พี่ตุลย์ : พอหยุดรอบนี้เช็คนิดหนึ่ง
ธาตุดินที่เป็นท่ายืน แล้วก็ธาตุดินที่เป็นกระจก
ที่แตกต่างกัน
หยุดยืนนิ่งแป๊บหนึ่ง
คือจังหวะหยุด ณ
เวลาที่เราไปประจันกับสิ่งที่เป็นวัตถุตรงหน้านี่นะ
จะมีประโยชน์ถ้าเราหยุดค้างไว้สักสิบ
หรือยี่สิบวินาที
เพื่อที่จะทำความรับรู้ เหมือนกับมีการกระตุ้น
ให้จิตเกิดการเปิดรับว่า
ธาตุดินหมายเลขหนึ่ง อยู่ตรงนี้ ท่ายืนอยู่ตรงนี้
และวัตถุหมายเลขสอง
กระจกหรือเครื่องขวางใดๆ ก็ตามของแต่ละคน
มีระยะห่างกัน มีช่องว่าง
เราจะเอาความรู้สึก เอาสัมผัส
ที่ได้จากวัตถุหมายเลขหนึ่ง วัตถุหมายเลขสอง
มาใกล้กัน
และอยู่ห่างประมาณหนึ่งก้าว
จะมีข่องว่างให้รับรู้ และยืนหายใจ
ตรงที่เราหยุดเป็นครั้งๆ ไป
เพื่อจะเช็คความรับรู้ว่า จิตกำลังแผ่ออก
รับความเป็นธาตุดิน ธาตุลม อากาศธาตุหรือเปล่า
ตรงนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้การเดินจงกรมของเรา
มีการเวียนกลับมาหาความเป็นธาตุย้ำๆ
ซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ
ถ้าหากเราได้ทั้งความรู้สึกเกี่ยวกับธาตุหก
ในขณะหยุดยืนด้วย
และได้ทั้งความใสของจิต
ตอนที่เดินหลับตาด้วย
สิ่งที่จะเป็นผลตามมาในระยะยาวคือ
ความรู้สึกว่าจิตที่ใส ที่เห็น ที่มีความคมชัด
มีสติคมชัด รับรู้ความเป็นธาตุหกชัดขึ้นๆ
จะทวีตัวขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่เห็นออกมาจากภายในอย่างเดียว
ขอให้ถือเป็นจุด check point ทำความรับรู้
เห็นไหม จะทวีตัวขึ้นมา
ความรับรู้ว่า ธาตุดินมีความเหมือนกันอย่างไร
ระหว่างท่ายืนนี้กับกระจก
และความรับรู้เกี่ยวกับอากาศว่างจะดีขึ้นเรื่อยๆ
ด้วย
ตอนหยุดยืน เป็นจังหวะที่เราจะได้รู้อะไรหลายอย่าง
ทั้งธาตุดินที่คู่กัน ระหว่างธาตุดินหมายเลขหนึ่ง
กับธาตุดินหมายเลขสอง
ทั้งอากาศว่าง ที่เป็นช่องว่างระหว่าง ธาตุดินกับธาตุดิน
แล้วก็ลมหายใจ ที่มีอยู่ในอากาศว่าง
ถ้าหากมีความปรุงแต่งทางจิตใดๆ
เกิดขึ้น
จะเห็นชัดเลยตอนที่หยุด จะรู้สึกว่ามีความปรุงแต่งเกิดขึ้น
มีความเป็นเราเขา มีความเป็นเจ้าของ
หรือมีใครชื่ออะไรปรากฏขึ้นในหัว
แต่ถ้าหากจิตเงียบ มีความใส มีความสว่าง
กระจ่าง
จะมีความรู้สึกอีกแบบ คือเห็นแต่ธาตุดินประจันกัน
เป็นแต่ช่องว่าง ระหว่างธาตุดินปรากฏอยู่
และมีลมหายใจให้รับรู้
การที่จิตใสจิตเงียบ และเห็นแต่ภาวะของธาตุทั้งหกปรากฏอยู่
..
เห็นไหม พอเรากลับตัวมาแล้วเดิน เราจะรู้สึกชัดเลย
เหมือนกับธาตุดินเคลื่อนไหวอยู่รอบๆ ธาตุดินอื่น
และจะมีความรู้สึกสัมพันธ์กัน
ระหว่างธาตุดินหมายเลขหนึ่ง กับ ธาตุดินอื่นๆ
ที่อยู่ในห้อง
เหมือนกับมีสัมผัสขึ้นมาว่า
มวลของวัตถุธาตุ ที่เป็นธาตุดินแต่ละชิ้น
ไม่เท่ากัน
และจะมีความเห็นว่า วัตถุธาตุบางอย่างเป็นเหลี่ยม
วัตถุธาตุบางอย่างเป็นทรงกลม
ส่วนวัตถุธาตุนี้มีหัว มีตัว มีแขน
มีขา
ดูมีความซับซ้อนกว่าธาตุอื่นๆ
แต่แม้ว่าจะแตกต่างโดยคุณสมบัติรอบนอก
คุณสมบัติภายในที่เป็นแก่นแท้
เหมือนกันทุกประการ
มีความเท่าเทียมกันทุกประการ
คือมีความคงรูป กินพื้นที่ว่าง
ซึ่งก็สรุปรวมลง จิตยิ่งรู้เห็นไป
ยิ่งได้ข้อสรุปว่าเป็นธาตุดินเสมอกันจริงๆ
ต่างกันแค่รูปทรงหลอกๆ
แต่โดยเนื้อแท้ มีความคงรูปคงร่าง
และกินพื้นที่ว่างเหมือนกันหมด
ตัวที่จะเป็นปัญญาแบบพุทธ จากการเดินจงกรมแบบนี้
ก็คือจิตที่นิ่ง ที่ใส และเห็นชัด
เวลาเทียบเคียงธาตุดินฝั่งนี้
กับธาตุดินอื่นๆ ที่อยู่รอบตัว อยู่ระหว่างทาง
และเราจะเห็นว่า พื้นที่ว่างที่ธาตุดินนี้เคลื่อนไป
มีความต่าง
ช่องว่างหรืออากาศธาตุ บรรจุอยู่ด้วยธาตุดินที่แตกต่างกัน
พอเราเคลื่อนเข้าใกล้วัตถุชิ้นไหน
จะเหมือนมีแรงกระทำต่อกัน
วัตถุสองชิ้น สามชิ้น
จะมีแรงกระทำต่อกันบางอย่าง
เหมือนผลักกัน หรือดูดกัน แล้วแต่ความสัมผัสของแต่ละคน
อย่างถ้าหากเคลื่อนไปในพื้นที่ว่าง
แล้วเกิดความรู้สึกว่า มีวัตถุกีดขวางอยู่
สิ่งกีดขวางนั้น จะเหมือนเครื่องห้าม
ไม่ให้เข้าใกล้หรือกระทบกระทั่งกัน
แต่อย่างเวลาที่เราเคลื่อนเข้าใกล้ตัวประตู
ซึ่งเป็นพื้นที่ราบเรียบ
จะมีความรู้สึกเหมือนกับวัตถุสองชิ้น กำลังดึงดูดเข้าหากัน
ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือ การที่วัตถุหมายเลขหนึ่ง
เคลื่อนเข้าหาวัตถุอีกชิ้นนั่นเอง
พอเรารู้สึกถึงความใสที่ภายใน
เราก็ตั้งอยู่ตรงนั้น
ตั้งอยู่กับความใส ที่ออกมาจากตรงกลาง
การรับรู้จะมีความใสมากขึ้นๆ
จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง เรารู้สึกเหมือนห้องว่างทั้งห้อง
ถูกเรารับรู้รอบด้าน 360 องศา
ยิ่งใสมากขึ้นเท่าไหร่ สัมผัสว่าวัตถุนี้
หมายเลขหนึ่ง นี้
มีความเป็นต่างหาก มีความกินพื้นที่ว่าง
มีที่ตั้ง แตกต่างจากวัตถุอื่นๆ ..ยิ่งแจ่มชัดขึ้นเท่านั้น
ตรงที่รู้สึกเปิดๆ กว้างๆ ออกมาจากภายใน
ถ้าเราอยู่กับตรงนั้น เราจะเห็นถึงความใส
ความกว้าง
แล้วพอมองดูว่า เรารู้ออกมาจากตรงความใสที่เปิด
ที่กว้าง
ตัวนั้นแหละ คือสภาพหนึ่งของจิต
ยิ่งจิตมีความเปิด ยิ่งจิตมีความใส
แล้วเห็นตำแหน่งของวัตถุต่างๆ
เทียบเคียงกัน
วัตถุหมายเลขหนึ่ง เคลื่อนไปเรื่อยๆ
วัตถุหมายเลข สอง สาม สี่
ที่รายล้อมอยู่ในห้อง ตั้งนิ่งเฉยๆ
ก็จะยิ่งเกิดความเห็นชัด กระจ่างว่า
ธาตุดินที่กินพื้นที่ว่างอยู่
มีเนื้อแท้เสมอกันจริงๆ
โดยความรู้สึก เวลาที่จิตรู้สึกถึงความเสมอกันของธาตุดินต่างๆ
เราจะเห็นชัดว่า ไม่มีอาการแบ่งแยก
อันนี้เป็นความปรุงแต่งจิตที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
เดิมมีความปรุงแต่งจิตชนิดที่แยกว่า
อันนี้เราเป็นมนุษย์ มีความเป็นเราอยู่แน่ๆ
แยกเป็นต่างหากจากวัตถุอื่นๆ
และวัตถุอื่นๆ ในห้องเป็นของๆ เรา
แต่พอจิตมีความใส มีความกระจ่างชัด
สิ่งที่เป็นความปรุงแต่งจิตแทนที่ นับแต่มีอนัตตสัญญาขึ้นมา
ก็คือรู้สึกว่า ธาตุดินนี้ ที่เป็นหมายเลขหนึ่ง
มีความเสมอกัน ไม่มีใครเป็นเจ้าของใคร
ไม่มีตัวที่เดินอยู่เป็นเจ้าของวัตถุ
ที่อยู่รอบห้อง
มีแต่วัตถุอันเป็นธาตุดินเสมอกันหมด
เสมอกันโดยความเป็นธาตุ
แต่ธาตุดินหมายเลขหนึ่งนี้ มีความเป็นขันธ์ห้าอยู่ด้วย
อย่างตอนที่รู้สึกว่าธาตุดินนี้ หมายเลขหนึ่งนี้
เสมอกับธาตุดินอื่นๆ หมายเลขสอง สาม สี่
ที่อยู่ในห้อง
เราจะรู้สึกว่ามีความเสมอกัน ไม่ใช่ตัว
ไม่ใช่ตน
นี่เป็นสัญญาชนิดหนึ่ง
สัญญา คือธรรมชาติปรุงแต่งให้จิตมีความสำคัญมั่นหมาย
รู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร จำได้ว่าอะไรเป็นอะไร
ตอนนี้อยู่ในช่วงการสะสมตัวเห็นว่า
อะไรๆ ทั้งหมายเลขหนึ่ง ทั้งหมายเลขอื่นๆ
ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของๆ
เรา
ที่เรียกว่า สัญญา เป็นอนัตตสัญญา
นี่คือความต่าง ระหว่างธาตุดินหมายเลขหนึ่ง
กับธาตุดินอื่นๆ
ธาตุดินอื่นๆ ไม่มีขันธ์
ไม่มีความเป็นสัญญาขันธ์ ไม่มีความเป็นสังขารขันธ์
พอ ธาตุดินอื่นๆ ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นตัวเขาตัวเรา
ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นอนัตตา หรืออัตตา
ก็ตั้งนิ่งของมันอยู่อย่างนั้น
แต่ธาตุดินหมายเลขหนึ่งนี้
มีตัวอัตตสัญญา หรืออนัตตสัญญา
ประกอบ ประชุมร่วมอยู่ด้วย
ฉะนั้น ก็เลย เป็นทุกข์ได้
ตัวที่เป็นทุกข์ ก็มาจากสังขารขันธ์
นั่นแหละ
มาจากการปรุงแต่งจิต
ถ้าเราออกจากการเดินจงกรม แล้วมีอัตตสัญญากลับมาใหม่
มีความเป็นเขาเป็นเรา มีเราเป็นเจ้าของอะไรๆ
นั่นแหละ
ตัวสังขารขันธ์ เกิดการปรุงแต่งขึ้นมา
ว่า จะเอาอย่างไรกับสิ่งที่มีอยู่
จะเอาอย่างไรกับตัวตนนี้
จะคิดดี หรือคิดชั่วกับคนอื่น
ตัวสังขารขันธ์นี่แหละที่ปรุงทุกข์ขึ้นมา
เดิม ถ้าหากมีแต่อนัตตสัญญาอยู่
ทำให้จิตมีความสงบราบคาบตลอดเวลา
.. ความทุกข์จะไม่เกิด
แต่พอมีอัตตสัญญาขึ้นมา
และมีความปรุงแต่งว่าเป็นเขาเป็นเรา
เราจะคิดดี เราจะคิดชั่ว
ตัวนี้ เกิดอะไรขึ้นมาหลายอย่าง
กรรมเกิด ก็เพราะมีสังขารขันธ์นี่แหละ
สังขารขันธ์มี ก็เพราะสัญญามีนี่แหละ
สัญญามี ก็เพราะว่าเวทนามี
คือตัวความรู้สึกเป็นสุขบ้าง
เป็นทุกข์บ้าง
อึดอัดบ้าง สบายบ้าง จะปรุงสัญญาขึ้นมา
และที่มีเวทนาขึ้นมาเพราะอะไร
เพราะมีผัสสะกระทบ มีสิ่งกระทบ
มีสัมผัสกระทบ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
ใจ
ที่มากับธาตุดินนี่แหละ
ประสาทรูป
หรือรูปที่เป็นเครื่องอาศัยของประสาทสัมผัส
ก็คือธาตุดินนี้เอง
พอมีความรับรู้ที่กระจ่างชัด
เจาะลึกลงไปในธาตุดินหมายเลขหนึ่ง
ก็เกิดความเข้าใจ เกิดปัญญาแบบพุทธขึ้นมาว่า
เพราะมีธาตุดินหมายเลขหนึ่ง นี้
ที่กำลังตั้งอยู่โดยความเป็นอย่างนี้
นี่แหละ
ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา
ก่อให้เกิดกรรมขึ้นมา
พอจิตมีความใหญ่ มีความเป็นอุเบกขา
ขนาดใหญ่แบบมหึมา
แล้วก็ไม่มีความเอียงข้างด้วย
แม้ปีติหรือสุข
จะเห็นเลย ภาวะที่ปรุงประกอบกันทั้งหลาย
ที่กลายเป็นธาตุดินหมายเลขหนึ่ง แบบนี้
มีรูปประสาทแบบนี้ เป็นผลของกรรม
จะเห็นชัด ทะลุทะลวงเป็นสายปฏิกิริยาลูกโซ่
เห็นว่าถ้าไม่มีกรรมอันเป็นต้นเหตุ
กายนี้รูปประสาทแบบนี้ ไม่มีทางเกิด
กายนี้รูปประสาทแบบนี้
ที่เป็นอัตภาพแบบมนุษย์
ต้องอาศัยความสว่าง อันเป็นบุญเป็นกุศลในการสร้างขึ้นมา
ถ้าปราศจากบุญ ปราศจากกุศลแล้ว
ไม่มีทางเลยที่จะได้รูปประสาท อันเป็นธาตุดินแบบรูปมนุษย์แบบนี้
ตอนที่ใจเปิดกว้าง และมีความใส
ถ้าเราอยู่กับตรงนั้น
แล้วกว้างขึ้นใสขึ้นเรื่อยๆ ก็จะเห็นเคลียร์ขึ้นๆ
มีคำถามไหม?
น้ำอบ : ไม่เชิงคำถามค่ะ แต่อยากแชร์
พอดีเมื่อคืนเกือบตีสอง .. สืบเนื่องจากคืนก่อนไม่ได้นอนเลย
เช้าวันถัดมาก็ทำงานทั้งวัน
เมื่อคืนเลยนั่งคุยกับลูกจนตีหนึ่ง
แล้วคิดว่าจะปฏิบัติดีกว่า
เพราะได้คิวส่งการบ้าน
ตอนนั้นก็รู้สึกกายล้า เหนื่อยมาก
เลยนั่งก่อนประมาณสิบนาที
แล้วค่อยเดินประมาณครึ่งชั่วโมง
แต่ช่วงที่เดิน ทำตามที่พี่ตุลย์ไกด์
ก็ใส สว่าง
แล้วเวลาเดินไปเดินมา
จะเหมือนเราลืมตาเดิน
แล้วเวลาเดินไปหากระจก เราก็รู้สึกว่า
ระยะทางใกล้แล้ว
เหมือนความเข้มข้นมากขึ้น
และระยะนี้คือระยะที่เป็นภาพจำของเราแล้ว
หลังจากเดินเสร็จ ก็มีกำลัง ความเหนื่อยหายไปหมด
แต่ก็นอนก่อน
เพราะพรุ่งนี้ต้องส่งการบ้าน
ก็นั่งสมาธิต่ออีกยี่สิบนาที
แล้วรู้เลยว่า การชาร์จพลังจากสมาธิ
เป็นแบบนี้นี่เอง
คือ เต็ม สว่าง ไม่มีความง่วง
ไม่เหนื่อย คงอยู่อย่างนั้นของมัน
ก็คิดถึงคำที่พี่ตุลย์บอก ความนิ่งของกำลังสมาธิ
จะคงอยู่
เราก็แค่เห็นมัน แล้วเดินไปมา
ก็เห็นมันคงอยู่นิ่งๆ สบายๆ
ของมันอย่างนั้น จนเราหลับ
พี่ตุลย์
: แล้วตอนจะนอน
สังเกตไปว่า ในหัวมีอะไรฟุ้งๆ ยุ่งๆ ไหม
ถ้ามีความรู้สึกใสๆ โล่งๆ แล้วรู้สึกถึงลมหายใจเข้า
ลมหายใจออกนี่
จะเป็นการหลับที่ reset สมองดีที่สุด ตื่นขึ้นมาจะโล่ง มีกำลัง
และจุดสำคัญที่สุดคือ รู้สึกมีฉันทะที่จะเริ่มต้นภาวนาทันที
ทั้งๆ ที่ยังทำกิจกรรมอื่นๆ
เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไปนั่นแหละ
ลุกขึ้นจากที่นอน เข้าห้องน้ำ
มากินข้าว จะต้องพูดจาอะไรกับใคร
จะมีความรู้สึกเหมือนกับว่า ทุกกิจกรรมเป็นความเคลื่อนไหว
ที่ช่วยให้เราสามารถรู้สึกถึงธาตุดิน
รู้สึกถึงความปรุงแต่งของจิต
รู้สึกถึงการแบ่งเป็นท่อนๆ ขณะๆ ว่า
จิตแบบนี้หายไปแล้ว จิตอีกแบบเกิดขึ้นมาแทน
จิตแบบนี้หายไปอีก
และจิตอีกแบบเกิดมาแทนที่อีก
เห็นเป็นขณะๆ อย่างนี้แล้วเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า
อยู่ในระหว่างวัน เราก็สามารถที่จะมีสติเจริญขึ้นได้
อันนี้ที่เป็นสุดยอดของการต่อจากนั่งสมาธิ
และเดินจงกรม
น้ำอบ : น้ำอบเดินจงกรมเป็นอย่างไรบ้างคะ
พี่ตุลย์ : จิตบางช่วง เปิดแผ่
ช่วงเปิดแผ่แล้วใส
เราทรงอยู่อย่างนั้นเลย
ให้ทำความรับรู้ออกมาจากจิตแบบนั้น
คือไม่ใช่ทำความรับรู้เข้าไป
แต่ทำความรับรู้ออกมาจากจิตแบบนั้น
แล้วต๊อกๆ เป็นตัวหล่อเลี้ยง
เหมือนเติมเชื้อเพลิงเข้าไปเรื่อยๆ
ว่าเรารับรู้ออกมาอย่างนั้น ใสๆๆ
ใสขึ้นๆ
และมีจุด check point ที่แน่นอน คือ พอไปยืนใกล้ประตู
.. ของแต่ละท่าน
แต่ละที่จะไม่เหมือนกัน แล้วแต่สถานที่
บางคนเป็นต้นไม้ บางคนเป็นเสา
เป็นผนังทึบ แล้วแต่
ที่บอกว่าไม่สามารถเดินจงกรมได้ เนื่องจากติดขัดเกี่ยวกับสถานที่
ในห้องแคบ ในห้องอะไร ถ้าใช้วิธีนี้จะพบเลยว่า
เปลี่ยนจากข้อเสียเปรียบ เป็นข้อได้เปรียบ
จริงๆ แล้วการเดินจงกรม
มีหลากหลายพิสดารมาก
แม้กระทั่งว่าจะให้รู้เท้ากระทบ
ให้เกิดวิตักกะ
หรือทำความเข้าใจเรื่องวิจาระแทบเป็นศูนย์เลย
แต่ละที่แต่ละแห่ง ก็จะแนะนำมาต่างกัน
แต่ point คือคนเดินจงกรมส่วนใหญ่ เดินมั่วๆ ..
ไม่ได้พูดถึงแนวทางหรือสำนักไหนนะ
แต่พูดถึง ที่อยู่ในใจของผู้เดินจงกรมจริงๆ
เลย
มักออกแนว ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดสมาธิหรือยัง
จิตคิดมั่วไปถึงไหนแล้ว
ไม่รู้จะหาจุดที่เป็นเครื่องยึด
เครื่องตรึงอารมณ์ให้ตั้งมั่นได้อย่างไร
ต่อให้มีความตั้งมั่นในการเดินจงกรมแล้ว
ก็ไม่รู้จะกำหนดอย่างไร ให้เป็นความเห็นว่า
เป็นอนัตตา เป็นรูปนาม
พอมีอารมณ์แบบสมถะขึ้นมาฟลุ้คๆ รู้สึกเหมือนหุ่นเดิน
ก็บอกว่าได้วิปัสสนาแล้ว รู้แล้วว่า
จะเห็นอย่างไรในการเดินจงกรม
แต่เสร็จแล้วพอเห็นครั้งหนึ่ง
อีกสองปีสามปี กว่าจะเห็นแบบนั้นได้อีก
เพราะแต่ละคนเข้าทางไม่ถูก
พอเข้าทางไม่ถูก
หรือไม่มีหลักชัดเจนว่า
เราจะเดินจงกรมไปเพื่อเห็นอะไร
ก็เหมือนเดินจงกรมเปล่าๆ
แสนกิโลในชาติหนึ่ง
เพื่อที่จะไม่ได้อะไรเลย นอกจากเห็นอะไรขึ้นมาแผ่วๆ
แต่ถ้าหากเรามีหลักชัดเจน แม่นๆ
ในใจว่า
เราจะเดินไปเพื่อเห็นกายใจโดยความเป็นรูปนาม
ตรงนี้มีหัวข้อธรรมสารพัดเลย
แต่ก่อนจะไปถึงหัวข้อธรรมได้
ต้องไปถึงความตั้งมั่นของจิตให้ได้เสียก่อน
ซึ่งของน้ำอบคือว่า
มาถึงจุดที่จิตใสใจเบา
ภาวะทางกาย เหมือนเคลื่อนไปโดยความเป็นธาตุดิน
แล้วความโล่งความเปิดของจิต
สามารถที่จะสัมผัสรู้ได้ว่า
ภาวะทางกาย ภาวะของวัตถุอื่นๆ
รอบตัวเรา
มีความเสมอกันโดยความเป็นธาตุดิน
ถ้าเริ่มต้นรู้แบบนี้
สามารถที่จะพิจารณาหัวข้อธรรมไหนก็ได้
โดยความเป็นขันธ์ห้าก็ได้ โดยความเป็นอายตนะก็ได้
โดยความเป็นธาตุทั้งหก ที่ปรากฏอยู่อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งก็ได้
อย่างสมัยพุทธกาล
เวลาท่านเจริญอานาปานสติในท่านั่งเสร็จ
จิตใสใจเบา แล้วขึ้นมาเดินจงกรม
ท่านเห็นเป็นธาตุทันที
ท่านเห็นเป็นธาตุขันธ์เหมือนที่เราเห็นแบบนี้
แล้วจิตของท่านมีความใหญ่มาก
ท่านเอาเศษของฌานมาดูกายดูใจ ทะลุทะลวงปรุโปร่งไปหมด
เห็นว่าประสาทรูป ที่ปรากฏเป็นธาตุดินแบบนี้
แตกต่างจากใบไม้ใบหญ้าอย่างไร
และที่มีประสาทรูปขึ้นมาได้
ก็เพราะเป็นผลของกรรม
เป็นวิบากของกรรมในอดีต
เห็นเป็นนิมิต ทะลุปรุโปร่งชัดเจนเลยว่า
ที่มาคงรูปคงร่างอยู่อย่างนี้
ก็เพราะมีความสว่าง
มีกองบุญที่เป็นภูเขาเลากา
มาเป็นตัวเนรมิตให้เกิดขึ้น
ให้อุบัติขึ้นนับแต่ ความเป็นทารกในครรภ์มารดา
และก่อนที่จะมาเป็นทารกในครรภ์มารดาได้
ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณ เข้ามาประกอบ
คือมีไข่สุกของมารดา แล้วก็มีตัววิญญาณธาตุ
ที่เนรมิตขึ้นมาจากวิบากกรรม
เข้ามารวมกัน
จะเห็นทะลุปรุโปร่งเลย เห็นเป็น
ปฏิจจสมุปบาทชัดเจน
และท่านพิจารณาแบบนี้
ไม่ว่าจะนั่งหรือเดิน
ก็เกิดความคลาย เกิดความรู้แจ่มแจ้งชัดเจนว่า
อะไรๆ ที่กำลังปรากฏ นึกว่าเป็นบุคคลอยู่นี้
จริงๆ แล้วเป็นสภาพหลอก
เป็นของที่ปรุงแต่งขึ้นมา
เพื่อที่จะให้เราได้ทำกรรมต่อ
แล้วก็เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ไปเรื่อยๆ
ทำกรรมเสร็จ ก็สะสมกองบุญกองบาป
ถ้าชาติไหนกองบุญชนะ ก็ไปเกิดในที่ๆ ดี
ถ้าชาติไหนกองบาปชนะ ก็ไปเกิดในที่ๆ
แย่
ความเห็นแบบนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความเข้าใจ
ด้วยปัญญาแบบพุทธ
จะทำให้จิตถอนออกมาจากความยึดติดถือมั่น
แล้วก็รู้สึกว่า นี่เป็นภัย
คือไม่ใช่คุยกันเล่นๆ ว่า
ชาติภพเป็นภัย
แต่เห็นเข้าไปจริงๆ ว่า ด้วยเหตุแบบนี้
ผลแบบนี้
เป็นทุกข์แบบไร้แก่นสาร
ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ
และไม่มีใครที่ปลอดภัยจริง
ต่อให้ทำบุญมหาศาลแค่ไหน
ถ้าพลาดไปทำบาป ด้วยฐานของบุญที่อุตส่าห์สร้างสมไว้แล้วนั้น
ก็พลัดหล่นลงนรกได้
ตัวที่เห็นโทษเห็นภัย ตัวที่ใกล้พ้นไป
นั่นแหละ
จะทำให้จิตถูกปรุงแต่ง เข้ามาอยู่ในสภาพของความเฉย
วางเฉยแบบไม่เอา วางเฉยแบบใคร่พ้นไป
อุเบกขาแบบนั้นที่เรียกว่า
สังขารุเปกขาญาณ
เป็นตัวที่จะทำให้เราแยกออก
จิตจะแยกออก และไม่เอาขันธ์ห้าที่ปรากฏเห็นชัดแล้วนั้น
ตรงนี้แหละ ที่ .. ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป
จับจุดตรงนี้ให้ถูกว่า เดินจงกรม
เรารู้เท้ากระทบก่อน
เมื่อมีวิตักกะ วิจาระแล้ว
เราดูว่าใจมีความใส มีความเปิด
ที่ใสๆ เปิดๆ กว้างๆ ที่จิตมีความตื่นนั้น
เวลาที่มารู้ วัตถุธาตุหมายเลขหนึ่ง
นี้ โดยความเป็นธาตุดิน
เทียบเคียงกับประตูกระจกเมื่อกี้
โดยความเป็นวัตถุหมายเลขสอง
ถ้าเห็นชัด เห็นถนัด เห็นลมหายใจเป็นธาตุลม
เห็นช่องว่างระหว่างธาตุดิน เป็นอากาศธาตุได้
ตรงนี้แหละจะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง
ที่จะเป็นการทวนกระแส
เวลาที่จิตมีความเห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
นี่ธาตุดินจริงๆ ไม่มีใครอยู่ในนี้จริงๆ
ก็จะค่อยๆ ปฏิรูปตัวเองไป
มีความเจริญก้าวหน้าไปบนเส้นทางของการดับทุกข์
______________
เดินจงกรมหลับตา : คลิปที่สอง
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=7heMBrZNr7o
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น