วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

วิปัสสนานุบาล EP 80 (เกริ่นนำ) : ชี้แจงเรื่องการบรรลุธรรม

EP 80 : ชี้แจงเรื่องการบรรลุธรรม

 

พี่ตุลย์ : สวัสดีทุกท่านนะครับ พบกันในช่วงค่ำคืนวันนี้ วันพฤหัส

เราจะเริ่มกันตั้งแต่ หนึ่งทุ่ม ถึง สี่ทุ่ม

 

คืนนี้ จะมีแจ้งเรื่องหนึ่ง

เกี่ยวกับการสอบถามการยืนยัน เรื่องการบรรลุมรรคผล

 

เราเริ่มต้นจากการสวดมนต์ร่วมกันก่อนนะครับ

 

(สวดมนต์บทอิติปิโสฯ ร่วมกัน)

 

ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงของการโค้ชชิ่ง มาคุยกันนิดหนึ่ง

 

เพราะว่าเราได้อยู่ในห้องวิปัสสนานุบาลกันมาสี่เดือน

บางคนก็จะมีความรู้สึกว่า ตัวเองอาจเริ่ม..

น่าจะขึ้นชั้นประถมได้แล้ว หรือชั้นมัธยมก็ว่ากันไป

 

ทีนี้คือ อย่างนี้ .. ห้องนี้ ที่สร้างขึ้นมา ถือว่าเป็นห้องปิด

แล้วก็ การที่เราจะปฏิบัติธรรมกัน มีเป้าหมายชัดเจนนะว่า

ไม่ได้ปฏิบัติกันเล่นๆ แต่มีทิศทางที่จะได้บรรลุธรรม

บรรลุมรรคผล เพื่อความสิ้นทุกข์สิ้นโศก

ตรงตามแนวที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ในอานาปานสติสูตร

มหาสติปัฏฐานสูตร หรือมรรคมีองค์แปด

 

ถ้าหากว่า มีความเข้าใจแจ่มแจ้งว่า สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัส

คือการรู้เข้ามาข้างใน ภาวะของกายใจนี้

เห็นกายใจนี้โดยความเป็นรูปนาม ไม่ใช่ตัวตน

อาจในแง่ของความเป็นขันธ์ห้า หรือในแง่ของความเป็นธาตุหก

 

ซึ่งพอรู้ไป ย่อมประจักษ์อยู่กับตัวเองว่า

แต่ละคนๆ สามารถรู้สึกถึงความเป็นธาตุ รู้สึกถึงความเป็นขันธ์

ได้ชัดเจนเพียงใด

 

พูดง่ายๆ ว่าเห็นแต่ภาวะ ไม่เห็นบุคคล ไม่เห็นตัวตนขึ้นมา

 

แล้วมาถูกหลัก ถ้ามาถูกทาง จะอาศัยอุบายวิธีใดก็แล้วแต่

ขอให้อยู่ในเส้นทางของอานาปานสติ

ขอให้อยู่ในเส้นทางของสติปัฏฐานเถอะ

 

วันหนึ่ง จะรู้สึกแจ่มแจ้งขึ้นมา จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า

สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ท่านสอนให้เห็นอะไร

สอนให้เกิดความรู้สึกอย่างไร

สอนให้ชีวิตยกระดับขึ้นมาอย่างไร

 

ทีนี้ ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า

การบรรลุธรรม เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ไม่ใช่เฉพาะในชาตินี้นะ

 

ถ้าเคยบรรลุธรรมมา อย่างช้าที่สุด ในเจ็ดชาติ ต้องถึงที่สุดทุกข์

พูดง่ายๆ ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้ว ไม่เกิดเจ็ดชาติ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ อย่างไรๆ

ก็ต้องได้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดเป็นพระอรหันต์

 

หมายความว่า ในอนันตชาติที่พวกเราเวียนว่ายตายเกิดกันมา

เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนตา เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนแซ่

เปลี่ยนความรู้สึกนึกคิด มากันนับครั้งไม่ถ้วน

พวกเราทั้งหลาย ไม่เคยได้บรรลุอรหัตผลกันแน่ๆ

 

ทีนี้ จะได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วหรือยัง?

อันนี้เป็นเรื่องที่น่าสงสัย น่าข้องใจ

 

ถ้าเป็นยุคที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ ก็จะมีข้อกังขาน้อย

ถึงแม้มีความน่าสงสัยบ้าง เช่น

พระโสดาบันบางท่าน ทำไมเป็นภริยาของนายพราน

หยิบอาวุธให้สามีเป็นการปรนนิบัติทุกเช้า

ข้อสงสัยเหล่านี้ เวลาที่พระพุทธเจ้าท่าน .. ซึ่งท่านเป็นพระศาสดา

ท่านรู้แจ้ง ท่านตรัสรับรองใคร หรือว่า อธิบายเหตุ

ว่าทำไมพระโสดาบัน ยังไปเป็นภริยานายพรานได้อะไรแบบนี้

 

คนในยุคพุทธกาลก็จะไม่สงสัย แล้วก็เกิดความเข้าใจ

เกิดความเชื่อมั่น เพราะว่าองค์พระศาสดาท่านเป็นที่สุด

 

คือแค่เข้าใกล้พระองค์ท่านก็รู้แล้วว่า แบบนี้ไม่มีกิเลสแน่ๆ

แล้วก็สามารถที่จะสั่งสอนคน สามารถที่จะรับรองคน

สามารถที่จะแจกแจงรายละเอียด ข้อสงสัยต่างๆนานาได้

ไม่เป็นที่เกิดความเคลือบแคลงกับผู้ฟัง

 

ทีนี้ในยุคเรา เวลาใครสงสัยขึ้นมาว่า

ตัวเองปฏิบัติมาตามที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว ใช่ หรือไม่ใช่

 

อันนี้ คือต้องบอกกันไว้ คุยกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่า

ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะมายอมรับตรงกัน หรือเห็นตรงกัน

 

อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ พูดกันง่ายๆ ว่า

มีหลายท่านที่เริ่มมีความรู้ มีความเห็น

มีสติ มีสมาธิที่หนักแน่นขึ้น

เห็นกายใจ โดยความเป็นภาวะขึ้นมาชัดเจนแจ่มแจ้ง

 

คือมีความรู้สึกว่า ในกายนี้ในใจนี้ ไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีใคร

ก็เกิดข้อกังขาขึ้นมาว่า นี่ใช่หรือยัง บรรลุโสดาปัตติผลหรือยัง

 

ตอนแรกๆ ถามกันคนสองคน ผมก็เฉยๆ นะ

ทีนี้ถามกันมากขึ้น ก็อยากจะแจ้งให้ทราบ

เรียนให้ทราบอย่างนี้แล้วกันว่า ไม่ต้องถามกันเป็นส่วนตัว

.. ถามในห้องนี้เลย

 

จะโดยพิมพ์เป็นคอมเมนท์

หรือว่าจะถามกันตรงๆ โต้งๆ ขณะที่โค้ชกันเลย

ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมากังวลว่า เดี๋ยวเป็นเรื่องไม่สมควรหรือเปล่า

ใครได้ยินแล้ วจะหัวเราะเยาะไหม

 

เพราะอย่างที่บอกให้ทราบตั้งแต่แรกว่า

เราอยู่ในห้องวิปัสสนานุบาลร่วมกันมาสี่เดือน มีเหตุผล

เราไม่ได้ปฏิบัติกันเพื่อที่จะมาอาศัยมือไกด์

แล้วก็ทำท่าทำทางกันเล่นๆ

 

แต่เราอยู่กันมานับก้าวแรก ตั้งแต่ความเข้าใจเริ่มต้นว่า

เราจะทำห้องปิดเฉพาะกลุ่ม

 

สี่เดือนที่ผ่านมา ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ

หมายถึงเรื่อง.. อย่างแต่ก่อน พิมพ์งาน พิมพ์บทความทุกเช้า

ตอนนี้ไม่ได้เขียนนะ ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น

นอกจากมา .. เรียกว่าอุทิศเวลาให้กับห้องนี้อย่างเดียวเลย

เพราะรู้ว่ามีความเป็นไปได้

 

แล้วก็ตอนนี้ ก็ดูเหมือนกับหลายๆ ท่าน ก็จะเริ่มรู้สึกว่า

ตัวเองก็เป็นความเป็นไปได้

จากที่รู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้ทั้งชีวิตนี้

.. เริ่มมีความเป็นไปได้ขึ้นมา

 

ฉะนั้น ถ้าเราเก็บๆ ปิดๆ ซ่อนๆ หรือว่าไปพูดกันหลังไมค์

ไม่มาคุยกันในห้อง ก็ไม่รู้จะมีห้องนี้ไว้ทำไม

ผมไปสอนแต่ละคน แล้วบอกแต่ละคนเป็นส่วนตัว

ซึ่งแบบนั้นก็ไม่ไหวหรอก แล้วก็จะไม่ได้แรงจูงใจ

หรือแรงบันดาลใจ เหมือนเช่นที่กำลังเกิดขึ้นทุกวันนี้

 

ถ้าสงสัย ให้ถามเลย

 

ตอนนี้คืนนี้เรามาถึงจุดที่น่าจะคุยกันรู้เรื่องว่า

.. บอกไปโต้งๆ อย่างนี้เลยว่า เอาเฉพาะที่ผมเห็นมาไลฟ์

ที่คุยด้วยเป็นส่วนตัวก็ตาม หรือว่าหลายๆคน ที่ฝากถามกันมา

ยังไม่มีใครข้ามเส้นได้สักคนนะ

 

แต่มีข่าวดี .. ในมุมมองส่วนตัว จากความเห็นของผม

เอาเป็นว่า ถ้าเชื่อกัน ก็คือจากประสบการณ์ส่วนตัว

.. ในปีนี้ น่าจะมีไม่ต่ำกว่าหกคน

 

คือไม่ได้ระบุจำนวนได้เป๊ะ แต่เอาจากสายตาที่เห็น

ที่คุ้นเคยกับท่านๆ มา เห็นความเปลี่ยนแปลงของท่านๆ มา

อย่างต่ำที่สุดมีหกคน

 

แล้วก็มีอยู่คนหนึ่ง .. เฉียดแล้ว

 

นี่คือบอกไว้ก่อน ว่า ห้องนี้เป็นห้องปิด

บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่า ไม่ใช่จะทำให้มาสร้างความเชื่อ

หรือเกิดความเชื่อในวงกว้างกัน

 

แต่เป็นการรวมเอาเฉพาะคนที่เห็นตรงกัน

เข้าใจตรงกัน หรือว่าเชื่อตรงกัน มาไว้ด้วยกัน

 

ถ้าหากใครจะหลงเข้ามาด้วยเจตนาอย่างอื่น

หรือว่าด้วยความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน

ผมกราบขออภัยนะ เพราะ .. ไม่น่าเลยที่จะเป็นเช่นนั้นนะครับ

 

ด้วยความรู้สึกพื้นฐานอันใดก็แล้วแต่

จะไม่เห็นด้วย หรือจะรู้สึกอะไรที่เป็นปฏิปักษ์กันอย่างรุนแรง

ขนาดที่จะมากลั่นแกล้งอะไรกัน

ผมไม่ได้มีความขุ่นเคือง หรือไม่ได้มีความรู้สึกรังเกียจอะไรพวกท่านเลย

แต่ที่กราบขออภัยไปนี่ เพราะไม่สามารถป้องกันได้จริงๆ

ที่จะไม่ให้พวกท่าน ได้ทำในสิ่งที่พวกท่านกำลังพยายามทำกันอยู่

 

เป็นสิ่งที่ผมไม่ทราบ .. ผมกับเหล่าคนที่อยู่ด้วยกัน

ตั้งใจที่จะไลฟ์โค้ชชิ่งกัน มีความเห็นตรงกัน

แต่พวกท่านมองเห็นไม่ตรงกัน

แล้วก็พยายามทำการอะไรบางอย่าง ที่เป็นกรรมของพวกท่านเอง

 

พวกเราอยู่ที่แจ้ง แต่พวกท่านอยู่ในที่มืด

ไม่ประกาศตัว ไม่ออกหน้า ไม่เป็นที่รู้จัก

ซึ่งก็สุดวิสัยจริงๆ ที่จะช่วยเหลือนะครับ

 

กล่าวจากใจจริง ว่า ในห้องนี้ ถ้าหากว่ามีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น

 ก็เหมือนกับการรวมแสงอาทิตย์เข้ามาไว้ด้วยกัน

 

แสงอาทิตย์นี้ .. ถ้าหากว่าเข้ามาผิดทิศผิดทาง ไม่ได้เข้าด้านสว่าง

แต่เป็นเข้าด้านร้อน ก็ถูกเผาไหม้ได้นะครับ

 

อันนี้ ชี้แจงให้ทราบในช่วงต้นของรายการคืนนี้

จะบอกว่า เรื่องของการเหนี่ยวนำ เรื่องของการที่เสริมแรงกัน

พวกท่านได้เห็นแล้วในขั้นต้นนะครับว่า ชีวิตแตกต่างไปขนาดไหน

เพียงได้มาอยู่ด้วยกัน แล้วก็เห็นกันและกัน

เจริญเติบโตคืบหน้า มาบนเส้นทางของการเจริญสติ

มันเหนี่ยวนำกันได้จริง

 

แล้วถ้าใครสักคนสามารถข้ามเส้นได้

ก็จะมีแรงเหนี่ยวนำที่เพิ่มขึ้นมหาศาล

 

การที่เราอยู่ด้วยกันโดยดี ก็เอาดีใส่กัน

แล้วก็ลากจูงกันมาบนทางที่ดี

แต่ถ้าหากว่าจะมาทำร้ายกัน

คือ.. ผมว่าพวกเราไม่ได้เดือดร้อนนะ

มีช่องทางอีกเยอะที่จะเผยแพร่ ที่จะมาโค้ชกัน

 

จะมาทำร้ายกัน หรือจะกลั่นแกล้งกันเอาสนุก

หรือเห็นเป็นเรื่องขำ เรื่องตลก

.. ก็หวาดเสียวแทน เป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย อย่าทำเลยนะ

 

เอ้า .. กลายไปพูดเรื่องบุคคลไม่พึงประสงค์ ...

 

สำหรับบุคคลที่พึงประสงค์ .. ถ้าสงสัย ย้ำอีกทีนะ ถามเลย

 

การบรรลุธรรมนี่นะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในฉวิโสธนสูตรว่า

ถ้าใครบรรลุธรรม อย่าเพิ่งยินดี อย่าเพิ่งคัดค้าน

แต่ให้ถามว่า โดยการเห็นกายใจ เป็นขันธ์ห้า ธาตุหกอย่างไร

จึงได้บรรลุมรรคผลขึ้นมา

และเมื่อบรรลุแล้ว มีความเป็นอย่างไร กิเลสอะไรหายไปบ้าง

 

อันนี้ในฉวิโสธนสูตร

พระพุทธเจ้าตรัสถึง ผู้ที่ประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์

แต่หลักการก็ง่ายๆ แค่นี้ ว่า เราเห็นอย่างไร

และที่สำคัญ ถ้าดูจากพระพุทธเจ้าท่านตรัสถึง

เวลาในการบรรลุธรรมอย่างชัดเจนขององค์ท่านเอง

แล้วก็ของพระอรหันต์ ของพระอนาคามี

พระสกทาคามี และพระโสดาบันนี่ มีเวลาที่แน่นอน

 

เพราะฉะนั้น การบรรลุมรรคผล ไม่ใช่แค่รู้สึกว่า

เห็นกายใจโดยความเป็นสภาวะมาพักหนึ่งแล้ว

 

อันนี้ หลายคนนะที่สงสัยเกี่ยวกับการบรรลุมรรคผลของตนเอง

มักจะตั้งข้อสังเกตอย่างนี้

 

แล้วผมได้ยินมาหลายปี

ไม่ใช่เฉพาะช่วงที่เรามาคุยกันในห้องวิปัสสนานุบาล

มีมาแบบนี้กันเยอะ

 

หรือบางคน มีเวลาที่แน่นอน

แต่เป็นเวลาที่คล้ายๆ เหมือนแค่ดีดนิ้ว

ดังแป๊บเดียว ยังไม่ใช่มีประทัด ไม่ได้มีระเบิดตูมตามด้วยซ้ำ

 

บางคน ฟุ้งซ่านมาตลอดทั้งชีวิต

แล้วแค่มีชั่ววินาทีหนึ่ง ที่จิตเงียบขึ้นมา

แค่นี้ก็เข้าใจว่าเป็นภาวะของการบรรลุมรรคผลแล้ว

 

การบรรลุธรรม เป็นเรื่องละเอียดอ่อน

แล้วในห้องนี้ เราไม่ได้อยู่ด้วยกันมาเพื่อจะพูดลับๆ ล่อๆ

เราคุยกันมาตั้งแต่ต้น ด้วยความเปิดเผย

ไม่มีใครที่ไหนเขามานั่งสมาธิให้ดู เดินจงกรมให้ดูแบบนี้

 

คืออาจอยู่รวมๆ กัน แล้วก็นั่งสมาธิ เดินจงกรม

แต่ไม่ใช่มาให้ดูกันเป็นคนๆ แล้วก็โค้ชกันเป็นคนๆ

 

ทีนี้ การที่เราได้ดูได้ฟัง รวมทั้งได้ปฏิบัติด้วยตัวเอง

แล้วเกิดความเห็นในแนวทางเดียวกัน ทิศทางเดียวกันว่า

ความเป็นกายใจแปลกไปจริงๆ แตกต่างไปจริงๆ

แล้วความรู้สึกเกี่ยวกับชีวิตทั้งหมด ไม่เหมือนเดิม มีความสว่างมากขึ้น

 

เราไปตรวจสอบดูกับพระไตรปิฎก

ดูที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในเรื่องแนวทางปฏิบัติก็ตาม

หรือว่าผลของการปฏิบัติก็ตาม จะรู้สึกตรงกันว่า

อะไรๆ ดีขึ้น กิเลสน้อยลง ตัวตนน้อยลง

ความรู้สึกเกี่ยวกับกายใจนี้ ไม่ใช่บุคคลชัดขึ้นเรื่อยๆ

 

ตรงนี้ หลายคนเป็นประจักษ์พยานให้แก่กันและกันอยู่แล้ว

 

ฉะนั้น ถ้าพูดเกินไปอีกนิดหนึ่งก็ไม่เสียหลาย

ไม่ได้น่าเกลียดอะไรหรอก ไม่ได้เป็นการอวดตัวอะไร

แต่เป็นการสอบทานเพื่อความแน่ใจ

ไม่ใช่ความแน่ใจในตัวเองคนเดียวตามลำพัง

 

แต่เป็นการที่เราเอาข้อสงสัย หรือการคลายความสงสัย

มาเผื่อแผ่ให้คนอื่นได้รับรู้ตามด้วยนะ

 

ก็ฝากไว้ สรุปก็คือ ถ้าหากว่าเราจะคุยกันในห้องนี้

เราคุยกันทุกเรื่องตั้งแต่ จุดเริ่มต้นก้าวแรก ไปถึงจุดที่ข้ามเส้น

เส้นแรกไป ข้ามเส้นแรกในที่นี้ก็ว่ากันตรงๆ

คือได้โสดาปัตติผลนะครับ

___________________

ไลฟ์วิปัสสนานุบาล EP 80

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิปเต็ม : https://www.youtube.com/watch?v=YHsIjH_0ZSc

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น