวว

แล้วด้วยสปีดแบบนี้ ความเพียรอย่างนี้ ฉันทะแบบนี้

แล้วก็ฉายรัศมีออกมาแล้ว มีประมาณหกคน

 

แต่อาจมากกว่านั้น ซึ่งขึ้นกับเหตุปัจจัย ตัวแปรในจิต

หรือว่าในชีวิตของแต่ละท่านเอง

อันนี้ผมไม่สามารถที่จะไประบุเป็นตัวเลขชัดๆ ให้แน่นอนได้

รู้แต่ว่าของแบบนี้ถ้าได้ขึ้นมาสักคน

ก็จะจุดชนวนให้เกิดความรู้สึกตื่นตัวตาม

 

คือพวกเรานี่ เห็นกันมา หน้าเดิมๆ นั่นแหละ

แต่ว่าจิตไม่เหมือนเดิม จะรับรู้ด้วยกันได้ มาด้วยกัน

 

และรู้สึกถึงภาวะของตัวเองก่อน แล้วไปเทียบเคียง

เห็นว่าของเขาแตกต่างไปอย่างไร ต่างไปจากของเดิมอย่างไร

ก็จะรู้สึกได้ ถ้าคนศึกษาธรรมะมาว่า จะเอาอะไรจากพุทธศาสนา

 

เอาจิตนี่แหละ จิตที่เบาลง

จิตที่มีความสว่างใสขึ้น จิตที่ละบาป บำเพ็ญบุญ

แล้วก็ใกล้เคียงกับความบริสุทธิ์เข้าไปทุกที

 

เมื่อเห็นจากหลายๆ คน และตัวเองก็อยู่ในทางแบบนี้

ที่เน้นเห็นกายใจโดยความเป็นขันธ์ห้า ธาตุหก

 

แล้วก็ใช่ แบบที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ทุกอย่าง

เราสามารถที่จะกลับไปอ้างอิง สามารถที่จะกลับไปอ่าน

สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติ

แล้วก็เข้าใจ กันมากขึ้นๆ

 

ตัวนี้ ที่ไม่ต้องให้ผมบอก ท่านสามารถทราบได้

ประจักษ์ใจท่านเองอยู่แล้วว่าที่ทำๆ กันมา จริงหรือไม่จริง ถูกหรือไม่ถูก

 

และแต่ละคน แต่ละท่านที่ปรากฏในไลฟ์

ใครทำใครได้ ก็เห็นจริงๆ

ใครอุทิศเวลาให้กับตรงนี้ ที่หมายถึงการเจริญสติกับตัวเอง

ถึงแม้จะเป็นฆราวาส แต่บางคน บางวัน

เดิน สามชั่วโมงบ้าง หกชั่วโมงบ้าง

แต่บางคน เดิน สิบนาทีบ้าง ยี่สิบนาทีบ้าง

ก็ขึ้นกับว่าฉันทะ หรือความยอมใจ ให้กับการเจริญสติของแต่ละท่าน

.. มาอิจฉากันไม่ได้ มาเทียบวัดกันว่า

ใครดวงดีกว่า ใครมีใคร backup มากกว่าอะไรแบบนี้ ไม่ได้เลยจริงๆ

 

ถ้าจะอิจฉากัน อิจฉากันที่ความเพียร

เวลาที่เราได้แนวทางแบบที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วนี่นะ

อิจฉากันที่ความเพียร อิจฉากันที่ฉันทะ

ที่แต่ละคน ไม่ได้ใช้ดวง ไม่ได้ใช้สิ่งที่เรียกพรสวรรค์มาจากไหน

แต่มาจากแรงบันดาลใจ หรือสิ่งที่ผลักดันจากข้างใน

แต่ละคนไม่เท่ากันจริงๆ

 

แล้วก็ที่จะได้หรือไม่ได้ อย่าวางใจไว้ที่คำพยากรณ์ของใคร

ให้อาศัยใจเรานี่แหละเป็นเครื่องตัดสิน

แล้วเวลาดูของคนอื่น เทียบวัดกับคนอื่น

 

ไม่ใช่เพื่อเทียบเขาเทียบเรา แต่เพื่อเทียบขันธ์ เทียบธาตุ

ว่า ขันธ์นี้ ขันธ์โน้น ธาตุนี้ ธาตุโน้น โน้มน้อมไปในทางที่จะสงบลง

สงบจากขันธ์ สงบจากธาตุ เข้าถึงพระนิพพานธาตุ

 

อันไหนมีความโน้มเอียงมากกว่ากัน เทียบอย่างนั้น

อย่าไปเทียบเป็นตัวเป็นตน เป็นเขาเป็นเรา เป็นมานะ เป็นอัตตา

 

ต้องชี้แจงเพราะเดี๋ยวเรื่องนี้อาจพูดให้เป็นเรื่องธรรมดาไปเลยก็ได้

เพราะไม่อย่างนั้นจะมีควันหลงเยอะ มีข้อสงสัยติดตามมาเยอะ

จะพูดให้เป็นเรื่องปกติไปเลย เพราะเราอยู่กันมานานพอ

ที่จะพูดเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องพื้นๆ เรื่องดาดๆ เรื่องธรรมดาๆ ได้บ้างแล้ว

 

ถ้าไปพูดที่อื่น หรือใครหลงเข้ามารับรู้ มาสังเกตการณ์

มาเป็น observer อะไร ก็ขออภัยด้วยนะ

คือต้องรับผิดชอบตัวท่านเอง

รับผิดชอบกรรมและวิบากของท่านเองนะครับ

 

แต่ถ้าหากเรามาอยู่ตรงนี้ ด้วยกัน

แล้วก็มีความสนใจไปในทิศทางเดียวกัน

เราคุยกันได้ในแบบที่ เราจะอิงอาศัยประสบการณ์ตรงของแต่ละท่าน

มาชี้ มาวัดว่าจริงหรือไม่จริงนะครับ

 

________________

ไลฟ์วิปัสสนานุบาล EP 81 : มาตรวัดความเฉียดมรรคผล

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิปเต็ม : https://www.youtube.com/watch?v=xBqRtP2uCRQ

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น